นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 168 การพิจารณาคดี ตอนที่ 1 -
นิยาย นครแห่งบาป – City of Sin เล่ม 2 ตอนที่ 168 การพิจารณาคดี ตอนที่ 1 ซินแคลร์ได้รับข้อมูลว่าฐานนี้เคยเป็น ของตระกูลเมนซาซึ่งดําเนินการมายาวนานกว่า 10 ปี ที่นั่นมีทหารประจําการ อยู่มากกว่า 500 คนโดยทําหน้าที่ควบคุมดูแลพื้นที่ในรัศมี 10 กิโลเมตรเสมือ นเป็นเมืองเล็ก ๆ สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าด่านหน้าขนาดเล็กที่ตระกูลอาเครอนมอบให้ริชาร์ดและมีความแตก ต่างกันอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น กําแพงพวกนี้สูงกว่า 10 เมตรซึ่งแตกต่างจากกําแพงเล็ก ๆ ของริชาร์ดที่ตั้งไว้เพื่อป้องกันแบบหยาบ ๆ เท่านั้น เมื่อมีการปฏิบัติการที่มั่นคงไปอีก 10 ปี ตระกูลจะสามารถเข้าร่วมวิหารแห่งมังกรนิรันดรและให้เพลนทําการจัดสรรและ ตั้งหมายเลขได้แต่ถ้าผู้นําของฐานยังคงความมีกลยุทธ์ มีไหวพริบ และ ไร้ศีลธรรมมากพอก็ไม่จําเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เพลนที่มีการเชื่อมต่อกับ วิหารแห่งมังกรนิรันดรมักจะมีเส้นทางในการเดินทางที่เสถียร ซึ่งก็หมายถึงสามารถดึงทรัพยากรและผลประโยชน์ มากมายออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทําให้ชมปีเตอร์นดีลงทุนในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ฐานที่อยู่ตรงหน้าของ ซินแคลร์นั้นเงียบสงัด ประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งไม่ปรากฏให้เห็นผู้คนเลยแม้แต่คนเดียวบริเวณนี้ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ และดูเหมือนว่าความเงียบจะครอบคลุ มอยู่ทั่วและที่ฐานแห่งนี้ก็ไม่แม้แต่จะมีการเชื่อมต่อกับสถานที่อื่น ๆ ด้วยซ้ํา ฐานที่มีคนมากกว่า 2,000 คนโดย 500 คนในนั้นเป็นทหารจะสามารถเอาชีวิตรอดในป่าแห้งแล้งนี้ได้อย่างไรกัน ? นี่มันแทบไม่ต้องพิจารณาถึงผลผลิตทางการเกษตรใด ๆ เลยเพราะตามหลัก แล้วพวกเขาจะต้องสร้างชุมชนหรือหมู่บ้านเล็ก ๆ มากกว่า 10 แห่งในบริเวณใกล้เคียงเพื่อทําการเกษตรและจัดหาสิ่งที่จะเป็นเสบียงของฐานทัพ แต่ นี่มันไม่มีอะไรเลยซินแคลร์ไม่คิดว่าตระกูลเมนซ่าจะทําผิดพลาดในลักษณะนี้ได้เพราะมันเป็นแค่เรื่องพื้น ๆ เท่านั้น ดวงตาของนางหวี่แคบลงและนางก็ เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา ผู้นําของแบร์การ์ดไนท์ยกมือขึ้นให้สัญญาณก่อนนํา ทัพไนท์ 10 คนและเกรทเมจให้มุ่งหน้าเข้าไปภายในฐาน ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็เดินกลับ ออกมาจากฐานด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนักหัวหน้าไนท์และเมจยืนอยู่ตรงหน้าซิน แคลร์ทว่าทั้งคู่ต่างก็พูดไม่ออก เมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าไนท์และ เมจ ซินแคลร์ก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “พูดมา ! อะไรกันที่พวกเจ้าพูดออกมาไม่ได้ ? มีกองคนตายอยู่ข้างในอย่างนั้น ? แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันจะอะไรกัน นักหนา ? ยังไงซะพวกเขาทุกคนก็น่าจะ เป็นสมาชิกของตระกูลเมนซ่าไม่ใช่เรอะ ในที่สุดหัวหน้าไนท์ก็พูดขึ้น “ท่าน หญิง ไม่มีใครอยู่ในฐานเลยแม้แต่คนเดียวแต่สิ่งของทุกอย่างยังอยู่ครบ รวม ถึงชุดเกราะ เสบียงและเสื้อผ้าด้วยสิ่งเดียวที่หายไปก็คือมนุษย์” สิ้นคําพูดของหัวหน้าไนท์ เมจก็เอ่ย ขึ้นเช่นกัน ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นน่าหดหูมากกว่าเดิมเสียอีก “และน่าเสียดายที่ ไม่มีสิ่งของใดใช้งานได้เลย ที่นี่เต็มไปด้วยพลังแห่งกาลเวลาและไม่มีทางที่ เราจะกําจัดได้ข้าเสียใจที่ต้องบอกว่าที่แห่งนี้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้” “แล้วประภาคารแห่งกาลเวลาล่ะ !?” นางตะโกนถาม หัวหน้าไนท์และเมจสบตากันก่อนที่ ไนท์จะยอมรับออกมาว่า “เอ่อ… มัน… มันดับไปแล้ว…” “ดับไปแล้วงั้นเรอะ !?” เสียงของซิน แคลร์สะท้อนไปทั่วฐานที่ว่างเปล่า “ใช่แล้ว” ซินแคลร์ตะลึงไปในขณะที่คนอื่น ๆ พากันเงียบกริบในเสี้ยววินาที เสียงเดียว ที่มีในตอนนี้คือเสียงลมพัดเท่านั้น “คิกคิก… คิกคิก… ฮ่า ๆ ๆ !” ซินแค ลงเริ่มจากหัวเราะคิกคักก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะดังจนทําให้นกบนภูเขา ตกใจ นางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไปเรื่อย ๆ กว่า 10 นาทีก่อนที่จะสงบลงในที่สุด จากนั้นใบหน้าของนางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงที่แปลกประหลาดแต่ดูน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม นางใช้ความพยายามอย่างมากที่จะสูด ลมหายใจเข้าก่อนพูดขึ้น “หมายความว่าพวกเรามาอยู่ที่เพลนแปลกประหลาด เข้าให้แล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้และหัวแลนด์ก็ไม่สา มารถติดต่อเราได้นอกจากว่าเราจะหาวิธีที่จะจุดไฟให้ประภาคารแห่งกาลเวลาติดขึ้นมาอีกครั้ง… เอาล่ะ พวกเจ้าต้องตัดสินใจกันตอนนี้ว่าพวกเจ้าพร้อมจะสู้ไปกับข้าหรือไม่ ?” หัวหน้าไนท์และเมจ 2 คนมองตากัน ก่อนตกลงจะอยู่กับซินแคลร์และให้คําปฏิญาณว่าจะฟังทุกคําสั่งจากนาง เพ ราะต่อให้ไม่เต็มใจพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดี มีเพียง 2 วิธีในการพิชิต เพลน – ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างแล้วกลายเป็นศัตรูของสิ่งมีชีวิตบนเพลน หรือแทรกซึมเข้าไปในสังคมและแสวงหาพันธมิตร วิธีแรกยากในแง่ของ ความอันตรายและความยากลําบากทว่าวิธีที่ 2 จะทําให้จุดยืนบนเพลนหรืออํา นาจของพวกเขาด้อยลงไป ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด ไนท์และเมจต่างก็รู้แค่วิธีการต่อสู้เท่านั้น พวกเขาย่อมไม่รู้ เรื่องการเมืองหรือกลยุทธ์ใด ๆ ซึ่งนั่น ทําให้พวกเขาคิดไม่ตกถึงแม้ว่าเพลนนี้ จะจํากัดที่ระดับ 18 แต่การออกห่างจากการป้องกันของนัวแลนด์ย่อมหมายความว่าพวกเขาจะทนสู้ต่อไปได้อีกไม่นานและจากบุคลิกและนิสัยของซินแคลร์แล้วแม้พวกเขาจะปฏิญาณ ความจงรักภักดี นางคงจะสังหารพวกเขาอยู่ดีหากในวันหนึ่งพวกเขาหมดประโยชน์ต่อนาง