ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 45 สถานการณ์คับขัน
สี่สิบห้า
สถานการณ์คับขัน
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่นอนหลับไม่สนิทอยู่แล้ว เมื่อตอนนี้ซุนซิ่งฮวาผลักประตูเข้ามาอย่างแรง และประตูที่ถูกชนเข้ากับผนังก็ดีดกลับไปจนเสียงดังปัง! เธอจึงตกใจสะดุ้งตื่นทันที
ซุนซิ่งฮวากำลังยืนอยู่หน้าประตู ตอนนี้ภาพร่างของนางย้อนแสง และเสวี่ยเจียเยว่ก็เพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือ จึงเห็นสีหน้าของนางไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เมื่อมองดูดีๆ เธอก็สัมผัสได้ว่าใบหน้านางจะต้องมืดครึ้มราวก้นหม้อสีดำ เหมือนคนทั้งโลกนี้ได้ล่วงเกินนาง หรือไม่ก็ติดหนี้เงินนางก้อนโต ที่สำคัญ…นางจะต้องด่ากราดออกมาอย่างแน่นอน
และเป็นจริงดังคาด เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสียงด่าดังออกมาจากลำคอของนางไม่หยุด
“แดดด้านนอกไม่แรงแล้ว ผ้าในลานเจ้าจะเก็บเมื่อไร ตอนเย็นหรือ”
ทั้งยังด่าอีก “ข้าตามหาเจ้าจนทั่วเรือนก็ไม่เจอ ดูเจ้าซิ วิ่งมานอนที่นี่ นี่เป็นที่ที่เจ้ามานอนได้หรือ เจ้าเป็นเด็กหญิง ไม่รู้จักหลีกเลี่ยงคำครหาหรือไร หากมีคนมาเห็นเข้า คงบอกว่าข้าสั่งสอนไม่เข้มงวด เลี้ยงเด็กไม่รู้จักอายอย่างเจ้า ข้ารับชื่อเสียงเช่นนี้ไม่ได้หรอกนะ”
เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะพูดปกป้องให้ความเป็นธรรมแก่เธอเหมือนคราวที่แล้ว จากนั้นซุนซิ่งฮวาก็ใช้โอกาสนี้บีบบังคับให้เขาคุกเข่าอีก เธอจึงรีบลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปจากเรือน ในขณะที่เดินอยู่นั้นก็พูดไปด้วย “ข้าจะไปเก็บผ้าเดี๋ยวนี้”
โชคดีที่ช่วงนี้ซุนซิ่งฮวาติดการพนัน นางจึงนึกเพียงว่าเสวี่ยหย่งฝูจะเล่นชนะหรือแพ้ ทำให้ไม่ได้วุ่นวายกับพวกเขามากนัก หลังจากด่าไม่กี่ประโยคนางก็เดินจากไป
เสวี่ยเจียเยว่รีบไปเก็บผ้าที่ตากอยู่บนราวกลางลานเรือนให้เรียบร้อย จากนั้นก็หันกลับไปมองด้านหลัง และพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่หน้าประตูเรือนของเขา ซึ่งไม่รู้ว่ามายืนตั้งแต่เมื่อไร เขากำลังจ้องมองแผ่นหลังของซุนซิ่งฮวาที่เดินห่างออกไป
สีหน้าของเขาในยามนี้ดูมืดทะมึน เกรงว่าแม้แต่แสงอาทิตย์ในยามที่เต็มดวงก็ยังไม่สามารถทำให้กระจ่างขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น สายตาของเขาก็ดูเยือกเย็นและดุดัน ราวกับว่าอีกเพียงอึดใจเดียวเขาจะชักมีดออกมา แล้ววิ่งไล่ตามไปแทงซุนซิ่งฮวาจากด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น
ช่วงหลังมานี้เสวี่ยเจียเยว่เห็นท่าทีเย็นชาของเขาไม่บ่อยนัก และเคยเห็นสายตาที่เย็นเยียบอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่สายตาดุดันในตอนนี้ เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ทว่าไม่ได้หวาดกลัวมากนัก เพราะรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา และเขาไม่มีทางทำร้ายเธอเด็ดขาด ที่เขามีท่าทีเช่นนี้เพราะคำด่าของซุนซิ่งฮวาเมื่อครู่
เธอหอบผ้าที่เพิ่งเก็บเสร็จเดินไปหาเขา
เมื่อหลายเดือนก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งสูงกว่าเสวี่ยเจียเยว่เพียงหนึ่งช่วงศีรษะ แต่ช่วงหลังมานี้ร่างกายของเขาโตขึ้นค่อนข้างเร็ว ตอนนี้ศีรษะของเธออยู่เพียงระดับหน้าอกของเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจัง
