[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 31 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 11 กับตอนนี้และความทรงจำ
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 31 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 11 กับตอนนี้และความทรงจำ
ตอนที่ 11 กับตอนนี้และความทรงจำ
“ฟู๊ว~……”
ฉันเอนหลังและปิดหนังสือลง
ชื่อเรื่องคือ 『แมวสีทอง』 ที่เบลล์ซังเคยอ่านให้ฟังก่อนหน้านี้
ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้ง ฉันก็รู้สึกดื่มด่ำกับความรู้สึกซาบซึ้งในหน้าที่คุณแมวที่ในที่สุดก็ได้เจอเพื่อน หนังสือภาพเล่มนี้เป็นเล่มโปรดของฉัน
ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงชอบมากๆ ฉันก็คงตอบได้แค่ว่า เพราะพวกเรามีดวงตาสีทองเหมือนกันที่กลายเป็นสายสัมพันธ์แปลกๆระหว่างพวกเรา
“และพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป”
อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียวทุกวันทำให้มีเวลาว่างศึกษาหนังสือภาพมากขึ้น จนเมื่อเร็วๆนี้ฉันจนคำศัพท์ใหม่บางคำได้เพิ่มขึ้น
คำพูดที่ยังไม่คล่องของฉันมักจะก่อให้เกิดอาการเข้าใจผิดโดยไม่ตั้งใจเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนที่ฉันไม่สามารถออกเสียงง่ายๆอย่างคำว่าขอบคุณหรือขอโทษ
“แปะแปะ”
ฉันจับมือของคู่หูขยับทำท่าทางเหมือนกำลังตบมือ ดื่มด่ำไปกับความซาบซ่านของเรื่องราวที่ยังหลงเหลืออยู่ จากนั้นก็บิดตัวเฉพาะส่วนบนไปที่ขอบเตียง แต่ไม่ใช่…..ที่พื้น วันนี้ฉันเก็บหนังสืออย่างเรียบร้อยบนชั้นวาง
ตั้งแต่ที่เริ่มใช้ชีวิตร่วมกันกับเบลล์ซังในห้อง นิสัยทิ้งของเรี่ยราดก็ดีขึ้นทีละเล็กละน้อย ตอนนี้มันไม่ใช่ห้องของฉันคนเดียวอีกต่อไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะถอดเสื้อผ้ากองไว้หรือทิ้งหนังสืออภาพที่อ่านจบแล้วไว้ข้างเตียงเหมือนเมื่อก่อนได้
“เบลล์~”
ตอนนี้เบลล์ซังไปซักเสื้อผ้าของฉันที่เปลี่ยนไปเมื่อตอนเช้ายังไม่กลับมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว ฉันแน่ใจว่าเธอน่าจะกำลังทำงานอย่างอื่นด้วยเช่นกัน ฉันรู้สึกเหมือนห่างหายจากการซักผ้ามานานเลย
ไม่สิ ฉันไม่เคยลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ฉันหมายถึง ฉันไม่เคยต้องจัดการเรื่องเสื้อผ้าด้วยตัวเองเลย ฉันสงสัยว่าประสาทสัมผัสของตัวเองเปลี่ยนไปแล้วหรือเปล่า นอกจากนี้ถ้าเป็นขุนนางการดูแลเสื้อผ้าก็น่าจะแตกต่างจากปกติ ต้องซักอย่างระมัดระวัง เลยต้องใช้เวลามากกว่าปกติ
“เหงา”
ฉันน่าจะเคยชินกับการอยู่คนเดียว แต่เมื่อเร็วๆนี้กลับมีผู้คนเข้ามาอยู่รอบข้างฉันมากขึ้น จนฉันรู้สึกค่อนข้างอยากจะให้ใครสักคนมาอยู่ข้างๆเสมอ ความรู้สึกเหงาที่มีมาถึงในตอนนี้ เป็นปฏิกิริยาที่ได้รับผลกระทบจากการที่ฉันรู้ตัวว่า〝ฉัน〟ยังเป็นเด็กอยู่รึเปล่านะ
ในที่สุดฉันก็เข้าใจความแตกต่างของการอยู่อย่างเดียวดาย กับ การอยู่คนเดียวแล้ว
“ฮิเมะ……?”
