[นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 24 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 4 เมดสาวผมแดง
- Home
- [นิยายแปล(WN)] ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 24 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 4 เมดสาวผมแดง
ตอนที่ 4 เมดสาวผมแดง
ตักทรายลงถังไม้ให้กลบจานชาม ก่อนถูอย่างนิ่มนวล แล้วขัดซ้ำเพื่อขจัดน้ำมันและเศษอาหารเล็กๆที่ยังเหลืออยู่บนจานชาม
ชุดจานชามสำหรับการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษพวกนี้ไม่ได้ใช้งานมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ในขณะที่ฉันกำลังล้างจานชามที่กองซ้อนกันอยู่ เหล่าเพื่อนร่วมงานของฉันก็กำลังนำวัตถุดิบส่วนผสมที่ไม่ได้ใช้กลับไปเก็บในคลังเก็บของ
พูดถึงเรื่องการทำความสะอาดแล้ว ฉันได้ยินมาว่าที่พระราชวังกับคฤหาสน์ของผู้ร่ำรวยบางแห่งในเมืองหลวงจะใช้น้ำในการทำความสะอาดทั้งหมด ช่างเป็นเรื่องราวที่ดูหรูหราจริงๆ
“ให้ตายสิ……..”
อย่าว่าแต่จะใช้น้ำล้างจานชามเลย แรกเริ่มแล้วประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่แค่การจะมีจานชามให้ใช้ก็ลำบากลำบนกันสุดๆแล้ว
เส้นผมสีแดงที่ตกลงบนหน้าถูกปัดไปที่หลังหูด้วยต้นแขนทันที ในขณะที่เช็ดทรายออกจากจานที่ทำความสะอาดพอสมควรแล้ว ฉันก็หยิบมันออกจากถังพร้อมด้วยความคิดที่ว่าการล้างจานคือการความเหนื่อยยากแสนสุข
“คาลเมียร์ซัง อยากให้ฉันทำแทนไหมคะ?”
“ไม่ไม่ ไม่เป็นไร! นี่ก็จานใบสุดท้ายแล้ว!”
ทั้งๆที่งานใกล้จะเสร็จแล้ว แต่ฉันดูเหม่อลอยจนไม่เหมือนกำลังจะเสร็จงานสินะ ฉันเลยยิ้มตอบอย่างเกรงใจให้เธอที่ปรากฏตัวมาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ
ยังไงก็ตามหากชินแล้ว การล้างจานก็เป็นเรื่องง่ายๆ ส่วนที่ยากจะมีแค่การระวังไม่ให้ทรายหกลงพิ้น ในการทำความสะอาดด้วยทรายนั้น มันสามารถลอยฟุ้งได้ง่ายๆ จนแม้แต่จานชามที่วางไว้บนโต๊ะสูงมันก็สามารถลอยไปถึงและทำให้สกปรกได้
“งั้นเหรอคะ ถ้าอย่างงั้น ฉันขอตัวไปก่อนนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณสำหรับการทำงานอย่างเหนื่อยยากค่ะ”
เธอถอดผ้ากันเปื้อนสำหรับห้องครัวออกแล้วแขวนไว้ที่ผนังถัดจากประตูก่อนออกไป ฉันมองให้แน่ใจว่าเธอออกจากห้องไปแล้ว
ก่อนหันกลับมามองที่มือของตัวเอง
“ฉันเริ่มชินแล้ว สินะ”
คนรับใช้คนอื่นนอกจากฉัน รวมถึงแมม หัวหน้าคนรับใช้ต่างอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี่มาตั้งแต่แรกเริ่ม ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างเป็นผู้ช่ำชองที่คอยรับใช้ตระกูลแฟร์มีลมาอย่างยาวนาน น่าจะสักสิบปีมาแล้ว ดังนั้นในฐานะที่เป็นคนรับใช้ที่เข้ามาใหม่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ฉันจึงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการปรับตัวและการเข้าร่วมวงพูดคุย
……แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ฉันก็ไม่ได้อยากจะพูดคุยเจาะจงอะไรเป็นพิเศษกับพวกเธอหรอกนะ ทุกคนค่อนข้างดีกับฉันมากๆ มันแค่เป็นเรื่องการเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมของความสัมพันธ์และระยะห่าง ความแตกต่างของเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน
แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ บางครั้งฉันก็ทำพลาดร้ายแรงไป ฉันสงสัยว่าฉันชินกับมันจริงๆเหรอ
ทันใดนั้นฉันก็นึกถึงวันแรกที่ได้มาที่นี่ ฮัททีเรียซามะเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง กับอริซซามะที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงราวกับไร้ชีวิต แต่ในวันนี้ ทั้งสองท่านถูกรายล้อมด้วยผู้คนมากมาย มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นซ้อนทับกัน แก้มของฉันผ่อนคลายลงเมิ่อนึกถึง
“ฟุๆๆๆ”
ฉันใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดทรายที่ยังเกาะอยู่เบาๆ
ก่อนวางไว้บนโต๊ะ แล้วถอนหายใจเบาๆด้วยความรู้สึกแห่งความสำเร็จพึงพอใจ
“…..ฟู๊ว”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานนะ คาลเมียร์”
แล้ว เสียงที่ดังกังวาลโดยไม่มีการเตือน ทำเอาฉันตกใจสะดุ้งไหล่เด้งทันที
“วะ โตะๆๆ แมม!ขอบพระคุณมากค่ะ”
“…….ช่วยหยุดเรียกดิฉันว่าแมมทีเถอะค่ะ”
ฉันรีบมองกลับไปที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แมม น็อกซ์เบลซังยืนอยู่ตรงกำแพงของห้องครัวด้านหลังของฉันที่เมื่อกี้ยังคงไร้วี่แววว่ามีคนอยู่
การเรียกแมมโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นนิสัยติดตัวของฉันมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ มันเป็นการแสดงออกถึงความเคารพ
“…..ดีแล้วเหรอ?”
“ระ เรื่องอะไรงั้นเหรอคะ?”
“ก็มีเรื่องที่อยากคุยด้วยเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอ”
ปกติเธอจะอ่อนโยนอย่างไม่ต้องสงสัย เธอจะไม่ฝืนพูดเจาะจงแบบนี้ มักจะเหลือเส้นทางสำหรับหลีกเลี่ยงเอาไว้ให้เสมอๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้ฉันไม่รู้สึกถึงทางหนีเลย
“ดิฉัน คาลเมียร์ คือ เมดของคฤหาสน์หลังนี้ค่ะ”
“….ใช่ แต่ ที่ตรงนั้นดูเหงามากๆเลยนะ จะเว้นระยะห่างแบบนี้ต่อไปจริงๆเหรอคะ?”
“ค่ะ……แน่นอน ดิฉันรู้สึกทั้งขอบคุณและรู้สุกได้ถึงปรารถนาดี แต่ ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่รู้วิธีการเข้าหาผู้อื่นค่ะ”
“แต่กับอริซซามะ กลับพูดได้อย่างไม่เกรงใจเลย?”
“อุก…….”
จู่ๆก็โดนโจมตีเข้าจุดอ่อนร้ายแรง จนฉันหมดหนทางแก้ตัว
…..ที่จริงฉันก็เข้าใจดี ว่าควรจะทำอะไรควรจะพูดอะไร
แต่เมื่อคิดว่าตนเองจะไม่เป็นที่ยอมรับ มันก็ทำให้ฉันกลัวมากๆ จนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว เธอรู้ดีจึงพยายามผลักหลังฉันเสมอ
“……ตอนนี้ดิฉันจำเป็นต้องพูดคุยกับฮัททีเรียซามะที่ห้องโถงสักพัก อา และเพราะว่าดิฉันต้องจัดห้องให้เสร็จโดยเร็ว…..ถ้ายังไงจะช่วยไปอธิบายให้อริซซามะฟังให้หน่อยได้ไหมคะ?”