“ท่านพี่ ตอนที่นางด่าข้า ท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้นางด่าข้าไปเถิด ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ เดี๋ยวอีกสักพักข้าก็หายดีเอง”
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจดีว่าตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่อยากจะปกป้องเขาจริงๆ เพราะกังวลว่าซุนซิ่งฮวาจะบังคับให้เขาคุกเข่าเหมือนคราวที่แล้ว เขาถึงได้ใจเย็นลง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ พลางเอ่ย “เจ้าวางใจได้ ข้ารู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าด้วยความสบายใจ ก่อนจะหอบผ้าเดินเข้าไปในเรือน
เสวี่ยหยวนจิ้งมองแผ่นหลังอันบอบบางด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่ยอมพูด แต่เขาก็รู้ว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน เกรงว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยคงไม่มีท่าทางหนักอกหนักใจเช่นนี้ เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา
พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว อีกทั้งต้นฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า เขาก็ต้องเข้าร่วมการสอบระดับท้องถิ่น หากนำเรื่องนี้ไปบอกเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา พวกเขาอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่เขาจะพาเสวี่ยเจียเยว่หนีออกไปโดยที่ไม่มีทะเบียนสำมะโนครัวก็ไม่ได้อยู่ดี
ขณะคิดถึงเรื่องในอนาคต คิ้วของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น
เมื่อช่วงที่หิมะตกน้อยที่สุดผ่านพ้นไป ลมยิ่งพัดแรงขึ้นทุกวันๆ แม้แต่พระอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏให้เห็นมาสองสามวันแล้ว ความมืดครึ้มเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บเหลือประมาณ
ทว่าวันนี้ซุนซิ่งฮวาตื่นขึ้นมาแต่เช้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากนัก นางบอกว่าจะกลับบ้านเกิด และตอนที่นางออกไปสีหน้าก็ดูเบิกบานไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้นางไม่ได้ด่าเสวี่ยเจียเยว่ด้วย
เสวี่ยเจียเยว่ทบทวนเรื่องที่ยายเฉียนพูดเมื่อหลายวันก่อน และวันนี้ก็เห็นซุนซิ่งฮวาต้องการจะกลับบ้านเกิด จึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
หลังซุนซิ่งฮวาจากไป เสวี่ยหย่งฝูก็ใช้ให้เสวี่ยเจียเยว่ไปจับไก่ในสุ่มมาฆ่าหนึ่งตัว เพื่อย่างเป็นอาหารกลางวันให้เขา
การจะให้เสวี่ยเจียเยว่กินไก่ยังทำได้ แต่จับไก่เธอคงไม่กล้า และยิ่งฆ่านั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เสวี่ยหย่งฝูไม่ได้ด่าอะไร เพียงยิ้มและพูดหยอกเย้าไม่กี่ประโยค จากนั้นเขาก็ให้เงินเสวี่ยหยวนจิ้งสามสิบอีแปะ เพื่อไปซื้อน้ำเต้าใส่สุราใบใหญ่มาหนึ่งใบ
ถ้าบอกว่าเสวี่ยหย่งฝูกำลังใช้โอกาสที่ซุนซิ่งฮวากลับบ้านเกิดแอบไปซื้อสุรามาดื่ม ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เรื่องที่เขาจับไก่มาฆ่ากินนี้ทำให้น่าสงสัยไม่น้อย เพราะแม่ไก่นั้นออกไข่ให้พวกเขาได้กิน แม้แต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ พวกเขาก็ยังไม่อยากจะฆ่าไก่หนึ่งตัวด้วยซ้ำ แต่วันนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาล เหตุใดเสวี่ยหย่งฝูถึงต้องฆ่าไก่กิน
