ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 9 ความปราดเปรื่องของท่านปรมาจารย์
ความจริงเป็นประจักษ์ เมื่อความอยากอาหารของผู้หญิงระเบิดออกมา พวกเธอก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนจนแทบจำไม่ได้
หลี่เนี่ยนฝานมองไปยังสองแม่ลูกที่แทบจะตีกันเพราะอาหาร มุมปากก็ยกยิ้มพึงพอใจอย่างห้ามไม่อยู่
ผู้บำเพ็ญเซียนแล้วยังไง ถูกอาหารแสนอร่อยของฉันสยบไปแล้วไม่ใช่เหรอ
ชีวิตแบบนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ต้องอิจฉาละ
เขาคีบเนื้อเสือดาวขึ้นมาหนึ่งชิ้น ใส่เข้าปากอย่างอ้อยอิ่ง
อื้ม~ เนื้อสัมผัสนุ่มลื่น เต็มปากเต็มคำ
หลี่เนี่ยนฝานค่อยๆ หลับตาลง สัมผัสถึงเนื้อย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในปาก
ในขณะเดียวกัน เสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ลืมที่จะดูแลต้าเฮย มันวางน่องเสือดาวไว้ที่พื้น ให้ต้าเฮยกินอย่างอิ่มหนำสำราญ
อาหารมือนี้ทำให้ลั่วซืออวี่และจงซิ่วเพลิดเพลินจนลืมสิ่งต่างๆ ไป ทัศนะต่อโลกของพวกนางเปลี่ยนไป ที่แท้บนโลกก็มีอาหารเลิศรสเช่นนี้อยู่ด้วย
ทั้งสองกินจนกินไม่ลง ยกมือขึ้นมาลูบท้องกลมๆ ไว้ สีหน้าอิ่มเอมราวกับกำลังหวนระลึกถึงรสชาตินั้น
“คุณชายหลี่ ขอบคุณสำหรับน้ำใจ” จงซิ่วเช็ดปาก จากท่าทางของคนท้องยุ้งพุงกระสอบก็กลับคืนเป็นหญิงสาวสง่างามสูงส่ง พลางเอ่ยปากพูด
หลี่เนี่ยนฝานโบกมือ “ก็แค่เนื้อย่างมื้อหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“คุณชายหลี่ เนื้อย่างของท่านนี้ ต้องเป็นเซียนบนสวรรค์ถึงจะได้กินกระมัง?” ลั่วซืออวี่อดถามไม่ได้
หลี่เนี่ยนฝานมุมปากยกยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าไม่ได้โต้ตอบอะไร
ลั่วซืออวี่กับจงซิ่วมองหน้ากัน ความตื่นตระหนกโหมซัดขึ้นในใจ
นี่มัน…ดูแคลน?
ดูแคลนเหล่าเซียนหรือ?
หรือว่า ต่อให้เป็นเซียนก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะกินเนื้อย่างของเขา?
ในชั่วขณะนั้น สมองของพวกนางก็คิดไปต่างๆ นานา สายตาที่มองหลี่เนี่ยนฝานบังเกิดความเคารพยำเกรง
เกรงว่าความเลิศล้ำของปรมาจารย์ท่านนี้คงยากที่จะจินตนาการ
ลั่วซืออวี่มองหลี่เนี่ยนฝานอย่างใคร่ครวญ คล้ายกับมีอะไรอยู่ในใจ และกำลังเรียบเรียงคำพูด
จากนั้น นางก็มองหลี่เนี่ยนฝานอย่างกระวนกระวายและคาดหวัง เอ่ยปากว่า “คุณชายหลี่ ท่านมีความรู้กว้างไกล ข้ามีเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย”
เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างเจ้าจะมาให้ปุถุชนอย่างข้าช่วย?
