[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 77 ตอนที่ 17 เทพนิยายอดีตกับปัจจุบัน
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 77 ตอนที่ 17 เทพนิยายอดีตกับปัจจุบัน
ตอนที่ 17 เทพนิยายอดีตกับปัจจุบัน
“อย่ายั่วยุให้มากเกินไป! คำตอบจะมาในเร็ว ๆ นี้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นให้เวลากันด้วย!”
“คืนชีวิตของพวกเรามา!”
“ใช่แล้ววว คืนทรัพย์สินของพวกเรามาซะ!”
หลังจากออกจากหอพัก พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ประตูด้วยสายตาบนสายตาบนหลังที่ผสมปนเปกันของความคาดหวังและความวิตกกังวล ฉันไม่ได้ยินเสียงของน้ำพุที่คอยปลอบประโลมใจให้รู้สึกดีเหมือนทุกครั้ง ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงแผดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวของประชาชนทั่วไป และเสียงของลาบริกซ์ซังและคนอื่น ๆ ที่พยายามลดความตึงเครียดเท่านั้นที่ก้องกังวาน กับเรื่องนี้อาจะเรื่องดีขึ้นเล็กน้อย เพราะเสียกรีดร้องของเหล่านักเรียนหายไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการบรรเทาเมื่อเผชิญกับแรงกดดันนี้
ร่างกายของฉันและคู่หูต่างเปียกฝน …..ดาบยังไม่ถูกชักออกมา สัมผัสของบรรยากาศที่ใครบางคนมีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดได้ทุกเมื่อยามโดนกดดัน แต่ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป อาจจะเป็นโชคดีในช่วงเวลาที่โชคร้ายที่มีเหล่าหัวบุคลากรชั้นยอดอย่างอัศวินผู้พิทักษ์ของลูน่า และผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของลาบริกซ์ซังอยู่ที่นี่ ฉันไม่ค่อยรู้ว่าพวกเขาฝึกฝนและมีสภาพจิตใจแบบไหน แต่หากเป็นอัศวินมือใหม่ พวกคงสับสนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว เมื่อสถานการณ์ร้อนระอุขนาดนั้น
ฉันคิดว่าการวิ่งอย่างรวดเร็วอาจถูกมองเป็นการยั่วยุได้ เลยใช้วิธีเดินให้เร็วเข้าไปใกล้แทน มิร่าซังเหมือนสังเกตเห็นสัญญาณของพวกเราเลยมองกลับมา
“ฮะ ฮิเมะ…… !?”
มิร่าซังส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งและรีบตีไหล่ของลาบริกซ์ซัง ทำราวกับว่าถ้าไม่ทำแบบนั้นเสียงจะส่งไปไม่ถึง ลาบริกซ์ซังข้ามการออกคำสั่งอื่น ๆ หันไปหามิร่าซังและถามว่ามีปัญหาอะไรมาอีก
“ฮิเมะ เจ้าฟ้าหญิง!”
“อะไร? เจ้ากำลังพูดอะไร ―――― “
ลาบริกซ์ซังมองตามปลายนิ้วของยื่นชี้ออกมา และเมื่อเขาก้มคอลงมาก็สบตาเข้ากับฉัน เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ดวงตาเต็มไปด้วยคำว่าทำไม และดูจะตำหนิว่าออกมากันทำไม ในขณะที่เข้าใจว่าเขาไม่ได้ยินเสียงของฉัน ฉันขอโทษด้วยที่ตัวเล็ก และเมื่อฉันก้มหัวโค้งลง
“หนูอริซ เจ้าฟ้าหญิง! กรุณากลับไปที่หอพักด้วย ที่นี่ยังอันตรายเกินไป!”
ในที่สุดเสียงตะโกนคำพูดที่อัดแน่นด้วยอารมณ์ก็กระแทกเข้าหูของพวกเรา ยังไงก็ตามฉันไม่หยุดเด็ดขาด ฉันรู้ว่าอันตราย นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องหยุดให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าในอนาคต ฉันกับลูน่ามองหน้ากัน ก่อนที่จะรีบไปยืนข้างลาบริกซ์ซังกับมิร่าซังโดยไม่สนการตอบสนอง
“มาทำไมกัน คุ…..มิแรนด้า ส่งพวกเธอกลับไปที่หอพักซะ!?”
“รอก่อน!”