ตอนที่ซุนซิ่งฮวากลับมาตอนเย็นแล้วนับไก่ในเล้าดู ถ้าพบว่ามันขาดไปหนึ่งตัวและนางรู้ว่าเขากิน เขาไม่กลัวว่านางจะด่าเอาหรือ นอกเสียจากว่านางจะยอมให้เขาทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก แต่คนอย่างซุนซิ่งฮวาจะยอมให้เสวี่ยหย่งฝูทำเช่นนี้ได้อย่างไร นอกจากวันนี้นางมีเรื่องที่น่ายินดีเป็นพิเศษ
เสวี่ยเจียเยว่สงสัย และคนฉลาดอย่างเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยิ่งสงสัยมากกว่า
เมื่อกลับมาจากซื้อสุราให้บิดาแล้ว เด็กหนุ่มหาข้ออ้างเข้ามาช่วยงานในครัว จากนั้นเขาก็เอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่
“เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เอ่ยคำใด และก้มหน้าก้มตาคีบฟืนยัดใส่เตาเงียบๆ
พอเห็นท่าทางเช่นนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้ได้ทันทีว่าแม่นางน้อยมีเรื่องบางอย่างในใจ และยิ่งคิดถึงท่าทีหนักอกหนักใจของอีกฝ่ายเมื่อหลายวันก่อน เขายิ่งมั่นใจว่าต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วย
เด็กหนุ่มกระวนกระวายใจยิ่งนัก ก่อนจะเดินไปจับมือขวาของคนที่กำลังคีบฟืนอยู่ พร้อมกับเอ่ยถามเสียงต่ำ
“มันเรื่องอะไรกันแน่ รีบบอกข้ามา”
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น ยังคงเงียบงันและมองเหล็กคีบถ่านในมือ แสงเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในเตาสะท้อนบนใบหน้าของเธอ
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าการบังคับถามไม่ได้ผล จึงทำได้เพียงข่มความกังวลให้สงบลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน
“มีเรื่องอะไรบอกข้าไม่ได้หรือ แม้ว่าจะมีเรื่องใหญ่คับฟ้า ข้าก็จะช่วยเจ้าแก้ปัญหาเอง เพราะฉะนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่”
เมื่อพูดมาถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาก็คล้ายจะขอร้องอ้อนวอนให้อีกฝ่ายพูด
ท่าทีของเสวี่ยเจียเยว่ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจและหวาดกลัวยิ่งนัก เด็กหนุ่มอยากจะรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไร ถึงทำให้คนที่ยิ้มแย้มสดใสเสมอแม้พบเจอกับความลำบากอย่างไร กลายเป็นคนที่มีสีหน้าเศร้าหมองเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก หลังจากเก็บไว้ในใจไม่ยอมพูดออกมาเป็นเวลานาน สุดท้ายเธอก็พบว่าหนทางสว่างอาจจะมีอยู่ และควรจะบอกทุกอย่างแก่เขา เพราะหลายวันมานี้เธอคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดายที่ทำอย่างไรก็คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาไม่ได้
เธอไม่อยากเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงเพื่อเป็นภรรยาให้แก่หลานชายขาพิการของยายเฉียน แต่ถ้าบอกเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วจะมีประโยชน์อันใด ถ้าตอนนี้เขาสอบได้เป็นขุนนางแล้วก็ยังพอช่วยเธอแก้ปัญหาได้ แต่ในขณะนี้เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี พระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ แม้แต่ตัวเองยังคุ้มครองยาก30 ไหนเลยจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ให้เธอได้
เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจ กลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลพรากเอาไว้ และเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ อย่าถามอีกเลยเจ้าค่ะ”
เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งกังวล ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยถามบางอย่าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดของเสวี่ยหย่งฝูดังขึ้นในห้องโถง
“เอ้อร์ยา ไก่สุกหรือยัง ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่กำลังทำไก่หมักซีอิ๊วตะไคร้หอม ตามคำขอของเสวี่ยหย่งฝู
ก่อนหน้านี้เธอนำตะไคร้หอมกับขิงที่ล้างจนสะอาดแล้วมาวางให้ทั่วก้นหม้อ และวางไก่เอาไว้ด้านบน เทน้ำแกงที่ปรุงด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ และน้ำตาลลงไปให้ท่วมตัวไก่ จากนั้นก็เพิ่มไฟให้แรงขึ้น ก่อนจะนำฝาหม้อมาปิด หลังจากต้มด้วยไฟแรงแล้วก็ต้มด้วยไฟอ่อน แต่ใช้เวลาในการต้มไม่นานนัก
เมื่อไก่สุก กลิ่นหอมก็อบอวลไปทั่วเรือน
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยขึ้นมา “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก เสวี่ยหยวนจิ้งก็ดึงเธอมาถามให้ชัดเจนอีกรอบ แต่กลับได้ยินเสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านพี่ ท่านกลับเรือนไปก่อน รอให้ข้าจัดการงานของข้าเสร็จเมื่อไร ข้าจะไปหาท่านเอง”
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนกรานไม่ยอมพูด จึงรู้ว่าหากเขายังเอ่ยถามต่อไป ผลที่จะตามมาอาจตรงกันข้ามกับที่คิด ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือแล้วเอ่ย “ได้ ข้าจะกลับไปรอเจ้าที่เรือน”
เขากล่าวจบก็มองเสวี่ยเจียเยว่ยืนเปิดฝาหม้ออยู่หน้าเตา ไอน้ำลอยขึ้นมาจากหม้อ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของอีกฝ่ายดูเลือนราง จากนั้นเขาก็หมุนตัวแล้วเดินออกไปจากห้องครัว
เสวี่ยหย่งฝูยังคงนั่งดื่มสุราอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะในห้องโถง เขาคงถูกซุนซิ่งฮวาจำกัดการดื่มอย่างเข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีกับแกล้ม แต่เขาก็ยังยกสุราขึ้นดื่มทีละจอกอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเรื่อ ดูเหมือนว่าจะเริ่มเมาแล้ว
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมาจากห้องครัว เขาก็เรียกให้หยุด “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานนี้ให้ลูกชายคนโตของป้าโจวยืมจอบไป เจ้าไปที่บ้านของป้าโจวแล้วเอาจอบคืนให้ข้าที แล้วก็เอาข้าวสาลีไปปลูกที่ทุ่งนาด้วย”
เสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้วอย่างเย็นชา ก่อนจะส่งเสียงตอบรับออกมาเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากเรือนไปโดยที่ไม่หันกลับมามองบิดาอีก
เสวี่ยเจียเยว่ตักไก่หมักซีอิ๊วตะไคร้หอมใส่ถ้วยก้นลึก จากนั้นก็หยิบตะเกียบคู่หนึ่ง แล้วยกถ้วยด้วยมือทั้งสองข้างไปวางลงบนโต๊ะ
หลังจากวางถ้วยอาหารเรียบร้อยแล้ว เธอก็ตั้งใจจะเดินออกไปจากเรือน แต่ในขณะที่กำลังหมุนตัวนั้น เสวี่ยหย่งฝูกลับเอื้อมมือมาจับมือขวาของเธอ
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบสะบัดมือทันที
โชคดีที่เสวี่ยหย่งฝูไม่ได้ใช้แรงมากเท่าไรนัก อีกทั้งตอนนี้เขาก็เมาสุราเล็กน้อย เธอจึงสามารถสลัดมือเขาออกไปได้ จึงได้ยินเสียงดัง ‘ปัง!’ นั่นก็คือเสียงมือของเขากระแทกกับมุมโต๊ะ