ในการเลือกห้องที่จะจัดสรรให้กับมิแรนด้าที่กำลังจะจบจากการฝึกพิเศษในไม่ช้าและย้ายมาอยู่ที่นี่นั้นมีปัญหามาตั้งแต่แรก ถ้าให้พูดชัดๆคือไม่มีห้องว่างเหลือแล้ว
ไม่มีทางให้ใช้ห้องของอลิเซียซามะได้ เป็นปัญหาที่ทำให้ข้ารับใช้ทุกคน รวมถึงฉันและแมมต้องหัวหมุน ผลสรุปที่ได้คือ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมีคนที่ต้องออกจากห้องพักไปหนึ่งคน
ปัญหาถัดไปคือ ใครจะเป็นคนที่ต้องออกจากห้อง และจะไปอยู่ที่ไหน ท้ายที่สุดแม้จะแก้ปัญหาของมิแรนด้าได้ ก็ยังเหลือปัญหาแบบเดียวกันอยู่ดี
ยังไงก็ตามหลังการพูดคุยในที่สุดแมมก็เลือกที่จะออกจากห้องเอง
เมื่อไปปรึกษากับฮัททีเรียซามะก็ได้รับการตอบรับด้วยความยินดีกลับมา อย่างที่คิดไว้เลย
แน่นอนว่ามีเงื่อนไขที่ว่าจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวด้วย ถึงจะเป็นความคิดที่เสียมารยาท แต่ฉันหรือใครๆก็ไม่คิดว่าแมมจะถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน
หลักฐานคือเริ่มมีการเดินหน้าจัดห้องในช่วงเวลาที่ฉันกำลังพูดอยู่ในขณะนี้
……ไม่สิ เกี่ยวกับแมม แทนที่จะบอกว่าเธอไม่ได้พิจารณาให้ดี เธอแค่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำเช่นนั้น แน่นอนที่สุด เพราะเธอไม่สามารถซ่อนความสุขเอาไว้ได้เลย หรืออย่างน้อยก็พูดได้ว่าตอนนี้เธอดูมีความสุขสุดๆ
“……ต่อให้เป็นแมมเอง แต่การยื่นมือเข้าไปหาโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกันนะคะ?”
“――――ห๊าาาา!?”
ฮะแอม กระแอม และกรีดร้อง
แมมที่หลุดคำพูดไม่เป็นภาษาช่างเป็นภาพที่หาได้ยากจริงๆ
“พะ พูดอะไรออกมาน่ะ? ดิฉันไม่ใช่มิแรนด้าซังนะ ดิฉันคิดกับอริซซามะ…… ! ในตอนนั้นเป็นการเข้าใจผิดเพราะเรื่องล้อเล่นต่างหาก――――”
“อะ ฮ่าๆๆๆ”
ต่อให้เป็นแมมที่สามารถจัดการทุกอย่างให้อย่างยอดเยี่ยม แต่เมื่อเป็นเรื่องของอริซซามะที่แม้จะเป็นแค่เรื่องไร้สาระเล็กน้อยแค่ไหน ก็สามารถกะเทาะหน้ากากเหล็กให้หลุดล่วงเหลือเพียงใบหน้าของสาวน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความน่ารักได้ทันที
แต่ถึงแม้ฉันจะหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันตั้งใจจะล้อเล่นหรอกนะ ฉันหมายถึงทุกครั้งที่แมมมองไปที่อริซซามะ ฉันก็ไม่เห็นอย่างอื่นนอกไปจากความเคารพและความรัก นี่เป็นเรื่องของอริซซามะกับแมมที่ทุกคนเข้าใจและรับรู้ร่วมกัน มีแค่ทั้งสองคนเท่านั้นที่ไม่รู้ตัว
“ดิฉันล้อเล่นค่ะ แต่ก็จริงจังค่ะ”
“แบบไหนกัน….”