ซินแคลร์แสร้งยิ้มออกมาและกลอก ตามองไปยังบุคคลทั้ง 3 ตรงหน้าก่อนเอ่ยขึ้น“เลือกได้ดีแต่ยังไงก็เถอะพวกเจ้าก็พอจะมีโชคอยู่บ้างนี่ยังไม่รู้สึกอะไรกันเลยรึ ?” เกรทเมจทั้ง 2 พยายามเพ่งสมาธิและ วิเคราะห์สถานการณ์ทว่าได้รับเพียงคําใบเล็กน้อยเท่านั้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวก เขาไม่สามารถระบุได้เลยว่าความโชคดีที่ซินแคลร์พูดถึงนั้นคืออะไร ส่วนไนท์ นั้นเรื่องของมิติและกาลเวลาไม่ใช่ ความถนัดของเขาเลยสักนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาเค้นสมองคิดให้ เปลืองพลังงาน เมื่อเห็นทั้ง 3 คนงงงันซินแคลร์ก็เผยรอยยิ้มอันน่ากลัวก่อน แลบลิ้นสีแดงของนางออกมาเลียริมฝีปาก “การไหลของเวลาในเพลนนี้อยู่ที่ ประมาณระหว่าง 8 ใน 10 ของเวลานัวแลนด์นั่นหมายความว่ามันได้รับพรจาก มังกรนิรันดร ! เมื่อเราพิชิตเพลนนี้และกลับบ้านของพวกเรา เราจะออกไปพร้อมความประทับใจไม่รู้ลืมไว้ให้กับ พวกคนล้าสมัยที่นี่ ! ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะได้รู้ว่าหัวใจของพวกนี้รสชาติเป็นยังไง !” ขณะที่พูด นางก็ตบเบา ๆ ที่คอขอ งมันติคอร์ไปด้วย ซึ่งสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานี้ก็ยืนขึ้นพร้อมส่งเสียงคําราม นสะเทือนอย่างฉับพลัน “พวกเจ้าทั้งหมดมากับข้า ! เราจะไป หาที่พักสําหรับคืนนี้กัน อืม… หากมีทั้งชายหญิงที่อายุน้อยและงดงามด้วยก็ยิ่ง ดี !” มันติคอร์กระโจนไปเหนือไนท์ท่ามกลางคําปราศรัยของนาง ซึ่งมันเป็น ตัวแรกที่วิ่งไปตามแนวภูเขา ณ วิหารในไวท์ร็อคดัชชี่ เอสเซียน คุกเข่าอยู่ภายในห้องขณะพูดถึงการบุกรุกดินแดนของบารอนฟอร์ซ่า แม้ว่าที่นี่จะ ไม่ได้กว้างใหญ่แต่ก็มีแท่นสูงใหญ่วางอยู่ด้านหนึ่งโดยมีพรีสต์สูงอายุ 3 คนยืนอยู่ข้างหลังมันจากพลังอันสูงส่งนั้น หนาแน่นจนเรืองแสงออกมาทางผิวหนัง ของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ใน ระดับที่สูงกว่าเอสเซียนและดูจากลักษณะของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวนั้นดูเหมือน ว่าในตอนนี้เอสเซียนกําลังอยู่ในการพิจารณาคดี แน่นอนว่าเขากําลังถูกพิจารณาคดี วิ หารแห่งความกล้าหาญในดินแดนของฟ อร์ซ่าถูกทําลายเป็นชิ้น ๆ และหน้าจากหนังสือแห่งการครอบครองซึ่งได้รับกา รยกย่องอย่างสูงโดยเทพแห่งความกล้าหาญก็ถูกทําลายไปอย่างน่าเศร้า อีกทั้ง เหล่าเคลริคและพาลาดินทั้งหมดยังถูกฆ่าตายด้วย เพียงแค่หนึ่งในข้อหาพวกนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้เอสเซียนถูกลงโทษด้วยการให้ดื่มไวน์ผสมยาพิษ 1 ถ้วย อย่างไรก็ตาม เสียงของเอสเซียนยัง คงดังก้องไปทั่วห้องโถง เมื่อเขาอธิบายสถานการณ์จบ เขาก็ไม่ได้พยายามที่จะ ปกป้องหรือล้างมลทินให้กับชื่อของตัวเองแต่เขากลับขออย่างจริงใจให้วิหาร ส่งกองกําลังของพรีสต์กับกองทัพพาลาดินที่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูง ออกไปกําจัดผู้บุกรุกเหล่านั้นนอกจากนี้เขายังขอให้กองทหารภูเขาชั้นดีของไวท์ร็อคดัชชี่ช่วยอีกด้วย !