กลับไป ก่อนที่คำสั่งจะส่งถึงมิร่าซัง ฉันก็ตะโกนแทบกรีดร้องจนรู้สึกเหมือนคอจะขาด อาจเป็นเพราะไม่เคยเห็นฉันทำแบบนี้มาก่อนจนทำให้ทุกคนเงียบกันหมด ฉันจ้องไปที่ลาบริกซ์ซังอย่างจริงจัง จากนั้นปล่อยมือของลูน่าและเข้าไปใกล้ในระยะที่พวกเขาจะได้ยินเสียงโดยไม่ต้องตะโกน
“หนูขอเวลาหน่อยได้ไหมก่ะ แค่นิดหน่อย”
“…….กำลังพูดอะไรกันอยู่ เจ้าฟ้าหญิง”
“ฉันรู้ว่าอันตราย ตรงกันข้าม พวกเขาอาจจะยิ่งไม่ชอบเข้าไปอีก”
“เช่นนั้น”
“แต่หากปล่อยให้เกิดการปราบปรามด้วยกำลังขึ้นมาที่นี่ หนทางสู่การพูดคุยก็จะไม่มีวันเปิดขึ้นอีก!”
“เรื่องนั้น…..กระหม่อมเข้าใจ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่คิดที่จะเปิดใจรับฟัง โดยเฉพราะกับขุนนาง!”
เมื่อเห็นท่าทางเสียขวัญของลูน่าจากท่าทางที่ดูน่ากลัวของตัวเอง ลาบริกซ์ซังทำหน้าเหมือนนึกได้ว่ากำลังคุยอยู่กับเด็กสาวอายุน้อย หรือกับเจ้าหญิง จึงเปลี่ยนเป็นการเตือนด้วยเสียงที่ดูใจเย็นลงเล็กน้อย แน่นอนว่าฉันเข้าใจเหตุผลดี แต่ ณ เวลานี้ ที่นี่ ฉันต้องอยู่ให้ได้ หลังจากแสดงความสับสนอย่างต่อเนื่องสถานการณ์ก็กลับสู่สภาวะปกติชั่วคราว เพื่อเตรียมตัวที่จะเริ่มการสนทนากันอีกครั้ง แน่นว่าเป็นแบบที่มีเหตุผลกันมากกว่าเมื่อครู่ ยังไงก็ตามอารมณ์ของมนษย์ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างมีเหตุผล แม้ในท้ายที่สุดการประท้วงจะถูกปรามปราบลงได้ แต่ความรู้สึกของการถูกกดขี่จะยังคงอยู่ต่อไป ฉันแน่ใจเลยว่าจะเป็นแค่ความสงบชั่วพริบแค่นั้นจริง ๆ การประท้วงที่เกิดขึ้นที่นี่ในเมืองหลวง ที่ตั้งอำนาจสูงสุดของชาติที่มีกองทหารรักษาการณ์ อัศวินมากมาย และสถานที่กองบัญชาการของหน่วยงานมากมายที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าในที่สุดความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปเกิดขีดจำกัดไปแล้ว
“ใช่ นั่นสำหรับขุนนาง ……แต่ถ้าเป็นพวกเราล่ะ! ถ้าเป็นฉันกับอริซที่เป็นแค่เด็ก และเจ้าหญิงในบรรดานักเรียนที่มาเรียนที่นี่!”