ฉันอุ้มคู่หูขึ้นเหมือนเดิมก่อนที่จะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นมิร่าล่ะ
ถึงแม้จะได้มาอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน มิร่าซังก็มาที่ห้องของฉันน้อยกว่าที่คิดเอาไว้ ดูเหมือนเธอจะมีความระมัดระวังเรื่องความเป็นส่วนตัวอยู่ แต่ฉันชอบมิร่าซัง อันที่จริงฉันอยากให้เธอมาหามากกว่านี้
……และแน่นอนว่า ฉันอายเกืนกว่าจะเอ่ยปากพูดเอง
“ก่ะ”
“ขออนุญาตเข้าไปได้หรือไม่คะ?”
“อืม”
ฉันอนุญาตทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก และประตูก็เปิดทันทีที่สิ้นเสียงของฉัน
มิร่าซังเข้ามาและปิดประตู ฉันก็เห็นเธอยิ้มกว้างมาจากไหนไม่รู้
“ดูเหมือนคลอริน่าซังจะมาเพื่อขอชำระภาษีน่ะค่ะ แต่เพราะฮัททีเรียซามะไม่อยู่ ตอนนี้น็อกซ์เบลซังกำลังรับรองเธอแทนอยู่ค่ะ”
“ชำระ….?”
“อ้าาาาา เอ๊ะโตะ มาเพื่อจ่ายภาษีของตอนนี้น่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ”
พอพูดแบบนั้นแล้ว ฉันก็นึกได้ว่าตอนเช้าที่ฉันยังหลับๆตื่นๆอยู่ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงวุ่นวาย ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำอะไรกันเช้าจัง ก่อนที่จะตกสู่ความฝันอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเสียงเอะอะนั้นคือ ตอนที่คุณกำลังจะออกไปข้างนอก
และดูเหมือนว่าคลอริน่าซังจะมาขอชำระภาษีตรงกันโดยบังเอิญ เข้าใจแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่เบลล์ซังไม่กลับมาสักทีสินะ
ฉันพยักหน้าสองสามทีเพื่อยืนยันให้มั่นใจ ก่อนที่จะเอียงคอสงสัยบางอย่าง
เมื่อกี้ฉันเอาแต่คิดเรื่องของคุณพ่อกับเบลล์ซังจนเสียสมาธิ แต่มิร่าซังบอกว่า คลอริน่าซังสินะ
“คลอริน่าซัง……?”
“ค่ะ! นอกจากนี้ยังพาคนของโบสถ์ และเด็กๆจากสถานลี้ยงเด็กกำพร้ามาด้วยค่ะ ดูเหมือนว่าโดยปกติจะเป็นนักบวชคนอื่นไม่ใช่คลอริน่าซัง แต่คาดว่าวันนี้อาจจะมีธูระอื่นๆด้วยค่ะ”
“อา”
ฉันแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น ฉันมั่นใจว่าที่เธอหาเวลามาด้วยตัวเอง ก็เพราะเกี่ยวกับ〝คำขอ〟ของฉันที่ขอเอาไว้ในระหว่างที่กำลังทดสอบเวทมนตร์ในตอนนั้นอย่างแน่นอน
…….แต่พูดไปแล้ว ฉันเคยคิดว่าศาสนจักรจะได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างเกี่ยวกับภาษี แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่อคติไปเอง ไม่มีการยกเว้น หรือได้รับช่องทางพิเศษสำหรับคนของศาสนจักร และพวกเขามักจะมาจ่ายภาษีโดยตรงด้วยตัวเอง
“ฮิเมะ?”