นิยาย นครแห่งบาป – City of Sin เล่ม 2 ตอนที่ 168 การพิจารณาคดี ตอนที่ 1
ซินแคลร์ได้รับข้อมูลว่าฐานนี้เคยเป็น ของตระกูลเมนซาซึ่งดําเนินการมายาวนานกว่า 10 ปี ที่นั่นมีทหารประจําการ อยู่มากกว่า 500 คนโดยทําหน้าที่ควบคุมดูแลพื้นที่ในรัศมี 10 กิโลเมตรเสมือ นเป็นเมืองเล็ก ๆ สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าด่านหน้าขนาดเล็กที่ตระกูลอาเครอนมอบให้ริชาร์ดและมีความแตก
ต่างกันอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น กําแพงพวกนี้สูงกว่า 10 เมตรซึ่งแตกต่างจากกําแพงเล็ก ๆ ของริชาร์ดที่ตั้งไว้เพื่อป้องกันแบบหยาบ ๆ เท่านั้น
เมื่อมีการปฏิบัติการที่มั่นคงไปอีก 10 ปี ตระกูลจะสามารถเข้าร่วมวิหารแห่งมังกรนิรันดรและให้เพลนทําการจัดสรรและ ตั้งหมายเลขได้แต่ถ้าผู้นําของฐานยังคงความมีกลยุทธ์ มีไหวพริบ และ ไร้ศีลธรรมมากพอก็ไม่จําเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เพลนที่มีการเชื่อมต่อกับ วิหารแห่งมังกรนิรันดรมักจะมีเส้นทางในการเดินทางที่เสถียร ซึ่งก็หมายถึงสามารถดึงทรัพยากรและผลประโยชน์ มากมายออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทําให้ชมปีเตอร์นดีลงทุนในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ฐานที่อยู่ตรงหน้าของ ซินแคลร์นั้นเงียบสงัด ประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งไม่ปรากฏให้เห็นผู้คนเลยแม้แต่คนเดียวบริเวณนี้ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ และดูเหมือนว่าความเงียบจะครอบคลุ มอยู่ทั่วและที่ฐานแห่งนี้ก็ไม่แม้แต่จะมีการเชื่อมต่อกับสถานที่อื่น ๆ ด้วยซ้ํา
ฐานที่มีคนมากกว่า 2,000 คนโดย 500 คนในนั้นเป็นทหารจะสามารถเอาชีวิตรอดในป่าแห้งแล้งนี้ได้อย่างไรกัน ? นี่มันแทบไม่ต้องพิจารณาถึงผลผลิตทางการเกษตรใด ๆ เลยเพราะตามหลัก แล้วพวกเขาจะต้องสร้างชุมชนหรือหมู่บ้านเล็ก ๆ มากกว่า 10 แห่งในบริเวณใกล้เคียงเพื่อทําการเกษตรและจัดหาสิ่งที่จะเป็นเสบียงของฐานทัพ แต่ นี่มันไม่มีอะไรเลยซินแคลร์ไม่คิดว่าตระกูลเมนซ่าจะทําผิดพลาดในลักษณะนี้ได้เพราะมันเป็นแค่เรื่องพื้น ๆ เท่านั้น
ดวงตาของนางหวี่แคบลงและนางก็ เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา ผู้นําของแบร์การ์ดไนท์ยกมือขึ้นให้สัญญาณก่อนนํา ทัพไนท์ 10 คนและเกรทเมจให้มุ่งหน้าเข้าไปภายในฐาน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็เดินกลับ ออกมาจากฐานด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนักหัวหน้าไนท์และเมจยืนอยู่ตรงหน้าซิน แคลร์ทว่าทั้งคู่ต่างก็พูดไม่ออก
เมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าไนท์และ เมจ ซินแคลร์ก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “พูดมา ! อะไรกันที่พวกเจ้าพูดออกมาไม่ได้ ? มีกองคนตายอยู่ข้างในอย่างนั้น ? แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันจะอะไรกัน นักหนา ? ยังไงซะพวกเขาทุกคนก็น่าจะ เป็นสมาชิกของตระกูลเมนซ่าไม่ใช่เรอะ