ฮา ฉันเงยหน้าขึ้นมองเพดาน แล้วก็ต้องประหลาดใจว่าเป็นการแสดงออกที่ดูเหงานิดหน่อย ว่าแล้วท้ายที่สุดฉันก็พอจะรู้ตัวนิดๆ แต่ก็มีกำแพงขวางกันมากเกินไปที่จะให้ฉันเปิดเผยแบบตรงไปตรงมาได้
“….ยังไงก็ตามดิฉันก็อยากได้คำอธิบาย”
“ค่ะ …..แต่ว่าแมมถึงแม้ท่านจะต้องระงับความรู้สึกของตนเองไว้ด้วยเพราะฐานะของตนเอง แต่เรื่องที่คิดจะยอมแพ้ด้วยตนเองนั้น มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ได้โปรดห้ามทำเด็ดขาดเลยนะคะ”
“….เลิกเรียกดิฉันว่าแมมทีเถอะนะคะ แล้วก็”
แมมหันกลับไปเปิดประตูห้องครัว แล้วก้าวออกไปก่อนที่จะหยุด
“เธอเองก็เหมือนกัน”
เธอทิ้งคำพูดที่แสนเจ็บปวดแล่นแปล๊บๆไว้ให้ก่อนจากไป จากนั้นก็เป็นฉันที่ออกจากห้อง
“กุฟุ”
หลังเติมเต็มท้องจนแน่นเปรี๊ยะด้วยสเต็กเนื้อพูนจานและแมเรียน ตอนนี้ฉันก็ได้แต่ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ห้องที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความตื่นเต้นได้เปลี่ยนกลับมาเป็นห้องธรรมดาๆที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบปกติ
“เหนื่อย……”
ฉันมีความสุขกับอาหารมื้อเย็นที่ได้กินเลี้ยงฉลองในวันเกิดพร้อมกับทุกๆคน เรื่องนั้นไม่มีผิดพลาด
แต่ยังไงก็ตาม การที่ต้องพูดคุยกับคนจำนวนมากมันก็ทำให้เหนื่อยสุดๆเหมือนกัน ยิ่งมากขึ้นเมื่อคุณไม่ได้เจอคนนอกคฤหาสน์มานานหลายปี
ฉันไม่รู้จะขอบคุณเบลล์ซังยังไงดี ในตอนที่ฉันเริ่มเหนื่อยเล็กน้อย เธอก็สังเกตเห็นและบอกให้ทุกคนได้รู้
ทั้งๆที่อุตสามีโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองแบบนี้ทั้งที แต่ในเมื่อร่างกายเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ความรู้สึกของฉันเต็มไปด้วยความเสียใจ ฉันรู้ตัวอีกครั้งว่าตัวเองยังแข็งแรงไม่พอ
“อยากพูดคุยให้ได้มากกว่านี้”
เมื่อเร็วๆนี้ฉันได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ ฉันเกิดมาพร้อมความปรารถนามากมายที่อยากจะพูดคุยกับผู้คน
แค่อยากจะคุยให้มากกว่านี้ ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นเพราะความไม่พร้อม ไม่ใช่เพราะจากความเห็นแก่ตัวหรือจากตรรกะของฉัน มันเป็นความรู้สึกของอารมณ์ที่ตรงไปตรงมา
เกี่ยวกับคำศัพท์เองตอนนี้ก็รู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ต้องไม่เป็นไร ปัญหาคือความแข็งแกร่งทางกาย ดังนั้นการพูดการสื่อสารคือต้องทำให้〝เคยชิน〟ไงล่ะ
ม๊า แต่ยังไงเรื่องของคำศัพท์ก็ไม่ใช่ของที่จะสามารถเรียนรู้ได้ในทันที ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะค่อยๆสะสมความรู้ไปทีละเล็กละน้อยและใช้ให้คุ้นเคย
“…..ความสัมพันธ์”
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ชาติก่อนมีกี่ครั้งกันนะที่ฉันได้ติดต่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนแบบเป็นการส่วนตัว
เข้าใจล่ะ ฉันกำลังสับสนอยู่นั้นเอง เพราะฉันไม่เคยสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้มาก่อน มันคือความสัมพันธ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังดี
“ความโศกเศร้า”
ความจริงนี้เป็นครั้งแรกที่ทุกอย่างช่างดูว่างเปล่านิดหน่อย ฉันกอดตุ๊กตาเอาไว้แน่น
“ฟู๊ว…..”