ปฏิกิริยาแรกของหลี่เนี่ยนฝานคือปฏิเสธ
หลี่เนี่ยนฝานไม่กล้าคิดว่าผู้บำเพ็ญเซียนนั้นลึกลับซับซ้อนเพียงใด และยิ่งไปกว่านั้นคือไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่เช่นนั้นตัวเขาจะตายอย่างไรก็ไม่รู้
แต่ว่าความประทับใจที่เขามีต่อลั่วซืออวี่นั้นไม่เลว ถ้าหากบอกปัดไปตรงๆ เห็นทีจะไม่ดีนัก หรือว่าควรพูดอ้อมๆ สักหน่อย?
ลั่วซืออวี่ไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลี่เนี่ยนฝาน นางเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “คุณชายหลี่ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังท่าน อันที่จริง…ข้าคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์เซียนเฉียนหลง เสด็จพ่อของข้าเพิ่งขึ้นครองราชย์ อำนาจยังไม่มั่นคง อยากให้ข้าอภิเษกกับบุตรชายของกังฉินคนหนึ่ง…”
นางพูดไปพลางสังเกตสีหน้าของหลี่เนี่ยนฝาน เมื่อเห็นว่าหลี่เนี่ยนฝานยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ตกใจ นางก็อดลอบดีใจไม่ได้
นางคิดแล้วว่าจะปกปิดสถานะ แต่เมื่อคิดแล้วว่าปรมาจารย์มีความรู้เป็นเลิศ จึงตัดสินใจเลือกบอกความจริงออกไป
ดูแล้วการตัดสินใจของตนนั้นถูกต้อง เกรงว่าปรมาจารย์ท่านนี้คงมองเรื่องทั้งหมดออกแต่แรกแล้ว
ที่หลี่เนี่ยนฝานสุขุมเยือกเย็น ก็เพราะว่าเขาคุ้นเคยกับพล็อตเรื่องทำนองนี้เป็นอย่างดี ในโทรทัศน์ของโลกเดิม อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย จักรพรรดิเองก็ปลอมตัวเป็นสามัญชนอยู่บ่อยครั้ง อีกอย่างเขาก็รู้แต่แรกแล้วว่าสถานะของลั่วซืออวี่นั้นไม่ธรรมดา
เขาจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว
พูดอย่างง่ายก็คือ จักรพรรดิของราชวงศ์เพิ่งขึ้นครองราชย์ นั่งบนบัลลังก์ยังไม่ทันอุ่น กระนั้นอำนาจส่วนมากของอาณาจักรล้วนถูกราชครูกุมไว้ ในตอนนี้ราชครูเสนอว่าจะให้บุตรชายของตนแต่งงานกับองค์หญิง จักรพรรดิต้องพึ่งพาคนอื่นเขา จึงอับจนปัญญา
เนื้อเรื่องน้ำเน่าแบบนี้เห็นได้บ่อยมากในละครโทรทัศน์ของโลกเดิม
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ในโลกบำเพ็ญเซียนด้วย สงครามทางโลกนี่มีอยู่ทุกที่จริงๆ
อำนาจหลักในโลกบำเพ็ญเซียนแบ่งเป็นราชวงศ์เซียนและสำนักเซียน ราชวงศ์เซียนที่จริงแล้วก็คือราชวงศ์ของผู้นำเหล่าผู้บำเพ็ญเซียน ครอบครองทรัพยากรในการบำเพ็ญเซียน แม้แต่พลรบก็ยังเป็นผู้บำเพ็ญเซียน
ที่ตั้งของสำนักเซียนมักจะอยู่ท่ามกลางหุบเขาและแม่น้ำเลื่องชื่อซึ่งเป็นขุมพลังปราณ ต่างจากราชวงศ์เซียน อาณาเขตกว้างไกล ควบรวมเมืองของปุถุชนไว้ ทั้งปุถุชนและผู้บำเพ็ญเซียนอาศัยอยู่ร่วมกัน
ที่จริงแล้วปุถุชนนับเป็นประชากรส่วนมากของโลกบำเพ็ญเซียน โดยมากจะมีผู้บำเพ็ญเซียนหนึ่งคนจากปุถุชนหนึ่งร้อยคน ในบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนหนึ่งคน จะมีเพียงคนเดียวที่มีพรสวรรค์ ในรอบหนึ่งร้อยปีจะมีผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศถือกำเนิดขึ้นหนึ่งคน
กล่าวตรงๆ ก็คือผู้บำเพ็ญเซียนในราชวงศ์เซียนปกครองปุถุชน หากพบว่ามีภูติผีปีศาจก่อเรื่อง ผู้บำเพ็ญเซียนของราชวงศ์ก็จะออกหน้าจัดการ