“เรื่องนั้น……”
เมื่อลูน่าเถียงไปเช่นนั้น ลาบริกซ์ซังก็ท่าทางอ่อนลง เพราะมีเหตุผลบางอย่างอยู่ในสิ่งที่ลูน่าพูด
แน่นอนว่าบางทีพวกเขาอาจจะรวม”เด็ก”ขุนนางเข้าไปด้วยถึงได้บุกมาถึงหน้าประตูโรงเรียนแบบนี้ และถึงแม้จะไม่มีอาวุธ แต่ก็ไม่ได้ปราศจากความเกลียดชังมากพอที่จะไม่ลงมือทำร้ายโดยตรง แม้ว่านักเรียนของโรงเรียนจะเป็นเด็ก แต่ส่วนใหญ่ก็อายุมากกว่าช่วงกลางของวัยรุ่นไปแล้ว แน่นอนว่าใบหน้ายังให้ความรู้สึกของความเยาว์วัย แต่ในแง่ของความสูงแล้วก็ถือว่าเกือบจะเทียบเท่าผู้ใหญ่ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นพวกเราล่ะ ฉันอายุ 6 ขวบ ลูน่าอายุ 8 ขวบ ร่างกายที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ เป็น”เด็ก”อย่างแท้จริง ที่มองด้วยตายังไงก็เหมือนเด็กเล็กมากกว่าเด็กทั่วไป และเมื่อพิจารณาจากที่ว่าพวกเขาไม่มีอาวุธตรงข้ามกับคำพูดรุนแรงที่ว่าให้ลากเด็กขุนนางออกไป แสดงว่ายังมีสามัญสำนึกด้านดีหลงเหลืออยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น รูปร่างหน้าตาเล็ก ๆ ของพวกเราอาจทำให้อารมณ์คุกรุ่นของพวกเขาเย็นลงได้บ้าง อารมณ์นั้นไร้เหตุผล แต่ในขณะเดียวกันก็สัมพันธ์กับเหตุผล เหมือนกับตอนที่ฉันกำลังสับสนอยู่ในห้อง แต่พอพวกลาบริกซ์ซังกระโดดเข้ามา ฉันก็ได้กลับคืนมา หมายถึงพยายามเรียกเหตุผลกลับคืนมาด้วยการใช้ความไร้เดียงสาชนเข้าหาความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม
“แต่ว่า ให้ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น”
“ได้ แต่ว่าในช่วงเวลานั้นช่วยปล่อยให้พวกเราได้พูดโดยไม่ขัดขวางด้วย หากเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ พวกเราจะกลับหอพักเงียบ ๆ เอง”
แต่ที่เบื้องหลังลาบริกซ์ซังที่ยังไม่แน่ใจนั้น เสียงเกรี้ยวกราดได้ดังขึ้นไปอีกระดับ กลุ่มชายฉกรรจ์แถวหน้าเริ่มคว้ารั้วเหล็กของประตูด้วยสองมือ และดูเหมือนจะเริ่มพยายามพลักดันเข้ามายังฝั่งนี้ ว่าแล้วว่าความแตกต่างอย่างท่วมท้นในด้านจำนวนของอัศวินที่ป้องกันประตูอยู่ อาจทำให้พวกเขามั่นใจในพลังมากขึ้น แล้วในที่สุดก็จะแพร่ระบาดและขยายออกไป และสุดท้ายเหตุผลของพวกเขาที่แทบจะไม่เหลืออยู่แล้วก็จะถูกบดบังไปในที่สุด จะดีจะร้าย โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม
“…..ในสถานการณ์เช่นนั้น การประท้วงจะกลายเป็นการจลาจลเมื่อไหร่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาแล้ว กำลังเสริมจากกองอัศวินจะมาในไม่ช้า ในแง่นั้นกระหม่อมสงสัยว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทางนี้แล้วจริง ๆ หรือ อยากจะมีเวลาให้มากกว่านี้สักเล็กน้อยซะจริง”
ลาบริกซ์ซังคร่ำครวญในท้ายที่สุด มิร่าซังมองมาที่ฉันด้วยท่าทางเป็นกังวลใจอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนเธอจะเชื่อในสิ่งที่ลูน่าพูด หลังจากที่ยืนก้มหน้าอยู่ชั่วครู่ ลาบริกซ์ซังก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย
“….ขอฝากด้วยพะยะค่ะ”
“ฉันมาเพื่อสิ่งนั้นอยู่แล้ว”
” กระหม่อมกับมิแรนด้าจะอยู่ข้าง ๆ เป็นการเผื่อไว้ หากเกิดอะไรขึ้นมา ในเวลานั้นได้โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำของกระหม่อมด้วย หากว่าล้มเหลวในเกลี้ยกล่อม กระหม่อมจะคุ้มครองพระองค์อย่างแน่นอน”
“…..ขอบคุณ”
ลาบริกซ์ซังเสี่ยงรวมพวกเราสี่คนเข้าด้วยกันโดยไม่บอกกล่าวใครเพิ่ม อาจเป็นเพราะว่าการปกป้องพวกเรามีความสำคัญเป็นอันดับแรก สมกับที่เป็นคนที่สุขุม ลูน่าเป็นคนที่แรกที่จะได้หลบหนีในกรณีฉุกเฉิน เป็นเจ้าหญิงและลูกสาวเพียงคนเดียว ในฐานะข้ารับใช้แล้วความสำคัญต่อชาตินั้นแตกต่างกัน นอกนจากนี้ ฉันยังได้ยินมาว่าลูน่าเป็นเจ้าหญิงสายเลือดตรงเพีบงคนเดียวในปัจจุบัน หากสูญเสียเธอไป เท่ากับเป็นความล่มสลายของชาติ นั้นเป็นเรื่องที่ฉันต้องระลึกไว้เสมอทั้งในฐานะขุนนางของชาติ และในฐานะเพื่อนเพียงคนเดียว
“…….อริซ”
“อืม”
หลังจากนั้นฉันก็จับมือเบลล์ซังแน่น เดินตามลาบริกซ์ซัง กับมิร่าซังไปที่ประตู
แรงกดดันนั้นแข็งแกร่งและใหญ่ขึ้นทุกครั้งที่ก้าวเดิน ท้ายที่สุดก็ปกคลุมไปทั้งแผ่นหลัง โม๊ว ไม่มีการหวนกลับอีกแล้ว สิ่งเดียวที่รอพวกเราอยู่คือ ความสำเร็จหรือความล้มเหลว
นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับฉัน และแน่นอน อนาคตของราชอาณาจักรก็ด้วย
“รีบ ๆ เอาพวกขุนนางออกมาซะ! อย่าเอาแต่ปิดประตูเป็นเต่าหัวหดอยู่แบบนี้…….. !”