เสวี่ยหย่งฝูเจ็บปวดจนต้องกัดฟัน แต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะโกรธแม้แต่น้อย เพียงยกมือขึ้นมาลูบบริเวณหลังมือที่ถูกกระแทก และยังคงยิ้มแย้มเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่
“เจ้าจะรีบไปไหนกันเล่า ตอนนี้เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น มารินสุราให้ข้า”
เสวี่ยเจียเยว่กำลังเดินออกไป แต่เสวี่ยหย่งฝูเอื้อมมือขึ้นไปจับแขนเธอเอาไว้
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ ยิ่งไปกว่านั้น ยังชำนาญเรื่องการทำนาเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นเรี่ยวแรงของเขาจึงมีไม่น้อย แต่เสวี่ยเจียเยว่เป็นเพียงเด็กวัยแปดขวบผู้หนึ่ง จะไปสู้แรงเสวี่ยหย่งฝูได้อย่างไร
ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกเดือดดาลราวกับมีไฟสุมอยู่ในอก กำลังจะเอ่ยปากถามว่าเสวี่ยหย่งฝูคิดจะทำสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงความแตกต่างของความแข็งแกร่ง จึงทำได้เพียงข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ ฝืนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“รินก็ริน แต่ท่านไม่จำเป็นต้องฉุดกระชากเช่นนี้ก็ได้ รีบปล่อยข้าเถิด”
“ข้าจะปล่อยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องเชื่อฟัง ห้ามหนีไปไหน” เสวี่ยหย่งฝูเอ่ยด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “แต่ข้าอายุเท่าไร เจ้าอายุเท่าไร แม้ว่าจะวิ่งหนี ข้าก็จับเจ้ากลับมาเล่นกับข้าได้เหมือนเดิม”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นคือเรื่องจริง จึงแกล้งทำเป็นหวาดกลัว และเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
“ข้าจะไม่วิ่งหนี เพราะท่านคือพ่อของข้า และดีกับข้า เหตุใดข้าต้องวิ่งหนีด้วยล่ะเจ้าคะ ท่านพ่อปล่อยข้าก่อน ข้าจะได้รินสุราให้ท่านดื่มเจ้าค่ะ”
“นี่สิถึงจะถูก” เสวี่ยหย่งฝูหัวเราะร่า “ข้ารู้ว่าในใจของเจ้าไม่ได้ชอบพ่ออย่างข้า ในเวลาปกติเจ้าพยายามพบหน้าข้าให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และพูดกับข้าให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ข้ากลับชอบการที่เจ้าเป็นเช่นนี้มาก สตรีหากเล่นตัวหน่อยถึงจะน่าสนใจ ไม่อย่างนั้นหากทำตัวง่ายเกินไปก็จะหมดความตื่นเต้น”
ในขณะที่เอ่ยนั้น มือเขาก็ลูบไล้หลังมือของเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นยิ่งรู้สึกว่าไม่ปกติแล้ว ตอนที่เธออยู่ในครัวก็ได้ยินเสวี่ยหย่งฝูบอกให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปเอาจอบที่บ้านของป้าโจว จากนั้นให้ไปปลูกข้าวสาลีที่ทุ่งนา แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งปลูกไปไม่ใช่หรือ วันนี้จะให้ไปปลูกอะไรอีก หรือว่าเสวี่ยหย่งฝูจงใจให้เสวี่ยหยวนจิ้งออกไปจากเรือน แต่เด็กหนุ่มเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา เหตุใดต้องให้ออกไป
เมื่อคิดเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกระแวงมากยิ่งขึ้น
เธอรู้ดีว่าพละกำลังของตนกับเสวี่ยหย่งฝูนั้นแตกต่างกันมาก ซึ่งเป็นอย่างที่เขาพูดมา แม้เธออยากจะวิ่งหนีตอนนี้ เกรงว่าเขาคงจับเธอกลับมาได้เหมือนเดิม