“อะ อือ นั่น บางที หาฉัน”
“น่าจะเป็นเช่นนั้นค่ะ ……หรือว่านี่จะเกี่ยวกับคำขอสุดท้ายนั้น งั้นหรือคะ?”
อา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มิร่าซังก็ตีมือ เอียงคอถาม
เธอถามด้วยเสียงอ้อมแอ้ม ฉันคิดว่าเธอยังกลัวการตักเตือนของเบลล์ซังจากที่โบสถ์อยู่
เบลล์ซังเองก็พยายามเอียงหูฟังอย่างเต็มที่ตอนที่ฉันขอคลอริน่าซัง เพราะงั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“อืม”
“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นดิฉันจะปล่อยให้คลอริน่าซังนะคะ”
“…..อืม ขอโทษนะ”
ฉันคิดเล็กน้อยก่อนตอบ ในขณะที่ก้มลงมองที่หัวของคู่หูที่อยู่ที่หน้าอกของฉัน
ที่จริง ไม่ปัญหาอะไรเลยถ้ามิร่าซังจะได้รู้เนื้อหาของ〝คำขอ〟
แต่ว่า ถ้ามิร่าซังโอเค แต่เบลล์ซังห้าม การถูกันออกไปคนเดียวแบบนั้น เบลล์ซังน่าสงสารเกินไป แถมถ้าทำผิดพลาด เธออาจคิดว่าฉันเกลียดเธอก็ได้ ฉันหวังว่าเธอจะให้อภัยฉัน
“ขอบกุณ”
“ไม่ค่ะ ฮิเมะ ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
เกี่ยวกับเบลล์ซังแล้ว ฉันสามารถยืดอกร้องตะโกนได้ว่า ฉันรักเบลล์ซังมากที่สุดเลย …….แทบไม่มีหน้าอก คู๊
จากนั้นฉันก็หันไปมองเนินเขาคู่ที่นูนพอประมาณโดยไม่ตั้งใจ ฉันรู้เหมือนกำลังจะถอนหายใจโล่งอก ก่อนที่จะรีบปิดปากทันทีที่รู้ตัว นอกจากนี้ยังมีเรื่องมารยาทสำหรับเพื่อนสนิท
ฉันหมายถึง ไม่ๆๆๆ
“…..ฉัน ห้าขวบ”
นี่ฉันสนใจอะไรตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้กัน
แถมก่อนหน้านั้นฉันก็เป็นผู้ชายมาตลอด
“อาเร๊ะ”
――――จู่ๆ ฉันก็รู้สึกแปลกๆ
ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังรู้สึกแบบ〝เด็กสาว〟อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่สิ ฉันอยู่ในสภาพเวดล้อมที่ถูกปฏิบัติใส่โดยที่ไม่สนเรื่องเพศมาตลอด แต่ฉันก็ยังมีความสนใจในเรื่องเพศอยู่อย่างแน่นอน ในโคโลนี่แม้แต่ห้องสุขาก็เป็นแบบห้องรวม แน่นอนว่าไม่มีแม้แต่ฉากันเป็นห้องส่วนตัว
ยังไงก็ตามครั้งนี้แตกต่าง
ครั้งนี้ฉันกังวลเกี่ยวกับขนาดหน้าอกของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าฉันรู้ตัวแล้วฉันว่าเป็นผู้หญิง
“ฮิเมะ……?”
หลายเรื่องที่ฉันคิดตอนกลายเป็นร่างนี้………
“……………………”
ทันใดนั้นความรู้สึกในตอนที่บาดแผลของเบลล์ซังถูกโอนมาให้ตัวเองก็ฟื้นขึ้นมา
――――ทำไมตอนนั้นฉันถึงคิดว่าทำได้?
――――ทำฉันถึงสามารถใช้พลังวิเศษที่ไม่มีอยู่จริงใน〝ชาติก่อน〟ได้เป็นอย่างดีจนทุกคนประหลาดใจ?
