[นิยายแปล] เส้นทางแห่งจอมมาร จอมมารเกิดใหม่ 1,000 ปีให้หลัง กลายเป็นโคโบลด์สุดกระจอก แต่ความรู้และประสบการณ์อยู่ครบ จะสั่งสอนพวกมนุษย์ที่ทำตามใจชอบโดยอ้างเทพเจ้าและความยุติธรรมเอง - ตอนที่ 4
บทที่ 4 จงภูมิใจเสียเถิด
“…ไม่มีอาหารที่ดีกว่านี้หรือ? ข้าไม่คิดว่าสิ่งนี้จะคู่ควรต่อราชาหรอกนะ”
“มันช่วยไม่ได้หรอกครับ ก็มีแค่นี้เองนี่นา”
ผู้อ้างตัวเป็นจอมมารซึ่งในขณะนี้อยู่ในร่างโคโบลด์นามว่าอูล โอม่าออกปากบ่นเป็นหมีกินน้ำผึ่ง เมื่อเห็นแมลงที่ส่งเสียงร้องกิจิกิจิถูกยื่นมาให้เป็นอาหาร
และผู้ที่ยื่นแมลงรสชาติไม่ได้เรื่องมาให้นี้ก็คือโคโบลด์หนุ่มน้อยอัจฉริยะนามว่าโคลต์
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตามที่พูดเอาไว้ เอาอาหารมาให้แล้ว! คุณเป็นใครกัน! แล้วทุกคนหายไปไหนหมด!!”
“ร้องวี้ดว้ายอยู่ได้ หนวกขูจังน้า… เจ้าแมลงนี่ รสชาติแย่ แถมยังมีกลิ่นแปลกๆ”
“เรื่องรสชาติมันก็นะ แต่กลิ่นพวกนี้เป็นเพราะพวกมนุษย์นั่นแหละ”
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่โคลต์จะต้องรับรู้คำบ่นของอูลแม้แต่น้อย
โศกนาฏกรรมที่โถมเข้าใส่ฝูงโคโบลด์ ถูกล่าสังหารจนเหลือแค่ตนเพียงตัวเดียว ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่มาพร้อมกับโคโบลด์ที่ไม่รู้จักอย่างอูล โอม่า สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุดคือคำอธิบายจากโคโบลด์ที่ไม่รู้ที่มานี้
ที่ที่อยู่ในตอนนี้คือถ้ำที่อยู่ห่างจากถ้ำที่เหล่าโคโบลด์เคยอยู่เล็กน้อย
โดยพื้นฐานแล้วสำหรับโคโบลด์ที่ต้องใช้ชีวิตพลางหลบหนีอยู่เป็นประจำ การย้ายถิ่นฐานก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ใช้สัญชาตญาณตรวจตราบริเวณโดยรอบเพื่อหาถ้ำล่วงหน้าเอาไว้ยามที่ต้องหลบหนีในกรณีฉุกเฉิน ในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องย้ายถ้ำที่อยู่อาศัย เนื่องจากถ้ำเดิมได้ถูกมนุษย์ใช้ควันที่มีกลิ่นเหม็นไล่ฝูงโคโบลด์ออกมาจากถ้ำ ทำให้ถ้ำไม่สามารถถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้อีก
ในขณะนั้น โคลต์จำเป็นที่จะต้องขนย้ายแมลงกิจิที่ใช้เป็นอาหารออกมาจากถ้ำเพราะว่าอูลกำลังหมดสติจากภาวะขาดพลังเวทย์ เพื่อที่จะฟื้นฟูพลังกายและพลังเวทย์ อาหารและการพักผ่อนคือสิ่งที่จำเป็น สิ่งนี้คือสัจธรรมของโลก
“…เอาเถอะ ยังไงก็ย่อยมนุษย์พวกนั้นไปหมดแล้ว อย่างน้อยก็ได้พละกำลังขั้นต่ำกลับคืนมาแล้วล่ะนะ…”
ระหว่างที่กำลังบ่นก็จัดการแมลงกิจิไปจนหมด ไม่พูดไม่จาเอาแต่กินเหมือนกับตายอดตายอยาก ท้องว่างแบบไม่มีอะไรอยู่เลย (腹持ちがいいものでは決して無いが、とにかく食わねば死ぬと言わんばかりの食いっぷりであった)
“เอาล่ะ ว่ายังไง เจ้าหนู?”
