ตอนพิเศษ 19
กีกับซานา ท่องเที่ยวเมืองมนุษย์ (ตอน2)
หลังจากปล่อยให้เซเลนเผชิญหน้ารับชะตากรรมตามลำพัง กีกับซานาก็มาถึงด้านนอกของพระราชวังเฮลิฟาลเต้โดยรถม้า และมาลงที่ถนนใหญ่กลางเมืองรอบปราสาท ทำให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในเมืองที่ได้เห็นเผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้กีรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจแต่อย่างใด เพราะการเป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ทำให้เขาเป็นที่จับตามองของคนส่วนใหญ่อยู่แล้ว
“เอาเป็นว่า เดินไปตามทางเรื่อยๆก่อนก็แล้วกัน …เป็นอะไรของเธอน่ะ?”
“เพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ในดินแดนของมนุษย์เป็นครั้งแรกนี่แหละ…”
ไม่เหมือกับกีที่เคยเห็นตัวเมืองในตอนกลางคืนมาก่อนอีกทั้งยังรู้จักรักษาท่าทีให้สมเป็นผู้นำ ซานาที่อยู่ในตำแหน่งผู้ติดตามของกีนั้น เคยแต่ใช้บริการรถม้าส่งถึงหน้าปราสาททุกครั้ง ขากลับก็เช่นเดียวกัน จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้เดินอยู่กลางเมืองของมนุษย์จริงๆ
“เธอน่ะ เกาะแน่นเกินไปแล้ว มันเดินยากนะ”
“ก-ก็มัน! ไม่เคยเจอคนมากขนาดนี้ ถ้าไม่จับเอาไว้ นายจะหาไปตอนไหนก็ไม่รู้! ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆก็เป็นความผิดของนายนั่นแหละ!”
“ทั้งเรื่องจดจำทิศทางหรือการตรวจจับค้นหาเธอก็ทำได้ดีกว่าผมไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องคิดมาก”
“ไม่มีความละเอียดอ่อนเอาซะเลย! อะไรที่น่ากลัวมันก็กลัวอยู่ดีแหละ!”
“งั้น พอแค่นี้ไหม?”
“ไม่เอา! ก็มารีบอกว่าในเมืองมนุษย์มีของน่าสนใจอยู่เพียบเลยนี่นา”
แม้ซานาจะสนใจวัฒนธรรมของมนุษย์ แต่เธอก็ยังไม่คุ้นเคยกับสังคมของมนุษย์ที่ห่างไกลธรรมชาติ ซึ่งตามปรกติในป่าสีขาวที่ทุกอย่างคือธรรมชาติ หากมีสิ่งผิดปรกติที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติเกิดขึ้น เธอจะรับรู้ได้ทันทีโดยสัญชาตญาณ เพราฉะนั้น ด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบคมนั้นเอง ทำให้เธอรู้สึกหวาดระแวงมากกว่ากีหลายเท่า
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ซานาจับมือกีเอาไว้แน่น และกีก็จับมือเธอเอาไว้เช่นกัน
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวผมจะหาทางทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับไอ้เอสคีดอะไรนี่เองก็แล้วกัน”
“อือ…”
ครั้งนี้ซานาไม่ได้เถียงเรื่องการออกเสียงกับกี ได้แต่ถูกจูงมือไปอย่างเงียบๆ ขณะที่กีเองก็ยังรู้สึกประหม่ากับบรรยากาศของถนนสายหลักในตอนกลางวันที่คับคั่งไปด้วยผู้คนที่อยู่รายรอบ แต่เขาก็ยังคอยสังเกตหาร้านขายของต่างๆเพื่อหาสิ่งที่ซานาน่าจะสนใจ
แม้จะยังไม่เข้าใจถึงเป้าหมายของมัน แต่ในเมื่อรับปากแล้วเขาก็จะตั้งใจทำอย่างเต็มที่
“สุดยอดไปเลย มนุษย์เต็มไปหมด ชักจะเวียนหัวแล้วสิ”
“เหมือนกันแหละ ถึงผมจะเริ่มชินแล้วแต่ก็ยังยากอยู่ดี อยู่ในที่แบบนี้นานๆไม่ไหวหรอก”
เอลฟ์ทุกคนรวมถึงกีและซานาไม่ได้เกลียดชังมนุษย์เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกปลอดภัยเท่ากับป่าสีขาวบ้านเกิดของพวกเขาอยู่ดี เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการทำให้คุ้นเคย
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนแออัดหนาแน่นอยู่เต็มถนน แต่พวกเขาก็แหวกทางให้กีกับซานา ทั้งสองจึงเดินตามทางต่อไปได้อย่างง่ายๆ อันที่จริง เป็นเพราะไม่มีใครเคยเห็นเอลฟ์มาก่อน ผู้คนจึงให้ความสนใจกับเอลฟ์ตรงหน้ามากกว่าสินค้าข้างทาง
“นั่นไง! ตรงนั้นไง!”