ทันใดนั้น ฉันรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฉันถึงมีความรู้สึกโหยหาแบบนี้ ใช่ 〝ก่อนหน้า〟ก็ด้วย ดังนั้น――――
“――――ฮิเมะ ฮิเมะ!”
“………..อุ?”
ทันใดนั้นฉันก็ได้สติกลับมา ฉันสังเกตเห็นมือของมิร่าซังที่สั่นอยู่ตรงหน้าของฉัน
“อะเอ๊ะ……”
“ฮิเมะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ? จู่ๆก็เหม่อลอยจนไม่ตอบอะไรเลย”
“อะ อืม ……….ม๊ายเป็นร๊าย”
……ดูเหมือนจะดีกว่าถ้าฉันจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ให้มากเกินไป
เห็นได้ชัดว่าหัวใจของฉันไม่ต้องการสัมผัสมัน
บางทีฉันอาจต้องสำรวจอย่างลึกซึ้ง แต่หยุดเถอะ
คลอริน่าซังอุตสามาเพื่อ〝คำขอ〟ของฉันเป็นพิเศษ ฉันแน่ใจว่าเธอจะมาที่ห้องทันที่การชำระภาษีเสร็จสิ้น
ฉันส่ายหัวพยายามเปลี่ยนอารมณ์เหมือนกับมือที่สั่นจนถึงเมื่อกี้ของมิร่าซัง จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“อริซซามะ”
“เบลล์!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจากอีกด้านหนึ่ง ทันใดนั้นฉันก็ระบายความรู้สึกแปลกๆทั้งหมดออกไปด้วยเสียงน่ารักๆ มิหนำซ้ำยังลืมแม้กระทั้งบาดแผล กระโดดลุกจากเตียงวิ่งไปที่ประตูและเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันคิดถึงแต่เบลล์ซัง
“ว้า!? …..ทะทะ ทำอะไรคะ อริซซามะ?”
“มุกิ๊ว”
แต่ฉันก็กอดเธอทันทีโดยไม่ตอบกลับ อาร๊า อาร๊า เบลล์ซังยิ้มให้และกอดฉันอย่างอ่อนโยน
และคลอริน่าซังก็ปรากฏตัวจากด้านหลังพร้อมพูดติดตลกด้วยรอยยิ้มว่า กำลังแสดงความรักให้กันและกันอยู่สินะคะ ยิ่งกว่านั้น มิร่าซังเองก็พูดว่า จริงๆเลย ออกมาเหมือนกัน
แล้วฉันก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นแก้มของเบลล์ซังที่ดูผ่อนคลายและเหมือนกับจะเขินอยู่นิดหน่อย พอเห็นแบบนั้นก็ทำให้แก้มของฉันร้อนขึ้นมาในทันที
“…………คู่หู”
กล่าวคือ ถึงเวลาทำงานของคู่หูแล้ว
“ถ้าอย่างงั้น………”
ข้าออกจากห้องของฮิเมะหลังคลอริน่าซังเข้าไป ข้าปิดประตูห้องตัวเองก่อนที่จะยืดตัว
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่โต๊ะทำงานและนั่งบนเก้าอี้
“ยังเหลืออีกนิด”
เมื่อมองไปที่กองกระดาษรายงานที่ยังไม่เสร็จ ข้าก็ถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนรวบรวมพลังอีกครั้ง
ข้าต้องนำไปส่งมอบให้ท่านแม่ทัพภายในประมาณหนึ่งสัปดาห์จากนี้ ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะทำให้เสร็จภายในวันนี้พรุ่งนี้
ข้าอ่านซ้ำอีกครั้งดูว่าตัวเองเขียนไปมากแค่ไหนแล้ว ก่อนหยิบปากกาขนนก และครุ่นคิด อื~ม
ข้าเขียนสถานการณ์ปัจจุบันของคฤหาส์และเมืองเสร็จแล้ว แต่ปัญหาคือเรื่องเกี่ยวกับฮิเมะ
แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังดูไม่แน่นอนอย่างมาก ตัวอย่างเช่น อาการเซื่องซึม
และเหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องเกี่ยวกับการทดสอบเวทมนตร์ ข้าสาบานไปแล้วว่าจะเก็บเป็นความลับ แต่ข้าก็ยังสงสัยว่าควรจะบอกท่านแม่ทัพดีไหม หรือว่าจะปิดปากให้สนิทดี
“อื~ม…… ม๊า”
ท้ายที่สุดรายงานก็ไม่มีความคืบหน้าด้วยเหตุผลเดียวกับเมื่อวาน ข้าถึงกับต้องถอนหายใจออกมา ท่านแม่ทัพโปรดปรานฮิเมะเป็นอย่างมาก ถ้าบอกไปข้ามั่นใจว่าท่านจะต้องเก็บเป็นความลับและช่วยสนับสนุนอย่างแน่นอน
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสรั่วไหลออกไปในระหว่างสักขั้นตอน ยิ่งมีตำแหน่งสูงเท่าไหร่ก็มักจะถูกล้อมรอบด้วยตาและหูของใครบางคนมากขึ้นเท่านั้น และข้าก็ไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าจะไม่มีคนของกลุ่มต่อต้านแฝงตัวอยู่ในนั้น
“ข้าควรจะทำยังไงดี”
ข้าไม่รู้ว่าตัวเลือกไหนจะดีกว่ากัน ทำได้แต่ใช้ความคิดวนไปเวียนมา
นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามคงหลีกเลี่ยงการปรึกษากับน็อกซ์เบลลซังที่เป็นคนนอกกองอัศวินไม่ได้อีกแล้ว…….
“มิแรนด้า ข้าขอเข้าไปได้ไหม?”
“คาลเมียร์? …..เอ๋ ได้สิ”
ข้าได้ยินเสียงจากอีกด้านของประตูก่อนอนุญาตให้เข้ามา
ใช่แล้ว อาจจะเป็นการดีที่จะลองขอความเห็นจากเธอ เรื่องการเก็บเวทมนตร์ของฮิเมะไว้เป็นความลับ เธอมาที่นี่ในฐานะข้ารับใช้เร็วกว่าข้า และยังเป็นหน่วยสืบราชการลับ และผู้คุมกันมาตลอด ถึงคาลเมียร์จะเป็นรุ่นเดียวกัน แต่เธอเป็นก็เป็นรุ่นพี่ในแง่การทำภารกิจ
จากนั้นคาลเมียร์ก็เปิดประตูเข้ามาและมองมาที่ข้า หลังจากนั้นก็ปิดประตูและเดินมานั่งบนเตียงด้วยท่าทีสบายๆ
“ดูเหมือนกำลังมีเรื่องกังวลใจอะไรบางอย่างอยู่สินะ”
“……ม๊า เสียงคร่ำครวญของข้าดังไปถึงห้องข้างๆให้เจ้าได้ยินเลยสิน๊า”
“การที่ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจทุกวัน ก็ทำให้รู้สึกขยะแขยงเหมือนกันน่ะ”
“พูดไม่เกรงใจกันเลยน๊า”
คาลเมียร์ค่อนข้างเป็นพวกพูดจาขวานผ่าซาก จนข้าแน่ใจเลยว่าทั้งฮิเมะ น๊อกซเบลซัง และฮัททีเรียซามะต้องนึกภาพไม่ถึงแน่ๆ แต่คาลเมียร์ก็เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ที่ข้ารู้จักแล้ว
เธอมักจะพูดอย่างใจเย็นตรงข้ามกับสีผม และมักจะไม่ค่อยพูดอย่างเสแสร้ง แต่พฤติกรรมตอนที่ได้เจอกันอีกครั้งในฐานะข้ารับใช้ เธอกลายเป็นคนที่ทำตัวเป็นมิตร สดใส และร่าเริง จนข้ารู้สึกแปลกๆ หรือพูดให้ชัดคือ น่าขนลุก
“…..เจ้ากำลังคิดอะไรหยาบคายอยู่สินะ”
“กำลังมโนภาพเจ้าอยู่”
“ยังพูดโกหกไม่เป็นเหมือนเดิมเลยนะ”
“ข้าแค่ไม่อยากโกหก”
คาลเมียร์ยักไหล่ทั้งสองข้าง แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“ดูเหมือนว่า รายงานจะไม่ไปไหนเลยนะ?”