ฉันมองย้อนกลับมายังปัจจุบัน ก่อนเงยหน้ามองเพดานด้วยสายตาที่เริ่มเบลอเล็กน้อย
ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูของคนอื่นที่วันนี้ฉันไม่คิดว่าจะได้ยินนอกจากของเบลล์ซัง
“คือ…..ขออภัยที่รบกวนค่ะ อริซซามะ ดิฉันขออนุญาตเข้าไปได้หรือไม่คะ?”
“ก่ะ”
เป็นคาลเมียร์ที่เปิดประตูเข้ามาทันทีหลังจากที่ฉันตอบกลับ
เธอเดินมาหยุดที่ขอบเตียง แล้วเมื่อเห็นว่าฉันใกล้หลับเต็มทีก็รีบเข้าเรื่องทันที
“….อริซซามะ ไหวรึเปล่าค่ะ? ยังไงเอาไว้โอกาสหน้า”
“ม๊ายเป็นร๊าย”
เพราะดูท่าทางของเธอเหมือนลังเลใจ ฉันเลยตอบกลับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ฉันพยายามฝืนอาการง่วงนอนจนอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น และกระตุ้นให้เธอพูดต่อ
“เอ๊ะโตะ ทราบรึไม่คะ ว่ามิแรนด้ากำลังจะมาอยู่ที่นี่?”
“อืม รู้บางส่วนแล้ว”
เธอมาอยู่ที่นี่แทบจะทุกวันแล้ว เพราะงั้นมันคงไม่สะดวกนักหากต้องเดินทางไปๆมาๆระหว่างสองที่ แบบนั้นดูจะลำบากสองต่อเลย
ยังไงก็ตามจากการกระทำและการพูดคุยก่อนหน้านี้ ฉันก็พอจะเดาได้ว่ามีการตัดสินใจให้มิร่าซังมาอาศัยอยู่ที่นี่หรือบางทีอาจจะให้อาศัยอยู่ในสถานที่ใกล้เคียงตั้งแต่ที่เธอกลายเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของฉัน
“อย่างที่อริซซามะคาดการณ์ไว้เลยค่ะ แต่ยังมีปัญหาเหลืออยู่หนึ่งอย่างค่ะ”
“ปัญหา?”
“ค่ะ ที่คฤหาสน์แห่งนี้ไม่เหลือห้องว่างให้มิแรนด้า”
“…..อะ งั้นเหรอ”
ว่าไปแล้วก็จริง เท่าที่ฉันจำได้ ห้องส่วนตัวในคฤหาสน์แห่งนี้เต็มทุกห้องแล้ว และแม้ว่าเธอจะได้เป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของฉัน แต่ก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะให้เธอเข้าไปอยู่ในห้องของคุณแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วได้
ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นคนที่ต้องย้ายห้อง แต่ฉันพยายามไม่คิดมากเรื่องนั้น เพราะฉันรู้สึกได้ว่าคุณพ่อกับเบลล์ซังต้องเป็นกังวลไม่อยากให้ฉันป่วยเพิ่มจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมาในทีเดียว
“แล้วทำยังไงเหรอ?”