“อะไรล่ะ? ร้านอาวุธเหรอ? หรือของใช้ทั่วไป? รู้สึกจะมีเสื้อผ้าด้วยนะ…”
เมื่อได้เดินดูสิ่งต่างๆข้างทางมาระยะหนึ่ง ซานาก็เริ่มคุ้นเคยจนทำตัวใกล้เคียงกับปรกติได้แล้ว ในตอนนี้ ซานาดึงกีเอาไว้และชี้ไปที่ร้านค้าร้านหนึ่งที่ดูไม่เด่นนัก แต่ก็มีสินค้าหลายประเภท ตั้งแต่ของใช้เล็กๆน้อยๆสำหรับชีวิตประจำวัน ไปจนถึงอาวุธและชุดเกราะ ของที่ดึงดูดสายตาของซานาเอาไว้คือเครื่องประดับโลหะต่างๆ เช่น กำไล เข็มกลัด สร้อยคอ
“เอาล่ะ ตัดสินใจแล้ว เอาเป็นที่นี่ก็แล้วกัน นายหาของที่อยากจะให้ฉันจากร้านนี้ได้เลย”
“พูดจาซะใหญ่โตเชียว ทั้งที่ผมเป็นคนซื้อแท้ๆ เอาเถอะ ถ้าอยากได้อะไรก็ไปเลือกมาสิ”
“จะบ้าเหรอ แบบนั้นมันผิดวัตถุประสงค์ของเอสครีดสิ นายต้องเป็นคนเลือกของที่ฉันชอบมาให้ จะไม่มองก็ได้ เลือกตามสบายเลยนะ”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว เอาเป็นอะไรก็ได้ที่ผมคิดว่าเหมาะกับเธอใช่ไหม?”
ซานาพยักหน้าและหลับตาลง ระหว่างรอก็คิดย้อนความถึงเรื่องราวสมัยก่อน เธอเป็นเด็กรุ่นเดียวกับกีจึงรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ไปไหนมาไหนด้วยกัน เมื่อถึงวัยที่ต้องออกล่าหาอาหารก็ยังไปด้วยกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องของขวัญแสดงน้ำใจจากกี เธอแทบนึกไม่ออกเลยว่าเคยได้รับ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่าเขาจะให้อะไรบางอย่างกับเธอในตอนนี้ ทำให้ซานาคาดหวังอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน เธอก็รู้สึกถึงน้ำหนักของวัตถุเย็นๆแข็งๆกดทับลงมาบนศีรษะ เป็นสัมผัสที่แปลกประหลาด ซานาลืมตาและยกมือขึ้นมาจับสิ่งที่คาดว่าเป็นเครื่องประดับบนหัวและเปลี่ยนสีหน้าในทันที
“หม้อหรอกเหรอ!?”
“ใช่แล้ว ดูเหมาะกับเธอดีนะ”
กียกนิ้วโป้งและพูดอย่างภูมิใจ และซานาก็เหวี่ยงหม้อไปที่ใบหน้าของเขาอย่างแรง เป็นการลงทัณฑ์ด้วยหม้อเหล็ก ใกล้เคียงกับกำปั้นเหล็กลงทัณฑ์
“เจ็บนะ! บ้าไปแล้วเหรอ!”
“นายต่างหากที่บ้า! มันต้องไม่ใช่หม้อสิ! ไม่เอาหม้อ!”
“ใจเย็นๆก่อน ดูที่เขียนเอาไว้บนหม้อด้วย!”
“…บนหม้อ?”
เมื่อกีบอกมาเช่นนั้น เธอก็พลิกดูรอบๆภายนอกของหม้อจนเห็นฉลากกับตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนนั้น
“หม้อรุ่นใหม่ล่าสุด ทำโดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ของมนุษย์ น้ำหนักเบา ทนทาน และที่สำคัญ ผลิตจำนวนจำกัด! ของหายากเชียวนะ! ทึ่งล่ะสิ! ฉันเองยังอยากได้เลย!”
“นี่แหน่ะ!”