“อะ โอ๊ย เดี๋ยวก่อน! ……นั่นใครน่ะ? เด็ก……?”
ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำเริ่มโวยวายด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะสังเกตเห็นพวกเรา สายตาแหลมคมมากมายมองทะลุผ่านร่างกายของฉันที่อยู่หลังลาบริกซ์ซังกับมิร่าซัง ฉันห่อไหล่ด้วยความกลัวทันที ……แต่ ฉันจะหยุดไม่ได้ ลูน่าเองก็ไม่หยุดเช่นกัน ทั้งเบลล์ซังและสเตลล่าซังต่างเดินเข้ามาประกบพวกเราอย่างเงียบ ๆ
ในขณะที่หลั่นไหวอยู่ในใจ บางทีอาจจะเกิดแรงกดดันจากท่าทางการเดินที่สง่างามไม่เกรงกลัว ไม่สิ บางทีอาจเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่ยังอ่อนเยาว์ของพวกเรา ทำให้เสียงโวยวายด้วยความโกรธค่อย ๆ เบาลง แต่เสียงของความสับสนกลับแพร่กระจายออกไปแทน
“เบลล์”
“อริซซามะ……..”
ฉันบังคับร่างกายที่สั่นสะท้านจนไม่สามารถโกหกได้ พยายามแอบพึ่งพิงบางส่วนของเบลล์ แต่ตอนนี้ฉัน พวกเรา ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว สายตาที่จ้องมองมาด้วยความสงสัยล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโศกเศร้า ……ฉันเอง คุ้นเคยกับสายตาแบบนั้นดี ความรู้สึกที่ได้รับตอนที่อายาเมะเข้าโจมตี “พวกเขา”หรืออีกนัยคือ “พวกเรา” เมื่อชาติที่แล้ว ฉันรู้สึกกลัว แต่ก็ไม่สามารถกอดความรู้สึกเป็นศัตรูไว้ได้ ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะไม่เข้าใจ แน่นอนว่าฉันเข้าใจถึงความรู้สึกคับแค้นที่ทำอะไรไม่ได้ รู้ดียิ่งกว่าขุนนางคนไหน ๆ ในราชอาณาจักร แต่หากมองลึกเข้าไปในดวงตาก็จะเห็นว่ามีความลังเลและความเศร้าโศกอยู่ ทั้งพวกเขาและใคร ๆ ต่างก็ไม่อยากเสียเลือดเนื้อกันจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือของคนอื่น
“……สะ สายตานั้นมันอะไรกัน! ในที่สุดก็ออกมาแล้วสินะ ออกมาให้ไวเลยยัยเด็กเวร!”
“แก――――!”
อัศวินผู้พิทักษ์ของลูน่าที่อยู่ใกล้ ๆ ดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำพูดนั้น ลูน่าสั่งให้นิ่งด้วยการโปกมือ ลูน่าตัดเรื่องได้ก่อนที่จะเป็นปัญหา เขาลดมือออกจากด้ามดาบที่เอวปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด เชื่อฟังคำสั่งอยู่เหนือความรู้สึกส่วนตัว ในเวลาเดียวกัน ฉันก็ปล่อยมือจากเบลล์ซัง และฝากคู่หูไว้
“ฉันอยากจะคุยกับพวกคุณ”
“ห๊า!? คุย?”