หากจะต่อต้านนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงต้องโอนอ่อนผ่อนตามเท่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่หยิบน้ำเต้าใส่สุราขึ้นมาจากโต๊ะ ก่อนจะรินใส่จอกเปล่าที่วางอยู่เบื้องหน้าเสวี่ยหย่งฝู จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อมิได้บอกว่าข้าทำกับข้าวอร่อยอยู่บ่อยๆ หรือเจ้าคะ ไก่ที่ข้าทำวันนี้ ท่านลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่”
เสวี่ยหย่งฝูได้ยินเช่นนั้น จึงเอื้อมมือไปฉีกน่องไก่มากัดกินคำโต ในขณะที่กินอยู่นั้นก็เอ่ยงึมงำกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม
“อร่อย ข้าไม่ได้จะชมเจ้านะ แต่ฝีมือการทำอาหารของเจ้าดีกว่าแม่ของเจ้ามาก ฝีมือแม่ของเจ้าคงตามเจ้าไม่ทันแน่นอน”
“ไก่ตัวนี้ข้าตั้งใจทำให้ท่านพ่อกินเป็นพิเศษ ในเมื่อท่านพ่อกินแล้วอร่อย ก็ดื่มสุราหลายๆ จอกนะเจ้าคะ จะได้ไม่ทำให้ความลำบากของข้าต้องสูญเปล่า”
เสวี่ยหย่งฝูยื่นมือไปรับจอกสุรา และไม่วายลูบไล้หลังมือเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ จากนั้นเขามองหน้าลูกเลี้ยงพร้อมกับส่งยิ้มให้ ขณะเดียวกันก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด
เสวี่ยเจียเยว่รินสุราให้เขาอีก “เมื่อครู่นี้เพิ่งบอกว่าต้องดื่มหลายๆ จอก ฉะนั้นจอกหนึ่งย่อมไม่ได้ ข้าจะรินให้ท่านอีกนะเจ้าคะ”
เธอรินสุราให้เสวี่ยหย่งฝูติดกันเช่นนี้ถึงสี่จอก ขณะเดียวกันสายตาก็กวาดมองไปรอบๆ เรือนด้วย
กระด้งกับตะกร้าหวายอย่างละใบแขวนอยู่บนผนัง สองสิ่งนี้เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์อะไร แม้จะรู้ดีว่ามีเครื่องมือทำไร่ทำนาที่มีประโยชน์หลายชิ้นวางไว้ใกล้ประตูเรือน แต่น่าเสียดายที่มันไกลเกินไป หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เธอวิ่งหนีไปคงจะดีกว่า และด้วยความแข็งแกร่งของเสวี่ยหย่งฝู แม้ว่าเธอจะหยิบจับอาวุธใดๆ ก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์
เมื่อคิดทบทวนเป็นอย่างดีแล้ว เสวี่ยเจียเยว่คิดว่ามีเพียงทางเดียวคือทำให้เสวี่ยหย่งฝูมึนเมาจนฟุบลงบนโต๊ะเท่านั้น จากนั้นเธอค่อยหนีออกไป ทั้งยังคิดว่าการที่ซุนซิ่งฮวาไปหายายเฉียนในวันนี้ ก็เพื่อหารือเรื่องที่จะขายเธอให้ตระกูลซุนเลี้ยงต้อย ไม่แน่ตอนนี้นางอาจจะรับเงินสิบตำลึงนั้นมาแล้วก็เป็นได้ ควรลงมือเสียตอนนี้จะดีกว่า อาศัยช่วงที่ซุนซิ่งฮวาไม่อยู่ ประตูห้องของนางก็เปิดกว้าง เธอต้องถือโอกาสนี้เก็บของมีค่าที่มีทั้งหมดในห้องของนางหนีออกไป จากนั้นค่อยก้าวไปทีละขั้นตอน เพื่อไม่ให้ถูกทางการจับในฐานะคนเร่ร่อนหรือหัวขโมย
หากเธอไม่หนีตอนนี้ ในอนาคตก็คงไม่มีโอกาสให้หนีอีกแล้ว
หลังจากตัดสินใจแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ยิ่งกระตือรือร้นและคะยั้นคะยอให้เสวี่ยหย่งฝูดื่มสุราเข้าไปอีก
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนที่ดื่มสุราได้มากมายขนาดนี้ สุราในน้ำเต้าใบใหญ่ตอนนี้เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะเลยด้วยซ้ำ
เสวี่ยเจียเยว่เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา มือที่ถือน้ำเต้าเริ่มสั่นเทา ทันใดนั้นเสวี่ยหย่งฝูก็เอื้อมมือมาจับแขนของเธอเอาไว้