“ไม่ใช่เจ้าหนู ชื่อโคลต์ต่างหาก! ก็ทั้งหมดเลยนั่นแหละ!”
โคลต์รีบเร่งเข้าใส่อูลที่จัดการมื้ออาหารเสร็จแล้ว
เรื่องที่โคลต์อยากจะถามมีอยู่สองเรื่อง คือ ตัวตนของอูล และเกิดอะไรขึ้นกับพวกพ้อง
โคโบลด์ที่ขนาดตัวใหญ่กว่าเล็กน้อยขยับตัวเข้าหาโคลต์ที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านด้วยด้วยท่าทางอันมั่นใจและทรงเกียรต์ไม่สมกับโคโบลด์แล้วตอบคำถาม
“อืม…ก่อนอื่นก็พวกพ้องของแก…โคโบลด์พวกนั้นสูญสลายไปหมดแล้”
“ส…สูญสลาย…”
“แม้ว่าจะขาดสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง แต่เจ้าพวกนั้นได้ทำพันธสัญญากับข้าเพื่อ ปกป้องโคลต์ โดยแลกกับชีวิตทั้งหมดและมอบร่างเนื้อของตนให้กับข้า และความปราถนานั้นก็ได้รับการตอบสนองแล้ว มิใช่การตายโดยสูญเปล่าอย่างแน่นอน”
อูลตอบคำถามนั้นออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก
โคโบลด์นั้นมีวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญต่อเผ่าพันธ์มากกว่าตัวตนปัจเจก หากสามารถทำให้ฝูงอยู่รอดต่อไปได้ การเสียสละแค่หนึ่งหรือสองตัวนั้นก็ถือว่ายอมรับได้
จากมุมมองเช่นนั้นแล้ว การที่เสียทั้งฝูงไปแล้วรอดเพียงแค่หนึ่งจึงเป็นเรื่องน่าโศกเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโคโบลด์ที่มีสติปัญญาเลิศล้ำอย่างโคลต์แล้ว การที่เหล่าพี่น้องได้จากไปกันหมดแล้วนั้นคือความโศกเศร้าเหลือคณา
“…เพื่อผมงั้นเหรอ?”
“ความอยู่รอดของแกคือความปราถนาของเจ้าพวกนั้น จงอย่าโศกเศร้า แต่มองไปยังอนาคต”
แม้จะอวดดี แต่อูลก็กล่าวเรื่องที่ถูกต้องออกมา เป็นคำพูดอันโหดร้ายที่ไม่สนอารมณ์ของคนอื่น
นั้นเอง ทำให้โคลต์สามารถที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงได้โดยไม่ปล่อยใจไปแม้แต่เพียงชั่วครู่
“เอาล่ะ…แล้วแกตั้งใจจะทำยังไงต่อไปงั้นหรือ?”
“จะทำยังไงต่อไป…”
“ยังไงก็ตาม พันธสัญญาจะต้องได้รับสนอง ในยามทั่วไป ร่างสัญญาจะต้องมีการกำหนดรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ตอนนั้นไม่มีเวลาเหลือพอล่ะนะ ในสัญญาจึงมิได้ระบุห้วงเวลาเอาไว้ เพราะฉะนั้นจนกว่าข้าจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ เอาเป็นว่าข้าจะคอยดูแลเจ้าจนกว่าจะตัดสินได้ว่าเจ้าจะไม่ตายแม้จะถูกปล่อยเอาไว้ตัวคนเดียว”
อูลพูดไปพลางส่ายหน้าแฝงความเอือมระอา
โคลต์มองไปที่อูลด้วยความสงสัยในคำกล่าวอ้าง
“…ทำไมถึงต้องทำสัญญาแบบนั้นล่ะ?”