“ใช่ คุย”
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ถึงแม้จะใช้น้ำเสียงตะคอกแต่เขาก็ไม่ได้พยายามปฏิเสธ บางทีเขาอาจจะตะโกนมากเกินไป เสียงถึงได้แหบแห้งแบบนั้น ดูเหมือนพวกเราจะคุยกันได้ แต่จากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นของจริง ถึงจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ถือว่าได้ใช้เวลาพยายามแล้ว
“ก่อนอื่น จะผิดไหมที่จะตัดสินว่าการแสดงออกของพวกคุณในตอนนี้ เกิดจากความไม่พึงพอใจกับชีวิตประจำวัน และการทำงานที่แย่ลงเรื่อย ๆ”
“อะ โอ้……ใช่แล้ว! พวกข้า ตลอดมาต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้พวกตัวเองมีชีวิตอยู่และสนับสนุนราชอาณาจักร แต่สถานการณ์ปัจจุบันเป็นยังไง ขุนนางอย่างพวกเจ้ากลับเอาแต่ดูถูกสามัญชนและไม่ได้เห็นคุณค่าอะไรเป็นการตอบแทน มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดที่ต้องถูกชี้นิ้วสั่งแบบนี้ มันถึงขีดจำกัดความอดทนแล้ว!”
“ใช่ ถูกแล้ว พวกเราเหล่าขุนนางไม่เคยแม้แต่จะพูดถึงการอุทิศตนของพวกคุณแม้แต่น้อย แม้แต่ในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านอาหารเช่นตอนนี้ก็ยังไม่แม้แต่จะนึกถึง”
เมื่อเห็นลูน่ายอมรับการตำหนิอย่างง่ายดาย เขาก็มีสีหน้าสับสนในทันที เพราะถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่ก็เป็นขุนนาง การที่คุณไปทำการพูดจาเยาะเย้ยแค่หนึ่งหรือสองคำ ก็เตรียมพร้อมที่หัวจะโปยบินออกจากตัวไว้ได้เลย แต่ในความเป็นจริง ลูน่าเป็นคนที่พิเศษ ขุนนางส่วนใหญ่คงมาลงโทษประหารทันทีที่เห็นโดยไม่คิดแม้แต่จะรับฟัง จากมุมมองของพวกเขาสถานการณ์ตอนนี้ช่างดูไม่สมเหตุสมผล และสถานการณ์นี้จึงกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“……เจ้าทำอะไรน่ะ เป็นขุนนางไม่ใช่รึไง?”
“ใช่ ขุนนาง”
การที่ลูน่าพูดเสียงเบา ๆ กลายเป็นข้อสงสัยว่าเธอเป็นขุนนางจริง ๆ ใช่ไหม เขาจึงถามออกมาทั้งอย่างนั้น และไม่สามารถซ่อนสีหน้าแห่งความสับสนได้ แต่จังหวะกำลังดี อย่างน้อยดูเหมือนเขาจะสงบขึ้นบ้างแล้ว คนอื่น ๆ ที่ยังไม่สูญเสียความเป็นศัตรูยังคงความระแวดระวังอยู่ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตัดสินใจว่าจะจับตาดูเรื่องราวตรงหน้าในตอนนี้ให้จบก่อน บางทีอาจรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ ลูน่าจึงกล่าวต่อ
“…….ฉันชื่อ รูนไฮม์・โร้ด・รูเนเรีย เจ้าหญิงอันดับที่หนึ่งของราชอาณาจักรแห่งนี้ ธิดาเพียงหนึ่งเดียวของราชาและราชินีองค์ปัจจุบัน”
“จะ เจ้าหญิงเรอะ? ……ไม่ๆๆ เรื่องนั้นมัน ระดับเจ้าฟ้าหญิงอย่างท่านอยากจะคุยอะไรกับพวกข้ากันล่ะ หรือคิดมาชำระล้างการกบฎกันล่ะ?”
“ไม่เลย”
ปฏิเสธอีกครั้ง ลูน่ายิ่งดูห่างไกลจาการเป็นขุนนางที่พวกเขารู้จักเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะ เธอเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้า มองตรงไปยังพวกเขาช้า และมั่นคง
――――ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกกระทบจนสั่นสะท้าน เธอก้มหัวลงเป็นมุมฉาก
“อะไร……… !?”