“เอ่ออออ ….ก็แบบว่า นั้นไง เรื่องของฮิเมะน่ะ”
“…….ของอริซซามะ?”
ข้าหมุนรายงานยื่นให้คาลเมียร์ที่เอนคอมาอ่าน ก่อนที่จะเก็บกลับมา
ข้าพูดเข้าเรื่องด้วยความไว้วางใจว่าเธอจะสามารถคาดเดาเหตุผลได้อย่างแน่นอน
“ตัวอย่างเช่นหากเจ้ามีความลับที่จะสั่นคลอนราชอาณาจักรได้หากมีการรั่วไหล เจ้าจะยังรายงานให้ท่านแม่ทัพรับทราบหรือไม่”
“………อืม”
คาลเมียร์เปลี่ยนสีหน้าเป็นคลุ่นคิด เธอเข้าใจทันทีว่าเป็นนี่เรื่องที่ข้าไม่สามรถพูดออกไป ข้าเฝ้าดูอย่างเงียบๆก่อนที่สักพักจะเริ่มแกว่งขาไปมา
ทันใดนั้นดวงตาสีแดงของคาลเมียร์ก็เงยขึ้น จ้องตรงมาที่ดวงตาสีฟ้าของข้า
“――――ข้าคิดว่าควรจะบอกไป”
จากข้อสรุปที่คาลเมียร์มอบให้ ข้าจึงถามคำถามกลับไป
นี่เป็นคำถามที่ข้าต้องถามตัวเองด้วย
“แต่ถ้ามันรั่วไหลล่ะ?”
“อืมมม ถ้าแบบนั้นก็อย่าเขียนลงในเอกสาร แต่ควรใช้วิธีบอกด้วยวาจาจะดีที่สุด”
“อ้า เข้าใจแล้ว…….”
ใช่ มันเป็นปัญหาถ้าปล่อยข้อมูลไว้ในแบบที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ท่านแม่ทัพอาจจะผิดหวังสักระยะ อาจจะคิดว่าโชคร้ายที่ไม่ได้เห็นข้อมูลของฮิเมะในรายงานนี้ในทันที ข้าคิดแบบนั้น
แต่แน่นอนว่า ถ้าเป็นการพูดปากเปล่าก็จะมีโอกาศถูกรู้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในที่เดียวกันเท่านั้น อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีใครบางคนคอยสอดแนมอยู่ตลอดเวลา แต่ท่านแม่ทัพนั้นไม่มีทางที่จะหลุดปากออกไปโดยไม่ควบคุมตัวเองแน่นอน
“นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีเขียนบนกระดาษแผ่นอื่นที่ให้เผาทันทีหลังอ่านเสร็จ”
“แต่วิธีนั้น”
“นั้นสินะ แม้จะเพียงชั่วครู่ตั้งแต่รับฝากไปจนถึงเปิดอ่าน แต่มันก็สร้างความสงสัยให้กับผู้อื่นมองเห็นได้แล้ว แต่ก็สามารถพูดได้เหมือนกันว่าการพูดปากเปล่าก็สามารถเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันได้”
ใช่ ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม
“และถึงแม้จะเป็นคนที่ท่านแม่ทัพเลือกมา ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงในระหว่างการส่งมอบอยู่ด้วย”
“อืม เพราะแบบนั้นเจ้าควรไปที่เมืองหลวงเองโดยตรง ในระหว่างนี้ข้าจะรับหน้าที่อัศวินของอริซซามะเอง!”