เธอตกใจจนไม่สามารถถือน้ำเต้าได้อย่างมั่นคง มันหล่นลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘ตึง!’ สุราที่เหลืออยู่กระฉอกออกมาและไหลลงบนโต๊ะเป็นทางราวสายธารเล็กๆ สายหนึ่ง
ทว่าเสวี่ยหย่งฝูไม่ได้สนใจสุรา เขายังคงดึงแขนเสวี่ยเจียเยว่เหมือนอยากจะลากตัวเธอไปอยู่ข้างๆ
เสวี่ยเจียเยว่ใช้แรงขัดขืน ทั้งยังพูดขึ้นมา “ท่านพ่อ สุราหกหมดแล้วเจ้าค่ะ ท่านรีบปล่อยข้าเถอะ ข้าจะได้เก็บน้ำเต้าขึ้นมาตั้งเจ้าค่ะ”
เธอใช้วิธีนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเสวี่ยหย่งฝู
ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังดึงเธอเข้าไปหา มืออีกข้างก็ยัดน่องไก่ที่เพิ่งฉีกออกมาใส่มือของลูกเลี้ยงแล้วเอ่ย “เอ้อร์ยา มา… กินไก่กับข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ต้องการ เธอพยายามดิ้นสุดชีวิต แต่มือของเสวี่ยหย่งฝูที่จับแขนเธอนั้นราวกับคีมเหล็กก็ไม่ปาน เธอไม่สามารถสลัดออกไปได้เลย
เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหย่งฝูดื่มหนักจนเมาแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสียงเขาสะอึก จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมายาวเหยียด
“ข้าจะบอกความจริงให้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้แม่ของเจ้ากลับบ้านเกิดเพื่ออะไร เด็กโง่ ก็เป็นเพราะการมาของยายเจ้าเมื่อหลายวันก่อนอย่างไรเล่า นางอยากซื้อตัวเจ้าไปเลี้ยงเป็นเมียให้หลานชายที่ขาพิการ เมื่อวานนี้มีคนมาแจ้งข่าวว่ายายกับป้าลุงของเจ้าเชิญแม่เจ้าไปหารือเรื่องนี้โดยเฉพาะ แม่เจ้าบอกว่าพวกเขายินดีจ่ายสิบตำลึง เงินจำนวนนี้ทำนาทั้งปีก็ยังไม่ได้ ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจะมีค่าถึงเพียงนี้ อ้อ แม่เจ้ายังดีใจไม่น้อยจนยอมให้เงินข้าสามสิบอีแปะเพื่อไปซื้อสุรา และบอกว่าให้ข้ากินไก่ได้หนึ่งตัว ทั้งหมดนี้ข้าต้องขอบใจเจ้าด้วย”
เขายังคงยัดน่องไก่ใส่มือของเสวี่ยเจียเยว่ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ต้องการ เมื่อก่อนเจ้ามิใช่คนตะกละตะกลามหรอกหรือ อย่าว่าแต่น่องไก่เลย แค่ให้ของกินเล็กๆ น้อยๆ แก่เจ้า จะให้เจ้าทำสิ่งใดก็ยอมแล้ว วันนี้พ่อของเจ้าให้น่องไก่ เจ้าก็ให้พ่อหอมสักฟอด เพราะถึงอย่างไรต่อไปเจ้าก็จะกลายเป็นเมียของคนพิการผู้นั้น ยังหวังจะให้เขาทำอะไรเจ้าอีกหรือ คงเป็นเพียงผัวเมียกันในนามเท่านั้น ไม่เท่ากับว่าชีวิตของเจ้าต้องกลายเป็นม่ายไปตลอดหรอกหรือ”
เขากล่าวจบก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เพื่อจะหอมแก้มเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่ได้กลิ่นสุราที่ทำให้เธอแทบอาเจียนอยู่ที่ปลายจมูก และเห็นใบหน้าที่น่าขยะแขยงของเสวี่ยหย่งฝู ชั่วขณะนั้นในใจของเธอทั้งโกรธและโมโหมาก จากนั้นก็คิดว่าจะต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีวิ่งหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า
เธอยื่นมือทั้งสองข้างไปผลักใบหน้ามันเยิ้มสกปรกที่กำลังเข้าใกล้ใบหน้าของตนอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน จากนั้นก็ขว้างน่องไก่ใส่หน้าของเสวี่ยหย่งฝู ขณะเดียวกันเธอสบถออกมาประโยคหนึ่ง
“เวรเอ๊ย ทำไมสุนัขจิ้งจอกใจคอโหดเหี้ยมอย่างพวกแกไม่ตายๆ ไปซะให้รู้แล้วรู้รอด”
เสวี่ยหย่งฝูคิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะผลักเขาอย่างกะทันหันเช่นนี้ อีกทั้งยังขว้างน่องไก่ใส่หน้าเขาด้วย โดยไม่เอะใจว่าลูกเลี้ยงพูดด้วยถ้อยคำที่แปลกไป