ถูกแล้ว ลูน่า ไม่ว่าคิดที่จะพูดถึงเรื่องอะไร ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อน เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การแสดงทัศนคติออกไปก่อน แม้จะยังไม่ได้ตกลงชดเชยอะไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน เป็นการขอโทษโดยตรงจากขุนนางสู่ประชาชนทั่วไปสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบันที่ดำเนินมาถึงตอนนี้ และโดยเฉพาะทำโดยลูน่า ผู้เรียกตัวเองว่าเจ้าหญิง ผลกระทบจะมากมายขนาดไหนกัน
“ต้อง ขอโทษด้วย”
ฉันเองก็ก้มหัวตามลูน่าที่พูดออกมาโดยไม่เปลี่ยนท่าทาง สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียงการก้มหัว ท้ายที่สุดฉันก็ยังเป็นแค่เด็ก มีเพียงไม่กี่สิ่งที่จะสามารถทำได้ ….แต่ฉันสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองได้ด้วยวิธีนี้ แม้แต่เบลล์ซังและสเตลล่าซังที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงก็โค้งคำนับลงเช่นกัน และแม้แต่ลาบริกซ์ซังกับมิร่าซังที่ตกตะลึงก็ทำการโน้มตัวเฉียงไปข้างหน้าตามมาเช่นกัน เสียงดังกระจายไปทั่วโดยทันที แต่เป็นเฉพาะอัศวินที่อยู่ด้านนี้เท่านั้นที่เปล่งมันออกมา
“ขอโทษเรอะ พวกท่าน……”
แน่นอนว่าการทำแค่นี้ไม่พอจะทำให้ให้อภัยได้ในทันที ยังไงก็ตาม พวกเขารู้สึกสับสนอย่างแน่นอน พวกเขาไม่ได้ทำอะไรแม้จะตั้งท่าเตรียมเยาะเย้ย คราวนี้พวกเราเป็นเหมือนกับพวกเขาก่อนหน้านี้บ้าง ความตกใจที่ได้รับน่าจะเป็นปัจจัยหลัก ยังไงก็ตาม ยังมีเสียงที่เล็ดลอดออกมาโดยไม่ตั้วใจ ฉันมั่นใจว่ามีการพูดคุยกันอยู่ในหมู่พวกเขา หลายสิบวินาทีของการขอโทษอย่างจริงจัง พวกเราก็เงยหน้าขึ้น มีความรู้สึกลังเลอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
“พวกเราเหล่าขุนนาง ได้ใช้ความรุนแรงและไร้เหตุผลมานับไม่ถ้วยกับคุณ และเหล่าสามัญชน ฉันไม่ขอให้คุณยกโทษให้ฉัน …..ไม่สิ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขอ”
“……อะ เรื่องทั่ว ๆ ไป”
“แต่”
และ ทันใดนั้นเสียงของลูน่าก็หยุดลง
……..ลูน่ากำลังร้องไห้
ฉันไม่รู้ว่าน้ำตามาจากเหตุผลอะไร ยังไงก็ตามแทนที่จะบอกว่าเป็นผลจากการอดทนต่อการดูหมิ่น น่าจะเป็นเสียงสะอื้นไห้ที่มาจากการถูกกัดกินด้วยความไร้อำนาจของตัวเองมากกว่า ฉันกำมือที่สั่นเทา และกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อเดินหน้าให้ต่อเนื่องอย่างสิ้นหวัง ลูน่ากำลังร้องไห้ ไม่เป็นไร ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ฉันเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาของลูน่า ก่อนเปิดปาก
“จะเปลี่ยน ให้เห็น พวกหนูจะเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เจ็บปวดของพวกคุณ จะเปลี่ยนให้เห็น”
“……..พะ พูดอะไรกันฟะ พวกแกจะเชื่อยัยคุณหนูสองคนนี้แล้วอยู่ในนรกต่อไปรึไง? คิดจะล้อเล่นกับคนส่วนใหญ่รึยังไง”
” ――――ได้โปรด……. !”