ในที่สุดหัวหน้าไนท์ก็พูดขึ้น “ท่าน หญิง ไม่มีใครอยู่ในฐานเลยแม้แต่คนเดียวแต่สิ่งของทุกอย่างยังอยู่ครบ รวม ถึงชุดเกราะ เสบียงและเสื้อผ้าด้วยสิ่งเดียวที่หายไปก็คือมนุษย์”
สิ้นคําพูดของหัวหน้าไนท์ เมจก็เอ่ย ขึ้นเช่นกัน ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นน่าหดหูมากกว่าเดิมเสียอีก “และน่าเสียดายที่ ไม่มีสิ่งของใดใช้งานได้เลย ที่นี่เต็มไปด้วยพลังแห่งกาลเวลาและไม่มีทางที่ เราจะกําจัดได้ข้าเสียใจที่ต้องบอกว่าที่แห่งนี้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้”
“แล้วประภาคารแห่งกาลเวลาล่ะ !?” นางตะโกนถาม
หัวหน้าไนท์และเมจสบตากันก่อนที่ ไนท์จะยอมรับออกมาว่า “เอ่อ… มัน… มันดับไปแล้ว…”
“ดับไปแล้วงั้นเรอะ !?” เสียงของซิน แคลร์สะท้อนไปทั่วฐานที่ว่างเปล่า
“ใช่แล้ว”
ซินแคลร์ตะลึงไปในขณะที่คนอื่น ๆ พากันเงียบกริบในเสี้ยววินาที เสียงเดียว ที่มีในตอนนี้คือเสียงลมพัดเท่านั้น
“คิกคิก… คิกคิก… ฮ่า ๆ ๆ !” ซินแค ลงเริ่มจากหัวเราะคิกคักก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะดังจนทําให้นกบนภูเขา ตกใจ นางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไปเรื่อย ๆ กว่า 10 นาทีก่อนที่จะสงบลงในที่สุด จากนั้นใบหน้าของนางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงที่แปลกประหลาดแต่ดูน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม
นางใช้ความพยายามอย่างมากที่จะสูด ลมหายใจเข้าก่อนพูดขึ้น “หมายความว่าพวกเรามาอยู่ที่เพลนแปลกประหลาด เข้าให้แล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้และหัวแลนด์ก็ไม่สา มารถติดต่อเราได้นอกจากว่าเราจะหาวิธีที่จะจุดไฟให้ประภาคารแห่งกาลเวลาติดขึ้นมาอีกครั้ง… เอาล่ะ พวกเจ้าต้องตัดสินใจกันตอนนี้ว่าพวกเจ้าพร้อมจะสู้ไปกับข้าหรือไม่ ?”
หัวหน้าไนท์และเมจ 2 คนมองตากัน ก่อนตกลงจะอยู่กับซินแคลร์และให้คําปฏิญาณว่าจะฟังทุกคําสั่งจากนาง เพ ราะต่อให้ไม่เต็มใจพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดี มีเพียง 2 วิธีในการพิชิต เพลน – ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างแล้วกลายเป็นศัตรูของสิ่งมีชีวิตบนเพลน หรือแทรกซึมเข้าไปในสังคมและแสวงหาพันธมิตร วิธีแรกยากในแง่ของ ความอันตรายและความยากลําบากทว่าวิธีที่ 2 จะทําให้จุดยืนบนเพลนหรืออํา นาจของพวกเขาด้อยลงไป
ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด ไนท์และเมจต่างก็รู้แค่วิธีการต่อสู้เท่านั้น พวกเขาย่อมไม่รู้ เรื่องการเมืองหรือกลยุทธ์ใด ๆ ซึ่งนั่น ทําให้พวกเขาคิดไม่ตกถึงแม้ว่าเพลนนี้ จะจํากัดที่ระดับ 18 แต่การออกห่างจากการป้องกันของนัวแลนด์ย่อมหมายความว่าพวกเขาจะทนสู้ต่อไปได้อีกไม่นานและจากบุคลิกและนิสัยของซินแคลร์แล้วแม้พวกเขาจะปฏิญาณ ความจงรักภักดี นางคงจะสังหารพวกเขาอยู่ดีหากในวันหนึ่งพวกเขาหมดประโยชน์ต่อนาง
ซินแคลร์แสร้งยิ้มออกมาและกลอก ตามองไปยังบุคคลทั้ง 3 ตรงหน้าก่อนเอ่ยขึ้น“เลือกได้ดีแต่ยังไงก็เถอะพวกเจ้าก็พอจะมีโชคอยู่บ้างนี่ยังไม่รู้สึกอะไรกันเลยรึ ?”