ซานาใช้หม้อทุบใส่กีที่เดิม เสียงโลหะกระทบดังกังวาน โดยที่กีล้มคว่ำไปกับพื้น
“โอ้ย! นี่มันเจ็บจริงๆนะ!”
“ทนทานตามสรรพคุณ ทุบไปสุดแรงก็ยังไม่มีรอย หม้อใบนี้ดีจริงๆ”
ด้านข้างใบหน้าของกีปูดบวม แต่ก็ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนหม้อเหล็กใบนั้น มันเป็นของชั้นยอดอย่างที่ว่าไว้จริงๆ
แต่ก็ไม่ใช่ของที่ซานาหวังไว้ แม้ว่ากีจะเป็นคนที่คลั่งไคล้หม้อสักแค่ไหนก็ยังเป็นเรื่องที่พอรับได้ แต่ถ้าให้เธอเป็นแบบนั้นด้วยล่ะก็ ไม่มีทางเด็ดขาด
แต่คนที่เดือดร้อนจริงๆคือเจ้าของร้านต่างหาก เพราะมีเอลฟ์สองเริ่มแสดงฉากคู่รักทะเลาะกันอยู่หน้าร้าน และตอนนี้ยังตบตีกันด้วยเครื่องครัวอีก เขาอยากจะไล่ออกไปให้พ้น แต่ก็ไม่กล้ามีปัญหากับเอลฟ์ที่รู้กันว่าเป็นแขกคนสำคัญของประเทศ
“เอ่อ คือว่า มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้หรือเปล่าคะ?”
ในที่สุด พระเจ้าก็ประทานผู้ช่วยให้รอดมาให้ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ผมสีทอง และชุดสีชมพูอ่อนที่ดูเรียบง่าย ในมือของเธอมีตะกร้าที่ใส่วัตถุดิบทำอาหารไว้มากมาย
“หืม? ถ้าจำไม่ผิด เธอคือ…”
“อาลัวค่ะ ได้ยินมาว่าเซเลนเคยรบกวนพวกคุณไว้เมื่อเร็วๆนี้”
อาลัว พี่สาวแท้ๆของเซเลน เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาแต่เรียบร้อย ไม่ใช่ชุดที่ดูสมเป็นเจ้าหญิงตามปรกติ ถึงจะดูไม่หรูหราแต่การวางตัวของเธอก็ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยก็เป็นคนที่มีชาติตระกูล
“พอดีเห็นว่าพวกคุณทั้งสองดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่น่ะค่ะ…”
“ไม่หรอก มีแต่ซานาเท่านั้นที่วุ่นวายอยู่กับเรื่องเอสนิค*อยู่นี่”
กีลูบใบหน้าข้างที่ปูดบวมแล้วยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ซานาที่อยู่ข้างหลัง หลังจากซานาเอาหม้อไปวางคืนที่เดิม เธอก็ปล่อยกีเอาไว้และเริ่มเดินดูร้านต่างๆบริเวณนั้นคนเดียว
“อืม เอทนิก*? หรือว่าเข้าเมืองมาหาอะไรทานหรือคะ?
“ก็ตามนั้นแหละ”
ตามที่กีเข้าใจ เขาแค่ต้องหาร้านอาหารสำหรับมื้อนี้เท่านั้น ส่วนซานา ตอนนี้เธอไม่แม้แต่มองมาทางกีด้วยซ้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังโกรธอยู่แน่นอน
“ถ้าเป็นอาหารท้องถิ่น*… ฉันมีวิธีดีๆอยู่ค่ะ!”