พื้นที่ซึ่งหลี่เนี่ยนฝานอาศัยอยู่นั้นอยู่ในความดูแลของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง
ลั่วซืออวี่เห็นหลี่เนี่ยนฝานไม่พูดไม่จา จึงเอ่ยปากขอร้อง “คุณชายหลี่ ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”
“ข้าก็คิดว่าเรื่องอะไรซะอีก ที่แท้ก็ง่ายดายปานนี้”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มร่า ถ้าหากเป็นเรื่องฆ่าฟันกัน เขาคงเบือนหน้าเดินหนีไม่พูดไม่จาไปแล้ว แต่สำหรับเรื่องนี้ ขอพูดแบบไม่โอ้อวดเลยนะ เขาคิดได้สารพัดร้อยแปดวิธี
“ท่านมีวิธีจริงๆ หรือ” ลั่วซืออวี่แววตาเป็นประกาย พูดอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณท่านมาก!”
จงซิ่วเองก็ค้อมกายลงน้อยๆ มองหลี่เนี่ยนฝานด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง หลี่เนี่ยนฝานก็แอบยิ้มกริ่มอยู่ในใจ คนในโลกบำเพ็ญเซียนรู้แต่วิธีบำเพ็ญเซียน ความคิดกลับใสซื่อไร้เดียงสา แม้แต่แผนการง่ายๆ ยังคิดไม่ออก
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย “ข้าได้ยินว่าอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์เซียนเย่อหยิ่งทะนงตน พวกท่านสามารถยืมมืออัครมหาเสนาบดีต่อกรกับราชครูได้”
สถานการณ์ของราชวงศ์เซียนเฉียนหลงเหมือนกับราชวงศ์ที่โด่งดังในโลกเดิมของหลี่เนี่ยนฝานมาก นั่นก็คือราชวงศ์ฉินยังไงล่ะ!
ในตอนที่ฉินสื่อหวง[1]เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ ที่จริงอำนาจส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในมือของมารดาและหลี่ว์ปู้เหวย สุดท้ายแล้ว เขาก็อาศัยการต่อสู้กันเองระหว่างทั้งสองฝ่าย นั่งรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความขัดแย้งถึงได้มีโอกาสยึดอำนาจคืนกลับมา และเริ่มสร้างยุคสมัยอันรุ่งโรจน์
จงซิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณชายหลี่ แม้ว่าอำนาจของอัครมหาเสนาบดีเป็นรองราชครู แต่ก็มีแผนการซ่อนเร้น เตรียมการหักหลังได้ตลอดเวลา จักรพรรดิทรงลากอัครมหาเสนาบดีเข้ามาเกี่ยวข้องหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็บังเกิดผลน้อยนิดนัก”
นางรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ ความคิดนี้นางคิดออกตั้งนานแล้ว ใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิด
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีของท่านแล้ว!” หลี่เนี่ยนฝานมองไปยังลั่วซืออวี่
ลั่วซืออวี่ตะลึงงัน “ข้า?”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “ถูกต้อง พวกท่านบอกว่าจักรพรรดิยอมจำนน เตรียมการให้องค์หญิงอภิเษกกับบุตรชายของราชครูแล้ว แต่เมื่อถึงตอนนั้น องค์หญิงกลับมีจิตปฏิพัทธ์ต่อบุตรชายของอัครมหาเสนาบดี มีใจเสน่หากันและกัน เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร”
สมองของลั่วซืออวี่และจงซิ่วระเบิดวาบ ชะงักงันอยู่ตรงนั้น
พวกนางไม่ได้โง่งม ไม่นานก็กระจ่างแจ้งในความหมาย
เยี่ยม ยอดเยี่ยม!