โคลต์ไม่สามารถเข้าใจได้
ในสังคมของโคโบลด์นั้น ไม่มีแนวคิดในเรื่องการทำสัญญา เพราะทั้งฝูงก็คือชีวิตเพียงหนึ่ง แม้จะไม่มีสิ่งผูกมัดก็ต่างช่วยเหลือกันอยู่ดี
จึงได้ถามออกไปเช่นนี้ อูลจึงส่งสายตาเหมือนเห็นคนโง่แล้วตอบออกไป
“คำถามไร้สาระ…เพราะว่าข้าเป็นราชาอย่างไรเล่า”
“ราชา?”
“ใช่แล้ว ถ้าราชาไม่รักษาพันธสัญญาแล้วประเทศก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ วาจาแห่งกษัตริย์นั้นคือที่สุด…ข้าไม่สามารถละทิ้งหลักการนี้ได้”
อูลประกาศด้วยความภาคภูมิ ว่าผู้เป็นราชาจะไม่ผิดสัญญาอย่างเด็ดขาด
ต่อคำพูดเช่นนั้น ก็มีคำถามโง่ๆ โยนกลับมา
“ราชาที่ว่า คือหัวหน้าเผ่างั้นเหรอครับ?”
“…ระดับมันต่างกันหรอกนะ แต่ก็ไม่ผิดเท่าไหร่ เป็นผู้อยู่ระดับสูงสุดของกลุ่มนั่นแหละ”
“งั้นแสดงว่าอูลมีลูกน้องอยู่เยอะงั้นเหรอ?”
“ก็เคยมีอยู่มากมาย แต่ตอนนี้ไม่มีหรอก”
โคลต์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยต่อคำตอบที่ตรงไปตรงมาของอูล
แม้ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเคยเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อปัจจุบันนี้ไม่มี จะเป็นราขาไปได้อย่างไร
“…เอาล่ะ ไปกันเลยดีกว่า”
“เอ๋?”
“ในตอนนี้ แกเองก็ไม่มีอะไรทำใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ตามข้าไปทำธุระด้วยกันดีกว่า”
“ธ..ธุระเหรอ?”
“ก็แน่นอน เมื่อไม่มีทั้งดินแดนและผู้คน ข้าก็ไม่สามารถเป็นราชาได้ ก่อนอื่นก็ต้องหามาครอบครองให้ได้ก่อน”
เมื่ออูลได้กล่าวเช่นนี้ ก็สาวเท้าอย่างมั่นคงออกจากถ้ำไป
ตามปกติแล้ว หากโคโบลด์จะออกเดินทาง จะกระทำอย่างระมัดระวัง สำหรับเผ่าพันธ์ที่อาจจะตายได้ทันทีเมื่อถูกพบโดยศัตรูแล้ว การเคลื่อนไหวโดยไม่ให้ถูกพบตัวนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
แต่อูลมิได้แต่จะแยแสในเรื่องนี้ ด้วยความเชื่อมั่นว่าไม่มีใครที่จะแข็งแกร่งไปยิ่งกว่าตนเอง อาจจะทำให้โคลต์ผู้ไม่รู้จักสิ่งอื่นนอกจากโคโบลต์นั้นสัมผัสถึงบางสิ่งภายในใจ
“…จะว่าไป เมืองของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?”
“เอ๋? เมืองงั้นเหรอครับ?”
“อ่า การที่ต้องอพยพฉุกเฉินมายังถ้ำสกปรกนี่…แสดงว่าต้องมีถิ่นฐานเดิมอยู่ใช่ไหม?”
“…พูดถึงถิ่นฐานเดิม ก็มีแต่ถ้ำนี้แหละครับ ที่อยู่มาตลอด?”
อูลหยุดเท้าแล้วได้ถามออกไป
แต่โคลต์ก็ได้แต่ลำบากใจ สาเหตุที่โคโบลด์จะต้องพักอาศัยอยู่ตามถ้ำ ก็เพราะว่าโคโบลด์นั้นอพยพถิ่นฐานอยู่เสมอ ไม่มีถิ่นที่อยู่ที่แน่นอน จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าถิ่นฐานเดิมแต่อย่างใด
แต่ทว่าอูลได้แต่ทำตาถลน ไม่เชื่อในคำตอบของโคลต์แม้แต่น้อย ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่หลายวินาที อูลก็ส่งสายตาอันเร่าร้อนแล้วลูบศีรษะของโคลต์
“…เช่นนี้เองหรือ แกเองก็ลำบากมามากเลยนะ ข้าเองก็ตั้งใจจะไม่ส่งคนจนออกจากเขตการปกครองของข้าให้มากที่สุด…ว่าแต่ยังมีคนที่ถูกส่งออกมาอยู่ข้างนอกอีกหรือไม่?”