อาลัวกระกบมือและยิ้มให้กับทั้งสอง
◆ ◇ ◆ ◇ ◆
ตามคำเชิญของอาลัว กีและซานามาถึงสถานศึกษาเฮลิฟลาเต้ในส่วนของหอพัก ซึ่งภายในสถานที่นี้ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ครบครัน แม้กระทั่งร้านอาหารหรือคาเฟ่ และในหอพักแต่ละอาคารก็มีโรงอาหารพร้อมห้องครัวส่วนกลางที่อนุญาตให้นักศึกษาใช้ประกอบอาหารรับประทานเองได้
“แล้ว ให้พวกเรามาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”
“จากที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าพวกคุณกำลังหาร้านสำหรับอาหารท้องถิ่นใช่ไหมคะ? ถ้าอย่างนั้น ฉันจะแนะนำอาหารจากบ้านเกิดให้ค่ะ ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ฉันก็มั่นใจฝีมือทำอาหารของตัวเองพอประมาณเลยนะคะ”
“จริงเหรอ กำลังหิวเลย ขอบใจนะ”
“…เหมือนเธอจะเข้าใจคนละอย่างกับพวกเรานะ แต่ก็เอาเถอะ นี่ก็ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี”
ไม่เหมือนกับกี่ตามน้ำไปอย่างง่ายๆ ซานายังไม่เข้าใจว่าพวกเธอมาอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร
ตั้งแต่ที่เธอกับกีออกมาเดินอยู่ในตัวเมือง เวลาก็ผ่านมาจนถึงบ่ายแล้ว และเมื่อได้ยินว่าเป็นอาหารของประเทศอื่นที่ไม่ใช้เฮลิฟาลเต้ก็ทำให้เธอสนใจได้มากพอสมควร ดังนั้น เอลฟ์ทั้งสองจึงได้ตอบรับคำเชิญของอาลัวสำหรับอาหารทำมือของเธอ
ที่อาลัวอยู่ในเมืองก่อนหน้านี้ก็เพราะเธอออกมาจ่ายกับข้าวนั่นเอง เนื่องจากวันนี้มีตลาดสด อาลัวมักจะไปซื้อของทีเก็บไว้ได้นานๆทีละมากๆซึ่งเป็นวิธีควบคุมรายจ่ายสำหรับค่าอาหารของเธอ
“ในเมื่อมิลานรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วทำไมเธอถึงทำตัวขัดสนนักล่ะ เธอเองก็เป็นเจ้าหญิงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันได้รับจากเจ้าชายมามากแล้ว จะสร้างความลำบากให้มากกว่านี้ไม่ได้หรอกค่ะ แล้วตอนนี้ฉันเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใด อาร์คุยล่าเป็นประเทศด้อยพัฒนา คำว่าเจ้าหญิงก็เป็นแค่คำนำหน้าชื่อที่ไม่มีความหมายใดๆเป็นพิเศษคะ”
อาลัวทำอาหารต่อไปไม่หยุดมือแม้จะถูกชวนคุย ผักสดและเนื้อดิบกำลังถูกแปรรูปไปพร้อมๆกันด้วยตัวเธอเพียงคนเดียว กีกับซานามองดูวัตถุดิบหลายอย่างถูกปรุงแต่งให้สวยงามน่ารับประทานราวรับชมการแสดง
“นี่ ด้อยพัฒนา มันเป็นยังไง?”
“หมายถึงพื้นที่ที่อาศัยอยู่ยากน่ะ เหมือนหมู่บ้านของเอลฟ์ก็มีทั้งใหญ่และเล็ก เมืองมนุษย์เล็กๆก็มีเหมือนกัน”
“หืม”
ครั้งนี้กีตอบคำถามของซานาได้อย่างถูกต้อง แม้จะมาจากชุมชนที่ใหญ่กว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะสูงส่งกว่าแต่อย่างใด หรือพูดง่ายๆคือ ขนาดของชุมชนไม่ได้ทำให้กีรู้สึกว่าแตกต่าง
“จะว่าไป ทั้งเธอและเซเลนก็ไม่เห็นเหมือนเจ้าหญิงเลยสักนิด ถ้ามาตรฐานเป็นอย่างมารีอะนะ”
เมื่อกีพูดเช่นนั่น มีดที่ใช้ทำอาหารอย่างคล่องแคล่วในมืออาลัวก็หยุดไปครู่หนึ่ง และเธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“จริงค่ะ… ตัวฉันเองยังคิดเลยว่าไม่เหมาะกับการเป็นเจ้าหญิง ความสามารถพิเศษก็ไม่มี ถ้าเทียบกับเด็กคนนั้น”
“เทียบกับเซเลนน่ะเหรอ? รายนั้นต่างหากที่ผิดปรกติ”
เป็นความจริงอย่างที่สุด เซเลนผิดปรกติในหลายๆความหมาย โดยเฉพาะในความหมายที่ไม่ค่อยจะดีนัก
“แต่อาลัวก็เป็นถึงนักเรียนดีเด่นนี่นา มิลานยังชมอยู่บ่อยๆไม่ใช่หรอ? น่าภูมิใจออก”
“งั้นหรือคะ? แต่แค่นี้ยังไม่คู่ควรกับเฮลิฟาลเต้…”
“ตาบ้าตรงนี้แค่เก่งกว่าคนอื่นนิดหน่อยยังเป็นผู้นำได้เลย สุดท้ายแล้ว จะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่สำคัญ แค่ทำในสิ่งที่ทำได้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ฉันว่าเธอก็ดีเกินพอแล้วล่ะ”
“นั่นสินะ มาแขวะกันอย่างนี้แสดงว่ายังโกรธอยู่อีกเรอะ!”