“ห้องของมิแรนด้าคือ พวกเราเหล่าเมดต้องสละห้องให้หนึ่งห้องค่ะ แต่ คราวนี้ก็เป็นปัญหาในการหาห้องพักให้กับคนที่สละห้องค่ะ”
“อืม”
แค่ฟังก็พอจะเห็นภาพของปัญหาที่วกกลับไปกลับมาเป็นวงเวียนแล้ว ยังไงก็ตามเหล่าเมดซังอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้นมีความสามารถทำงานได้ยืดหยุ่นหลากหลายมากกว่า นอกจากนี้ยังถูกไว้วางใจมากกว่ามิร่าซังเป็นคนมาใหม่
“แล้ว ห้องที่ถูกเลือกคือ……..”
“เบลล์?”
ฉันพอจะอ่านสถานการณ์ออกแล้ว เรื่องเกี่ยวกับกับย้ายเข้ามาอยู่ของมิร่าซัง หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อฉัน จะต้องถูกนำมาพูดคุยกันอย่างละเอียด
และสถานการณ์ปัจจุบัน ห้องเก็บของและห้องครัวก็เป็นไปไม่ได้ และถ้าถามถึงพื้นที่อยู่อาศัยที่อื่นๆที่หนึ่งคนจะอยู่ได้แล้ว ไม่มีทางที่เมดจะไปอยู่ในห้องของคุณพ่อได้ ห้องทำงานก็เหมือนกัน และจากห้องของเบลล์ซังที่ฉันเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ ก็ทำให้เห็นว่าห้องสำหรับข้ารับใช้ในคฤหาสน์หลังนี้เล็กเกินไปสำหรับการอยู่อาศัยพร้อมกันหลายคน
ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะเหลืออยู่เพียงตัวเลือกเดียว คือ
ห้องของฉัน
นั่นคือ จะมีเมดซังหนึ่งคนมาอาศัยอยู่ในห้องนี้กับฉัน ฉันเลยแน่ใจว่าที่เธอมาก็เพื่อที่จะถามยืนยันว่าฉันจะยอมรับได้ไหม
“นั้นแน่นอนว่าหากอริซซามะไม่ชอบ ที่จะให้แมม…..น็อกซ์เบลซังมาอยู่ที่ห้องนี้……”
“ดีแล้ว”
“เอ๊ะ”
ฉันตอบกลับคาลเมียร์ซังอีกครั้งว่า ดีแล้ว อย่างรวดเร็วและแน่วแน่ และ
ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ฉันไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่จะต้องอาศัยอยู่กับเธอในห้องเดียวกันหรอกนะ และก่อนหน้านี้เธอก็ได้อุทิศทั้งกายและใจให้ฉันอย่างแท้จริง
“ดีแล้วเหรอคะ? ….ไม่สิ ขอประทานอภัยด้วยค่ะ ที่ดิฉันพูดความคิดเช่นนั้นออกไป แต่……”
“อืม เรื่องของเบลล์ รักที่สูด เพราะงั้นม๊ายเป็นร๊าย”
“…..โก๊ะฮง”
“หืม?”
“มะๆๆไม่มีอะไรค่ะ!อริซซามะ ดีจังเลยค่ะ เช่นนั้นแมมจะย้ายเข้ามาอยู่ในไม่กี่วัน ขอให้ทั้งคู่มีความสุขมากๆนะคะ”
“อะ อืม…….”
เมื่อครู่ฉันรู้สึกเหมือนเห็นใบหน้าของพ่อแม่ที่ค่อยดูแลคิดถึงลูกๆบนใบหน้าของคาลเมียร์ซัง ใบห้นาที่เหมือนคุณพ่อที่คอยดูแลฉัน อาจจะเป็นการคิดไปเองของฉันก็ได้
หลังจากเงียบสักครู่ คาลเมียร์ซังก็ยืนขึ้นด้วยท่าทางนิ่งเฉย จากนั้นค่อยเดินไปทางประตู
แผ่นหลังของเธอให้ความรู้สึกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ฉันเลยถามออกไป
“…..เป็นอะไรไปเหรอ?”
“….คือง่า เรื่องนั้น มันเป็นเรื่องที่แปลกสักนิดหากให้ปรึกษากับอริซซามะ แต่”
“ม๊ายเป็นร๊าย”
“คือ เรื่องของครอบครัวดิฉันค่ะ………..”