“…หมายความว่ายังไงครับ?”
“ก็ คนที่ยากไร้จนไม่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองได้เนี่ย ข้าเองก็ตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง แค่ตำแหน่งของเมือง เจ้าเองก็น่าจะรู้?”
โคลต์รู้สึกขนลุกขึ้นมาประมาณยี่สิบเปอร์เซนต์ให้กับความห่วงอยู่อย่างไม่มีปีมีขลุ่ยของอูล
เกี่ยวกับเมือง…หลังจากที่โคลต์ครุ่นคิดอยู่สักครู ก็ได้คำตอบมาอย่างหนึ่ง ว่าหนังสือที่ทิ้งในถ้ำก็มีคำเช่นนี้อยู่ปรากฎอยู่ภายใน เป็นผลจากการที่แฝงตัวเข้าไปใกล้มนุษย์แล้วลอบดักฟังบทสนทนาแล้วเรียนรู้กลับมา รูปของบ้านเรือนที่ปรากฏอยู่ในหนังสือนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเมืองก็เป็นได้
(แต่ว่าอยู่ที่ไหนนี่สิน้า?)
สำหรับโคลต์แล้ว ป่านี้ก็คือโลกทั้งใบ เพราะว่าในป่านี้มีที่หลบหนีและที่ซ่อนตัวอยู่มากมาย จึงเป็นสถานที่อันแสนปลอดภัยจากศัตรูภายนอก
โคลต์จึงไม่เคยแสดงความอยากรู้ถึงที่อยู่ของเหล่ามนุษย์แม้แต่น้อย แต่ว่าหนังสือในถ้ำอาจจะมีข้อมูลเหล่านี้อยู่
“อาจจะมีเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้นก็ได้นะ…”
“หนังสืออะไร?”
“เป็นหนังสือที่ผมเก็บมาจากมนุษย์ที่ตายอยู่ในป่าน่ะครับ”
“โฮ…การหาความรู้เกี่ยวกับยุคนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ไหน ขอดูหน่อย”
“ไม่ได้อยู่ตรงนี้ครับ ถูกทิ้งเอาไว้ในถ้ำก่อนหน้า”
การจะเดินทางมายังที่นี่จากถ้ำที่อยู่ก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก
โดยไม่พูดถึงเรื่องที่ต้องขนย้ายอาหารและอูลมาด้วย การที่พวกตนจะต้องรีบเดินทางโดยไม่ทิ้งกลิ่นไว้ให้เป็นร่องรอย รวมถึงระวังไม่ให้หมดแรงเสียก่อนก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว
เพราะฉะนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องทิ้งสมบัติทั้งหมดเอาแล้ว แค่ขนแมลงกิจิที่ใช้เป็นอาหารมาได้ก็นับว่าเต็มที่
“…ถ้ำก่อนหน้า หมายถึงถ้ำที่มีกลิ่นเหม็นนั่นน่ะหรือ?”
“ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้เหม็นหรอกนะ”
“แต่ว่าข้าได้กลิ่นอื่นนอกจากควันพวกนั้นนะ…เอาเถิด รีบไปกัน การรวบรวมข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ”
อูลและโคลต์ต่อแถวกันออกเดินทางกลับไปถ้ำเดิม
ตามปกติแล้วคงจะเป็นการฉลาดกว่าสำหรับโคโบลด์ที่จะไม่เข้าใกล้ถ้ำที่มีกลิ่นเหม็นจากควันพวกนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการกระทำอย่างการเดินยืดอกอาดๆ กลางแจ้งที่ทำให้ไม่คิดว่าจะเหมาะสมเท่าใดนัก หากเทียบกับการพยายามระมัดระวังศัตรูรอบข้าง
แต่แท้จริงแล้วอูลเองก็เฝ้าระวังในแบบของเขาเอง
(…ด้วยจมูกและหูนี้จะสามารถใช้ตรวจจับรอบข้างไหวหรือไม่นะ เทียบกับวันวานแล้วนี่เองก็แทบไม่ต่างกับถูกทำลายประสาทสัมผัส…คงจะต้องหาทางทำอะไรเสียหน่อย)
อูลเปิดใช้งานอาวุธที่มีอยู่น้อยนิดของโคโบลด์เช่นหูและจมูกอย่างเต็มที่เพื่อตรวจจับรอบข้าง
การที่โคลต์ที่กำลังทำอย่างเดียวกันแต่ไม่สามารถรับรู้ได้นั้นอาจจะเป็นแค่เพราะปัญหาทางด้านเจตจำนง ระหว่างโคลต์ที่พยายามตรวจจับศัตรูเพียงเพราะความหวาดกลัว และอูลที่ตรวจจับศัตรูเพื่อนำทางไปสู่ชัยชนะนั้นจึงมีท่าทางที่แตกต่างกันโดยธรรมชาติ
(…คิดไว้แล้ว เสื่อมถอยลงไปมากจริงๆ กับเพียงแค่การต่อสู้ระดับนั้นถึงกับสูญเสียพลังเวทย์ไปทั้งหมด…หากยังอยู่ในสภาพนี้ เมื่อต้องปะทะกับผู้ที่พอมีฝีมือคงหนีไม่พ้นความพ่ายแพ้ ก่อนอื่นคงต้องหาลูกน้องมือดีเอาไว้ใช้ต่างมือต่างเท้าเสียก่อน)
เมื่อเทียบตนเองในปัจจุบันกับตนเองในอดีตแล้วก็ได้แต่ต้องกลั้นความรู้สึกที่อยากจะถอนหายใจ แล้วลอบแอบมองไปทางโคลต์
(…โคโบลด์อย่างนั้นรึ? ช่างตกต่ำลงไปต่างจากโคโบลด์ที่ข้าเคยรู้จักมาก…เอาเถอะ อาจจะเพราะว่าเป็นแค่เด็กยากจนจึงไม่ค่อยได้กินอาหารดีๆ ก็เป็นได้)
อูลซึ่งมีแต่ดวงวิญญาณตอบรับปราถนากับเจตจำนงของเหล่าโคโบลด์…ผูกพันเป็นสัญญาเพื่อปกป้องโคลต์ ร่างเนื้อที่อูลได้รับมานี้ ก็เพื่อที่จะปกป้องสัญญาที่ได้รับมานี้ให้เสร็จลุล่วง
เพื่อการนั้นแทนที่จะใช้แล้วทิ้งเหมือนกันทหารชั้นเลว ก็ควรที่จะฝึกฝนวิชาป้องกันตัวให้แก่โคลต์ในฐานะของข้ารับใช้ใกล้ชิด
อูลตั้งเป้าหมายเร่งด่วนว่าจะต้องหาข้ารับใช้ให้ได้อย่างน้อยจำนวนหนึ่ง
“…อ๊ะ ถึงแล้วล่ะ”
“อย่างนั้นรึ เช่นนั้นก็รีบหาของที่…”
ต้องการมา… อูลที่กำลังจะสั่งต้องหยุดอย่างกระทันหัน
สิ่งที่เข้ามาในทัศนวิสัยอันเฉียบแหลม… ด้วยดวงตาของโคโบลด์ คือพุ่มไม้พุ่มหนึ่งที่ห่างออกไป
โคลต์ที่สังเกตเห็นอาการดังกล่าวก็มองตามไปยังจุดสิ้นสุดของสายตานั้น…
“กีกี้!”
“กีก้าาา!”
“ก..ก๊อบลิน!”
ที่ปรากฏตัวออกมานั้นคือยักษ์ร่างเล็กที่มีผิวสกปรกสีเขียว ก๊อบลินนั่นเอง
ก๊อบลินคือเผ่าพันธ์ที่เป็นดั่งศัตรูฟ้าประทานของโคโบลด์ แม้ว่าจากมุมมองของโคโบลด์แล้วนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ไม่มีอันตราย แต่ทว่าก๊อบลินนั้นจัดว่าพิเศษกว่าทั่วไป
แม้ว่าก๊อบลินจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่า แต่กลับมีสติปัญญาและประสาทสัมผัสที่ด้อยกว่าโคโบลด์ เพื่อจะทดแทนสิ่งนั้น ก๊อบลินจึงเข้าโจมตีโคโบลด์ที่ไม่เหมาะกับการนำไปเป็นอาหารอย่างหนักเพื่อที่จะได้จับไปใช้เป็นแรงงานทาส
“ส…สองตัว!”