บทสนทนาของกีกับซานาไปในทิศทางแปลกๆจนอาลัวหัวเราะออกมา จากนั้นซานาก็เข้ามาช่วยอาลัวทำอาหารด้วยอีกคน โดยที่กียังนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่ไม่นานก็ถูกซานาลากตัวมาให้ช่วยอาลัวด้วยกันอีกคน จนออกมาเป็น pot-au-feu* น่ารับประทาน
“เชิญทานให้อร่อยนะคะ ปรกติจะทำไว้ทานเอง อาจจะไม่ดีอย่างที่หวัง”
“ไม่หรอก รู้สึกถึงรสชาติที่คุ้นเคยจากบ้านเกิดเลยล่ะ ถึงจะฟังดูแปลกๆเพราะฉันที่เป็นเอลฟ์เป็นคนพูดก็เถอะ”
“ใช่แล้ว”
“อย่าพูดตอนกำลังเคี้ยวสิ!”
ในตอนแรก อาลัวคิดจะทำเมนูอื่นที่ที่มีความหรูหราและวิธีที่ซับซ้อนกว่านี้ให้เหมาะสำหรับอาหารระดับราชวงศ์ แต่ในเมื่อเป็นอาหารที่ทั้งสามคนช่วยกันทำ เธอก็ได้ปรับให้เป็นอาหารที่เรียบง่ายจนใครๆก็ทำได้ จึงออกมาเป็นเนื้อตุ๋นที่ดูธรรมดา แต่อาลัวก็โล่งใจที่ทุกคนชอบมัน
“บ้านเกิดของอาลัวกับท่านเซเลนเหรอ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปดูสักครั้ง”
“เอ๋ แต่มันก็เป็นแค่ดินแดนเล็กๆเองนะคะ ไม่มีอะไรนอกจากทุ่งหญ้าทุ่งนาหรอกค่ะ คนทั่วไปยังเรียกว่า ‘ดินแดนแห่งม้าและกวาง’ ด้วยซ้ำ…”
“ม้ากับกวาง? แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะ? ตอนที่ผมออกจากป่ามาเห็นพวกมันครั้งแรกยังคิดเลยว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เท่ชะมัด ถ้ามันใช้ชีวิตในป่าได้ผมยังอยากขี่ไปอวดคนทั้งหมู่บ้านเลย”
“เท่าที่ฟังดู อาร์คุยล่าก็เป็นประเทศที่ดีนะ”
“หุหุ คำชมเช่นนี้ ฉันเพิ่งเคยได้ยินนี่แหละค่ะ”
อาลัวยิ้มอย่างอ่อนโยน แม้คนอื่นจะเรียกว่า ‘ดินแดนล้าหลัง’ หรือ ‘สาวบ้านนอกจากประเทศเล็กจิ๋ว’ ก็ไม่มีความหมายสำหรับเอลฟ์สองคนนี้เลย ทั้งที่ช่วงนี้น้องสาวของเธอถูกเรียกว่า ‘เจ้าหญิงแสงจันทร์’ นับวันวีรกรรมของเธอยิ่งเพิ่มขึ้นจนถูกคนทั้งทวีปยกย่อง จึงได้เกิดเป็นความเครียดสะสมกับอาลัว
เมื่อมองไปที่กีกับซานา ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างถูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น หัวใจของอาลัวพองโต ไม่จำเป็นต้องทำให้ได้เหมือนคนอื่น ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แค่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและทำอะไรได้บ้าง จากนั้นก็ทำเรื่องที่ทำได้ให้ดีที่สุดในแบบของตัวเอง ไม่แน่ว่าวิถีชีวิตของเอลฟ์นั้นยึดถือแนวทางนี้มาโดยตลอด
–สองเอลฟ์และหนึ่งเจ้าหญิงมนุษย์ร่วมโต๊ะรับประทาน pot-au-feu ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเอง
◆ ◇ ◆ ◇ ◆
“เป็นเกียรติที่ได้พูดคุยกับพวกคุณทั้งสองในวันนี้ ขอบคุณนะคะ”
“ผมต่างหากทีต้องขอบคุณ เธอเลี้ยงอาหารพวกเราด้วยหนิ แล้วยังให้คำแนะนำอีก ขอบคุณมาก เท่านี้ก็หาทางกลับปราสาทได้แล้ว”
“นี่นาย ตอนนั้นหลงทางอยู่เหรอ!?”