น่องไก่ชิ้นนั้นโดนดั้งจมูกของเขาพอดี และเมื่อดั้งจมูกอ่อนนิ่มถูกฟาดด้วยน่องไก่ เขาก็รู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากจมูก จึงยกมือขึ้นสัมผัส พอก้มหน้าลงมองก็พบว่ามันคือเลือดสีแดงสด
ทันใดนั้นเสวี่ยหย่งฝูก็รู้สึกทั้งเจ็บและโกรธ การดื่มสุราเข้าไปมากทำให้อารมณ์ของเขาระเบิดออกมา นิสัยที่เกรี้ยวกราดเป็นทุนเดิมปะทุขึ้นทันที
เขาสบถคำหยาบออกมาหนึ่งประโยคแล้วเงื้อมือขึ้นสูง ก่อนที่ฝ่ามือราวพัดเล่มใหญ่จะตบเข้าที่ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่อย่างแรง
เสวี่ยเจียเยว่หลบฝ่ามือเขาไม่ทันจึงถูกตบเข้าอย่างจัง จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าใบหน้าข้างซ้ายแสบร้อนอย่างมาก อีกทั้งหูด้านซ้ายก็อื้อจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ได้ยินเสียงด่าของเสวี่ยหย่งฝู
“นางเด็กสารเลว! ข้าเลี้ยงเจ้ามาหลายเดือน แต่เจ้ากลับเป็นสุนัขจิ้งจอกเลี้ยงไม่เชื่อง ตอนนี้ถึงกับกล้าด่าข้าเชียวหรือ ทั้งยังกล้าเอาน่องไก่ฟาดหน้าข้าอีก ได้… ได้… ได้… เดิมทีข้าคิดว่าตอนนี้เจ้ายังเป็นเด็กแปดขวบ ในใจอยากจะทะนุถนอมเจ้า ไม่อยากแตะต้องตัวเจ้า แต่ดูเหมือนว่าข้าพูดดีๆ แล้วเจ้าไม่ชอบ จนบีบบังคับให้ข้าต้องแตะต้องตัวเจ้า”
ในขณะที่เอ่ย เขาก็ยื่นมือไปจับตัวเสวี่ยเจียเยว่
ร่างกายของเธอบอบบางยิ่งนัก เมื่อถูกเสวี่ยหย่งฝูตบไปเมื่อครู่ก็ล้มลงไปกองกับพื้น เป็นเวลาครู่หนึ่งกว่าจะได้สติกลับมา ขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปนั้น กลับถูกเขาอุ้มขึ้นมาแล้วหนีบเอาไว้ในรักแร้
เสวี่ยเจียเยว่พยายามดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต และทุบตีเสวี่ยหย่งฝูอย่างสุดกำลัง เพื่อให้เขาปล่อยเธอลง ทว่าน่าเสียดายที่เรี่ยวแรงนี้ก็เหมือนกับหนอนกำลังเขย่าต้นไม้ เขาหนีบเธอเดินไปปิดประตูเรือนแล้วลงกลอนซึ่งก็คือการใช้ไม้ขัดไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตนโดยไม่สนใจแรงขัดขืน
เธอรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ความจริงแล้วนี่คือเรื่องที่เสวี่ย-เจียเยว่กังวลมากที่สุด เธอปลอบใจตัวเองเสมอมา เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็อยู่ในร่างเด็กอายุแปดขวบ ต่อให้เสวี่ยหย่งฝูจะเลวเหมือนสัตว์เดรัจฉานเพียงใด ก็คงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นกับเธอ อย่างมากที่สุดก็เพียงพูดเอาเปรียบเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในภพนี้สัตว์เดรัจฉานยังเลวสู้มนุษย์ไม่ได้
เมื่อถูกเสวี่ยหย่งฝูโยนลงบนเตียงนอน ร่างหนักของเขาก็ตามมาทาบทับร่างของเธอทันที เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสิ้นหวัง ทั้งมือและเท้าของเธอทุบตีเตะต่อยเขาสุดกำลัง ขณะเดียวกันก็ร้องตะโกนออกมาด้วย
“ไปให้พ้น เจ้าไปให้พ้น ไปตายซะ!”
“ข้ายังตายไม่ได้ แต่อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายทั้งเป็นหลายรอบ” เสวี่ย-หย่งฝูแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แทนที่จะให้เจ้าเด็กพิการนั่นได้ประโยชน์ มิสู้ให้ข้าได้ลิ้มลองของสดใหม่เสียแต่ตอนนี้”
เขากล่าวจบก็ฉีกกระชากเสื้อของเสวี่ยเจียเยว่อย่างแรง
Related