“ตั้งสมาธิฟังเสียง ใช้จมูกให้มากกว่านี้ มันไม่ได้มีแค่สองตัว”
โคลต์ที่แม้จะกำลังตกใจจากศัตรูคู่ฟ้าที่ปรากฎตัวตรงหน้า ก็ต้องรับฟังคำพูดอันน่าสิ้นหวังจากอูลซ้ำเติมเข้ามา
และเหมือนตั้งใจที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดนั้นถูกต้อง ก็ปรากฎยักษ์ตัวเล็กสีเขียวออกมาจากพุ่มไม้ จากสองตัวกลายเป็นสาม จากสามกลายเป็นสี่ และจากสี่ก็เพิ่มขึ้นไปอีก…
“จ..เจ็ดตัว…”
โคลต์ตกใจจนเกือบจะเข่าพับ แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้น
สำหรับโคโบลด์ที่มีกำลังรบน้อยกว่าแล้ว ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับจำนวนที่มากกว่าแล้วก็เรียกได้ว่าโอกาสชนะเป็นศูนย์ แต่ว่ายังพอมีโชคอยู่บ้าง ที่ศัตรูยังอยู่ห่างออกไป ด้วยระยะแบบนี้อาจจะพอมีโอกาสหนีรอดอยู่
ในขณะที่โคลต์ที่กำลังจะวิ่งหนีตามสามัญสำนักอย่างโคโบลด์ ก็มีอีกมือหนึ่งขอโคโบลด์ที่ขัดแย้งกับสิ่งนั้นยื่นมากดศีรษะเอาไว้
“เห้ย”
“อะ..อะไร!? ปล่อยนะ!”
“ไอ้นั่นตัวอะไรน่ะ? เมื่อกี้เหมือนได้ยินว่าก๊อบลิน…ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่?”
“ก๊อบลินนั่นแหละ! ไม่รู้จักเหรอ!?”
ถ้าเป็นโคโบลด์แล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าใจถึงความอันตรายของก๊อบลิน ถ้ารู้ว่าจนถึงตอนนี้ก็มีพวกพ้องนับไม่ถ้วนที่ถูกก๊อบลินจับไปใช้เป็นแรงงานแล้ว…ก็ไม่น่าจะถามอะไรแบบนี้
แต่ทว่าอูลก็กลับเอียงคอสงสัยอย่างผิดที่ผิดเวลา
“…ไอ้ตัวที่ดูปัญญาอ่อนพวกนี้คือก๊อบลิน? ก๊อบลินที่ข้ารู้จักดูจะฉลาด แข็งแกร่ง แล้วก็ลักษณะเฉพาะมากกว่านี้นะ?”
จะบอกว่ามีพละกำลังก็อาจจะใช่ แต่คำว่าฉลาดและลักษณะเฉพาะนั้นไม่น่าจะเหมาะกับก๊อบลินเท่าไหร่ ในระหว่างที่อูลกำลังพูดสิ่งที่ชวนงงงวย ก็ทำหน้าสบายๆ แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า
“เอาเถอะ ไม่เป็นไร ยังไงก็ตั้งใจจะเอามาใช้เป็นแค่ตัวหมายอยู่แล้ว ต่อให้มีตัวตนพิเศษอยู่ก็เอาไว้ทีหลังแล้วกัน”
อูลสาวเท้าเข้าไปหากลุ่มก๊อบลินทั้งเจ็ดตัวอย่างไร้ความกลัวใดๆ
“จงภาคภูมิใจเสียเถิด นับตั้งแต่วันนี้พวกแกจะได้เป็นทาสของข้าผู้นี้”
ด้วยดวงตาส่องประกายอย่างชั่วร้าย อูลได้กล่าวต่อเผ่าพันธ์ที่จับโคโบลด์ไปเป็นทาสด้วยความสูงส่ง