“ก็รู้สึกดีขึ้นมานิด”
“ข้าเองก็ยังเป็นอัศวินเหมือนกันนะ”
คาลเมียร์ที่มีฝีปากแหลมคม ที่จริงก็คงอยากเป็นอัศวินผู้พิทักษ์อย่างเต็มตัวเหมือนกัน
ยังไงก็ตามนี่มันค่อนข้างหากยากเลยนะ ที่เธอจะแสดงออกรุนแรงแบบนี้ ยิ่งข้ารู้จักคาลเมียร์มากขึ้นเท่าไร เธอก็ขวานผ่าซากมากขึ้นเท่านั้น สาวน้อยที่ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้คนนั้นหายไปไหนกันแล้วน๊า
ถ้าไม่ได้มาพูดคุยกันแบบนี้ ข้าก็ไม่ได้สังเกตเลยจริงๆ แต่ยิ่งได้สัมผัส ข้าก็พบว่าเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหนตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ในช่วงฝึกขั้นพื้นฐาน
“……เน่ เจ้าน่ะใช่คาลเมียร์จริงๆเหรอ?”
“หยาบคาย…… แต่ข้าเองก็คิดเหมือนกัน ตอนที่ข้าเห็นเจ้ารับหน้าที่เป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของอริซซามะ ต่างจากมิแรนด้าก่อนหน้านี้ที่ไม่มีดวงตาเข้มแข็งและความตั้งใจ หรือรสนิยมแปลกๆ!”
“รสนิยมข้าไม่เกี่ยวสักหน่อย”
แก้มของข้าเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่ตั้งใจหลังถูกกระแทกเข้าจุดตาย ข้าทำได้แต่เบือนหน้าหนี
ข้าอยากได้ตุ๊กตาสัตว์มาซ่อนใบหน้าเหมือนเจ้าหญิงด้วยแล้วสิ
“……อริซซามะ ตัวข้าเปลี่ยนไปแล้วนับตั้งแต่ที่ได้ใช้เวลารวมกับอริซซามะ ถึงแม้ตนเองจะยังเจ็บปวด แต่มีบางอย่างที่ข้าสามารถรู้สึกได้ ข้ามองเห็นตัวตนที่มอบความเมตตาให้กับผู้อื่นเสมอ มิแรนด้าเองก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้ ฮิเมะอาจจะยังเด็กและให้ความรู้สึกราวกับจะหายวับไป แต่ก็ทำตัวน่ารักน่าทะนุถนอม จนสามารถกระตุ้นทำให้ความรู้สึกอยากปกป้องลุกโชกขึ้นมา
แต่ยิ่งไปกว่านั้น ข้าแน่ใจว่าตนเองกำลังถูกดึงดูดด้วยบางสิ่งที่อริซซามะ ที่ฮิเมะมีอยู่ ดูเหมือนว่าคาลเมียร์เองก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน ถึงความจริงพวกเราจะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม
“……นี่คือความสามารถ หรือ มนตร์เสน่ห์อะไรแบบนั้นสินะ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้น”
ข้าและคาลเมียร์ที่รู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของ〝ฮิเมะ〟จนสามารถลืมทุกสิ่งได้เหมือนกัน
ข้าแน่ใจเลยว่าใบหน้าของพวกเรายามนี้ไม่ใช่ทั้งของอัศวินหรือข้ารับใช้ แต่เป็นใบหน้าของสาวน้อยบริสุทธิ์คนหนึ่งในยามที่ได้ยินเรื่องราวของเทพนิยายเป็นครั้งแรก