เกรทเมจทั้ง 2 พยายามเพ่งสมาธิและ วิเคราะห์สถานการณ์ทว่าได้รับเพียงคําใบเล็กน้อยเท่านั้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวก เขาไม่สามารถระบุได้เลยว่าความโชคดีที่ซินแคลร์พูดถึงนั้นคืออะไร ส่วนไนท์ นั้นเรื่องของมิติและกาลเวลาไม่ใช่ ความถนัดของเขาเลยสักนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาเค้นสมองคิดให้ เปลืองพลังงาน เมื่อเห็นทั้ง 3 คนงงงันซินแคลร์ก็เผยรอยยิ้มอันน่ากลัวก่อน แลบลิ้นสีแดงของนางออกมาเลียริมฝีปาก “การไหลของเวลาในเพลนนี้อยู่ที่ ประมาณระหว่าง 8 ใน 10 ของเวลานัวแลนด์นั่นหมายความว่ามันได้รับพรจาก มังกรนิรันดร ! เมื่อเราพิชิตเพลนนี้และกลับบ้านของพวกเรา เราจะออกไปพร้อมความประทับใจไม่รู้ลืมไว้ให้กับ พวกคนล้าสมัยที่นี่ ! ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะได้รู้ว่าหัวใจของพวกนี้รสชาติเป็นยังไง !”
ขณะที่พูด นางก็ตบเบา ๆ ที่คอขอ งมันติคอร์ไปด้วย ซึ่งสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานี้ก็ยืนขึ้นพร้อมส่งเสียงคําราม นสะเทือนอย่างฉับพลัน
“พวกเจ้าทั้งหมดมากับข้า ! เราจะไป หาที่พักสําหรับคืนนี้กัน อืม… หากมีทั้งชายหญิงที่อายุน้อยและงดงามด้วยก็ยิ่ง ดี !” มันติคอร์กระโจนไปเหนือไนท์ท่ามกลางคําปราศรัยของนาง ซึ่งมันเป็น ตัวแรกที่วิ่งไปตามแนวภูเขา
ณ วิหารในไวท์ร็อคดัชชี่ เอสเซียน คุกเข่าอยู่ภายในห้องขณะพูดถึงการบุกรุกดินแดนของบารอนฟอร์ซ่า แม้ว่าที่นี่จะ ไม่ได้กว้างใหญ่แต่ก็มีแท่นสูงใหญ่วางอยู่ด้านหนึ่งโดยมีพรีสต์สูงอายุ 3 คนยืนอยู่ข้างหลังมันจากพลังอันสูงส่งนั้น หนาแน่นจนเรืองแสงออกมาทางผิวหนัง ของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ใน ระดับที่สูงกว่าเอสเซียนและดูจากลักษณะของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวนั้นดูเหมือน ว่าในตอนนี้เอสเซียนกําลังอยู่ในการพิจารณาคดี
แน่นอนว่าเขากําลังถูกพิจารณาคดี วิ หารแห่งความกล้าหาญในดินแดนของฟ อร์ซ่าถูกทําลายเป็นชิ้น ๆ และหน้าจากหนังสือแห่งการครอบครองซึ่งได้รับกา รยกย่องอย่างสูงโดยเทพแห่งความกล้าหาญก็ถูกทําลายไปอย่างน่าเศร้า อีกทั้ง เหล่าเคลริคและพาลาดินทั้งหมดยังถูกฆ่าตายด้วย เพียงแค่หนึ่งในข้อหาพวกนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้เอสเซียนถูกลงโทษด้วยการให้ดื่มไวน์ผสมยาพิษ 1 ถ้วย
อย่างไรก็ตาม เสียงของเอสเซียนยัง คงดังก้องไปทั่วห้องโถง เมื่อเขาอธิบายสถานการณ์จบ เขาก็ไม่ได้พยายามที่จะ ปกป้องหรือล้างมลทินให้กับชื่อของตัวเองแต่เขากลับขออย่างจริงใจให้วิหาร ส่งกองกําลังของพรีสต์กับกองทัพพาลาดินที่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูง ออกไปกําจัดผู้บุกรุกเหล่านั้นนอกจากนี้เขายังขอให้กองทหารภูเขาชั้นดีของไวท์ร็อคดัชชี่ช่วยอีกด้วย !