คำพูดของฉันหยุดลง เช่นเดียวกับหน้าผากที่กระแทกพื้นอย่างแรง เสียงของทุกทนลนลานขึ้นมา แม้แต่ลูน่าที่กำลังร้องไห้อยู่ก็ยังเรียนชื่อของฉัน ……แต่ ฉันไม่ตั้งใจที่จะหยุด เมื่อคิดอะไรไม่ออก มองหา”เหตุผลเฝ้าคอย”มากแค่ไหนก็ไม่เจอ ท้ายที่สุดฉันทำได้แค่อ้อนวอนเท่านั้น อาจจะเป็นความขี้ขลาด แต่ แต่ถึงยังไงก็ตาม
“ลูน่า เบลล์ มิร่า พวกคุณ…..ไม่ว่าใคร หนูก็ไม่อยากเห็นถูกทิ้งไว้ข้างหลัง…….. ! อยากสร้าง「ความสุข」ที่ใคร ๆ ก็สัมผัสได้….. !”
ได้โปรดเชื่อฉันด้วยเถอะ ฉันไม่สามารถพิสูจน์เหตุผลหรือความเป็นไปได้ใด ๆ ให้ได้ แต่ถ้าปล่อยทุกอย่างเอาไว้ในระดับนี้ต่อจะไม่มีทางหวนกลับมาแก้ไขได้อีก ฉันตัดสินใจแล้วจะทำร้ายใครก็ตามที่มาขวางการสร้างความสุข แม้จะทำให้ฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะนิ่งเงียบนั่งดูชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง ความเป็นไปได้อยู่ที่นั่นเสมอ หากมีอนาคตที่ผู้คนทำร้ายกัน ก็ต้องมีอนาคตที่พวกเราสามารถหัวเราะไปด้วยกันได้
เรื่องแบบนี้อาจเป็นการเห็นแก่ตัว เป็นแค่เรื่องไร้สาระ
แต่ยังไงก็ตาม ฉันเป็น”เด็ก”ที่มีฝันเช่นนั้น
” ――――เธอ…….”
ทันใดนั้น ฉันรู้สึกว่าแนวสายตาจากพวกเขาได้ผ่อนคลายลงน้ำตา กรวด และน้ำฝนเปื้อนใบหน้าของฉัน และทันใดนั้นกางเกงโทรม ๆ คุกเข่าลงข้าง ๆ ฉัน
“เงยหน้าขึ้นเถอะ ……..คุณหนูน้อย”
“……..เอ๊ะ อะ”
เสียงที่กลายมาเป็นอ่อนโยนในทันใดทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เขามีสีหน้าที่ลำบากใจ ฟู๊ว พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ และจากนั้น เขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า คร่ำครวญต่อความโศกเศร้าที่ไหนสักแห่ง หยาดฝนที่ตกกระทบแก้มดูเหมือนกับน้ำตา
“….ข้าขอโทษ พวกข้า คือ การได้เห็นคุณหนูที่เป็นเด็กผู้หญิงที่เด็กกว่าลูกสาวตัวเองมาล้มคลุกคลุมไปด้วยโคลนแบบนี้ แล้วยังปรารถนา「ความสุข」ของทุกคนอีก”
ฉันสังเกตเห็นว่าไม่มีใครพูดอีกนอกจากเขา “ทุกคน”ต่างจ้องมาที่พวกเรา
“คุณหนูน้อย”
“ก่ะ กะ”
” ――――เรื่องของ「สตรีศักดิ์สิทธิ์」…..บางทีอาจไม่ใช่แค่ตำนานก็ได้”
“เอ๊ะ……..?”
เขาลุกขึ้นโดยปล่อยให้ฉันสับสน ติ่งเส้นผมยาวที่แห้งเสียโผล่มาที่แก้มของฉันตามหยาดน้ำฝน
ฝนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นตกปรอยทีล่ะนิด
“ท่านวีรบุรุษ ท่านอัศวิน พวกคุณหนูก็ด้วย”
“…..อะไร”
“…….ข้าขอโทษสำหรับปัญหาจริง ๆ ขอโทษ”
ครั้งนี้เป็นตาของพวกเราที่ต้องสูญเสียคำพูด แม้พวกเขาจะมาประท้วงต่อต้านการดูถูกจากขุนนาง พวกเขาก็ขอโทษ ถึงคำพูดจะฟังทื่อ ๆ แต่เขาโค้งคำนับอย่างสุภาพมากกว่าลูน่า ยังไงก็ตามการประท้วงต่อต้านขุนนางโดยมุ่งเป้ามาที่นี่ ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปิดได้ ฉันมองไปที่ลาบริกซ์ซังด้วยสายตาราวกับขอพึ่งพา หลังทำหน้าลำบากใจอีกครั้ง เขาก็เริ่มหัวเราะเหมือนกำลังจะบอกว่าได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“อ้า พวกเจ้าไม่ใชคนบาป แต่เป็นประชาชนธรรมดาที่พวกเราควรปกป้อง ถูกต้องไหม หนูอริซ”
“…..อืม”
“ฮะ……?”