จากนั้นคาลเมียร์ซังก็หันกลับมาพร้อมหางคิ้วตกเป็นสีหน้ามีปัญหาครั้งแรกที่ฉันได้เห็นจากเธอ
“…..ดิฉันจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกรักออกไปอย่างตรงไปตรงมาได้เหมือนท่านรึเปล่าคะ?”
ความกังวลที่ออกมาเป็นของจริง ฉันเองก็ง่วงหนักแล้วเหมือนกัน แต่ฉันจะตอบอย่างจริงจัง
“อืม………”
“อะ…..ฮ่าๆๆๆ ขอโทษด้วยค่ะ ว่าแล้วเชียว ช่วยลืมเรื่องที่ได้ยินทั้งหมดทีนะคะ! นอกจากนั้น――――”
“รักใช่ไหม?”
“อ……เอ เอ๊ะโตะ…….”
“――――รักหรือไม่รัก?
“……รักค่ะ”
ฉันไม่รู้ว่าทำไมคาลเมียร์ซังถึงกลุ้มใจที่ไม่สามารถซื่อตรงกับคนในครอบครัวได้
แต่ถ้าคุณรัก คุณก็ควรสื่อความรู้สึกนั้นออกไปอย่างเหมาะสม นับตั้งแต่ตอนนี้
…..อย่างวันเวลาที่ฉันคิดว่าจะสามารถดำเนินไปได้อย่างปกติสุขทุกวัน มันก็สามารถถูกทำลายลงได้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
มันเป็นเรื่องจริงที่ฉันพึ่งจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ดังนั้น
“ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันบอกจะดีพอไหม ดังนั้น เอ๊ะโตะ…….”
“อริซซามะ…..”
ฉันถ่ายทอดคำพูดได้ไม่ดีนัก แต่ฉันไม่อยากให้คาลเมียร์ซังที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอต้องคร่ำครวญด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ
“ต้องพูดคุย ดี ทำอะไรก็ได้ ดี แต่ ไม่ทำอะไรเลย ห้าม สมบูรณ์แบบ”
คาลเมียร์ซังอ้าปากค้าง จากนั้นเธอก็ปิดปากและหลับตาแน่นในเวลาเดียวกัน
และจากนั้นก็ลืมตาสีดวงอาทิตย์ออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ริ้วรอยแห่งความลังเลก่อนหน้านี้หายไปจนไม่เหลือ
“――――ขอบพระคุณมากค่ะ อริซซามะ ดิฉันคงจะยังไม่พร้อมพูดคุยกันตรงๆ ดังนั้น……จะพยายามเขียน〝จดหมาย〟แทนก่อนค่ะ ดิฉันจะเขียนจดหมายที่ตรงไปตรงมาและซื่อตรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักค่ะ”
“……อืม!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรของฉัน ดูเหมือนจะสื่อไปถึงคาลเมียร์ซัง
“ต้องขอบพระคุณมากจริงๆนะคะ อริซซามะ”
ที่จริง ฉันเริ่มกังวลเกี่ยวกับหัวข้อเนื้อหาในจดหมายแทนทันทีแล้วสิ
คาลเมียร์ซังขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจับประตูแล้วหันกลับมาฉัน ฉันเลยส่งเสียงเชียร์กลับไปให้
“พยายามเข้า”
“…….ค่ะ!”
นี่เป็นบางสิ่งที่ฉันพอจะสามารถทำได้ แม้จะน้อยนิดก็ตาม เป็นวิธีที่คนไร้กำลังแบบฉันสามารถช่วยได้
เธอกล่าวราตรีสวัสดิ์ และออกจากห้องไป ฉันหวังว่าจดหมายของคาลเมียร์ซังจะเข้าถึงหัวใจของคนสำคัญของเธอ
ในไม่ช้า ฉันก็หลับสนิท