อัครมหาเสนาบดีทะเยอทะยาน เมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนมีโอกาสกับองค์หญิง ย่อมต้องหวังว่าองค์หญิงจะอภิเษกกับบุุตรชายของตนอย่างแน่นอน ผนึกอำนาจของตนให้มั่นคง หากแต่ราชครูย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาได้ดังใจหวัง ทั้งสองต้องทะเลาะกันเพื่อแย่งตำแหน่งราชบุตรเขย!
พยัคฆ์สองตัวต่อสู้กัน พลังอำนาจก็จะลดลง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสให้จักรพรรดิช่วงชิงอำนาจกลับคืนมา!
ทั้งสองจ้องมองหลี่เนี่ยนฝาน แววตาลุกโชติช่วง
นี่คือความปราดเปรื่องของปรมาจารย์ใช่ไหม
วิธีการไม่เพียงเหนือชั้น พลังก็ยังลึกล้ำ แม้แต่แผนการที่พูดออกมาส่งๆ ก็ยังสร้างฝนโลหิตลมกลิ่นคาวเลือด หงายมือเรียกเมฆหมอก คว่ำมือเรียกสายฝน
มักพูดกันว่าปรมาจารย์มักจะมองฟ้าดินเป็นกระดานหมาก คำนวณทุกอย่าง ปัญหาเล็กน้อยเช่นนี้ไม่คณามือเขาหรอก!
น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ลั่วซืออวี่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น รีบลุกขึ้นยืนค้อมคำนับหลี่เนี่ยนฝาน เอ่ยอย่างจริงใจ “คุณชายหลี่ ขอบคุณ!”
ขอบตาของนางเปียกชื้นเล็กน้อย ปัญหาที่ทำให้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับนั้นถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย
จงซิ่วก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “คุณชายหลี่หลักแหลมยิ่งนัก จงซิ่วนับถือ! เพียงประโยคเดียวของท่านก็ทำให้พวกข้ากระจ่างได้ บุญคุณในครั้งนี้พวกข้าสองแม่ลูกจะไม่ลืมเลือน วันนี้รบกวนท่านมากแล้ว ได้โปรดอภัยด้วย”
“ข้าก็แค่เสนอความคิดเท่านั้น พวกท่านเกรงใจแล้ว” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มน้อยๆ นี่นับเป็นการผูกไมตรีจิตกับราชวงศ์เซียนเฉียนหลง หลังจากนี้ก็จะรับประกันความปลอดภัยของตนในโลกบำเพ็ญเซียนได้มากขึ้นอีก
จากนั้นลั่วซืออวี่กับจงซิ่วก็กลับไปด้วยความตื่นเต้น
ระหว่างทาง จงซิ่วอดไม่ได้ ทอดถอนใจเป็นครั้งคราว
หลี่เนี่ยนฝานให้ความรู้สึกราวกับเป็นภาพมายา ท่าทางการพูดสบายๆ ไม่แยแสทางโลก มีทัศนคติว่าปัญหาใดก็แก้ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งรสชาติของอาหารที่ทำให้หวนระลึกถึง ต่อให้เป็นเซียนก็ไม่อาจเทียบเทียมได้
นางมองลั่วซืออวี่ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ซืออวี่ การได้พบกับปรมาจารย์อย่างคุณชายหลี่นั้นนับว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ ต้องหาวิธีผูกมิตรไว้ เมื่อกลับไป เจ้าไปค้นเลือกสมบัติล้ำค่าจากท้องพระคลัง ถึงแม้คุณชายหลี่จะไม่ชอบใจนัก แต่ก็จำเป็นต้องทำตามมารยาท!”
…………………………………………….
[1] ฉินสื่อหวง หมายถึงจิ๋นซีฮ่องเต้