“เงียบไปเลยน่า! นอกจากตอนที่ถูกเซเลนขอร้องครั้งนั้น ผมก็ไม่เคยออกมาข้างนอกเลยนะ!”
อาลัวหัวเราะให้กับบทสนทนาตรงหน้า กีและซานาไม่เข้าใจว่าเธอหัวเราะเรื่องอะไร และแล้วรถม้าที่อาลัวไปเรียกมาให้ก็มาถึงเพื่อรับพวกเขากลับไปยังปราสาทเฮลิฟาลเต้
“อืม ดีจริงๆที่ได้เจออาลัว ส่วนนายน่ะ แย่ที่สุด เอสครีดพังไม่เป็นท่าเลย”
โดยรวมแล้วก็ไม่ใช้วันที่แย่นัก แค่ความสามารถในการพาเที่ยวของกีเข้าขั้นเลวร้ายจนส่งผลตรงกันข้าม ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ซานานั่งหน้าบื้งอยู่ในรถม้าและกีที่นั่งอยู่ข้างๆก็หยิบของที่ดูเหมือนแท่งไม้ออกมาจากกระเป๋า
“เอ้า นี่”
“เอ๋?”
กียื่นมีดเล่มหนึ่งให้กับซานา สร้างความประหลาดใจให้ซานาได้พอสมควร มันคือมีดขนาดเล็กเหมือนมีดปอกผลไม้ ไม่ใช่ของที่มีพลังเวทอย่างที่พวกเขาใช้กัน ปลอกและด้ามทำจากงาช้างแกะสลัก
“เหมาะกับเธอมากกว่าเครื่องประดับหรือสร้อยคอพวกนั้นเป็นไหนๆเลยใช่ไหมล่ะ? แล้วเธอก็ชอบแอปเปิ้ลด้วยหนิ ผมก็เลยเลือกไอ้นี่มาให้ไง”
“……”
ซานามองไปยังมีดปอกผลไม้อยู่เงียบๆ อันที่จริง ซานาสนใจของที่ใช้งานได้จริงมากกว่าของที่ใช้ประดับตกแต่ง มันจึงทำให้ซานาเริ่มยิ้มออกมาได้ และหยิบมีดงาช้างแกะสลักขึ้นมากำเอาไว้แน่น
“ถ้าไม่เอาก็คืนมา เดี๋ยวผมใช้เอง”
“ไม่! ไม่คืนหรอก!”
“ถ้างั้น ก็ถือว่าเป็นของขวัญได้สินะ”
“กี”
“อะไร?”
“ครั้งนี้ฉันให้นายเอสครีดผ่านแบบฉิวเฉียด เรียกได้ว่าคะแนนคาบเส้นพอดี”
“งั้นเหรอ ขอบคุณก็แล้วกัน”
กีตอบไปสั้นๆและหันหน้าออกไปทางหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับซานา ใบหน้าร้อนและสีออกแดงกว่าปรกติเล็กน้อย อาจเป็นเพราะแสงแดดจากดวงอาทิตย์
“เอาล่ะ ที่เหลือก็แค่กลับไปประชุมที่ปราสาท กินมื้อเย็น แล้วก็เข้านอน พูดแล้วก็น่าคิด ว่ามื้อเย็นวันนี้จะมีอะไรกิน”
“นาย… เพิ่งจะกินไปตั้งขนาดนั้นแท้ๆ ยังจะคิดถึงของกินได้อีกเหรอ?”
ทั้งสองพูดคุยกันภายใต้บรรยากาศอันสงบสุขในขณะที่รถม้ามุ่งหน้าไปยังพระราชวังตามทาง
สุดท้าย กีได้ซื้อหม้อใบนั้นมาเป็นของขวัญสำหรับตัวเอง เนื่องจากกีชื่นชอบในสรรพคุณและความทาทานที่พิสูจน์แล้วด้วยเขาเอง ซึ่งมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดหม้อสะสมขนาดใหญ่ที่บ้านของกีต่อไป
____________________
*
エスニック = เอสนิค
エスニック料理 (เอทนิก เรียวริ) = ethnic food = อาหารท้องถิ่น/อาหารประจำชาติ
**
Pot-au-feu/ ポトフ/ปอโตเฟอ = สตูเนื้อฝรั่งเศส
MANGA DISCUSSION