ลาบริกซ์ซังพยักหน้าอย่างจริงจังให้กับพวกเขาที่กำลังงงงวย ทุกคนในที่นี้ได้แต่กระพริบตาส่งสัญญาณบินกันไปทั่ว ฉันเข้าใจดีถึงการคาดเดา หรือก็คือในระยะสั้น ลาบริกซ์ซังกล่าวเป็นนัยว่าไม่เป็นไร ไม่มีความตั้งใจที่จะกล่าวหาโดยข้อกล่าวหาร้ายแรง ในเวลาเดียวกันพวกเขาที่ดูเหมือนจะเริ่มรับรู้กันแล้ว คราวนี้ต่างอ้าปากค้าง เมื่อลาบริกซ์ซังเหลือบมองพวกเขาอีกครัง เขาก็ถามขณะเอามือแตะคางตัวเง
“พวกเจ้า คงมีคนหลอกมากันสินะ ไม่ผิดแน่?”
“ไม่……ไม่ อ้า ใช่แล้ว ข้าได้คุยกับชายที่ใส่ฮู้ดคาปริซีอย่างมิดชิดจนมองไม่เห็นใบหน้า ที่ยุ่งเกี่ยวกับการข่มเหงลูก ๆ ของสามัญชน เจ้านั่นบอกว่านักเรียนของที่นี่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจบุกมายังที่นี่”
“ข้ายังไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง แต่…….เจ้าช่วบอกลักษณะเพิ่มเติมของชายคนนั้นให้ได้หรือไม่”
“ถ้าท่านไม่ถือสา……..”
“พวกเจ้าจะถูกชายคนนั้นหลอกและเคลื่อนไหวด้วยความขุ่นเคือง ยังไงก็ตาม……..หนูอริซกับเจ้าฟ้าหญิงได้มาก้มหัวและพูดคุยอย่างแข็งขัน จนความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไขและคลี่คลายลง เป็นแบบนั้นเข้าใจไหม?”
ลาบริกซ์ซังตั้งใจตะโกนให้ทุกคนได้ยิน นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถฝืนลบล้างออกไปได้จนหมด แต่พยายามทำให้เหตุการณ์ออกมาดูเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ …….และฉันมีความคิดเล็กน้อยเกี่ยวกับชายไร้หน้าในชุดฮู้ดคลุม คือ “คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง”ที่ยิงธนูใส่ฉันในเหตุการณ์ที่ตลาด ส่วนที่หลบซ่อนอยู่อาจเป็นคนเดียวกัน
“….แบบนี้ ดีแล้วจริง ๆ หรือครับ?”
“ไม่ต้องคิดมาก นี่เป็นสิ่งที่สตรีศักดิ์สิทธิ์และเจ้าฟ้าหญิงต้องการ”
การแสดงออกที่ตึงเครียดได้หายไปอย่างสมบูรณ์ และลาบริกซ์ซังก็ยิ้มให้ฉันกับลูน่าอยู่ครู่หนึ่ง
……ใช่อย่างงั้น สำเร็จแล้วหนึ่งครั้ง หยุดไว้ได้แล้ว
ในที่สุดเมื่อหัวใจของฉันตามทันกับสถานการณ์ที่มาบรรจบกัน ความรู้สึกที่แท้จริงก็ล้นทะลักออกมา ดีจริง ดีมากจริง ๆ
“อะ อุ อุ………ว๊าๆๆๆ”
“อริซซามะ………”
“ฮิเม๊ะ!”
“อริซ――――!”
อาจเป็นเพราะเส้นด้ายแห่งความตึงเครียดคลายออก ร่างกายของฉันก็สูญเสียพลังไปในทันใด ต่อมน้ำตาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อิสระจากความกลัวและความกดดัน ความรู้สึกของความสำเร็จ ความวิตกกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคต อารมณ์ที่หลากหลายกลายเป็นฝนตกหนักที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้ามาช้าสักหน่อย เบลล์ซังกับมิร่าซัง ลูน่า ขณะถูกแบ่งปันกันกอดโดยทั้งสามคน
“…….ดิฉันเองก็ต้องการปกป้องสตรีศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหมือนกัน”
จากนั้นทุกคนก็ยิ้มให้สเตลล่าซังที่มาเข้าร่วมด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย