ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 8 อาหารอันโอชะที่ต่อให้เอาปราณโอสถมาแลกก็ไม่ยอม
หลี่เนี่ยนฝานกำลังนั่งอยู่ในเรือน ต้าเฮยก็นอนอยู่ข้างเท้าของเขา
ส่วนเสี่ยวไป๋กำลังก่อกองไฟอยู่ตรงหน้า
ศพของเสือดาวถูกนำไปจัดการจนสะอาด ในตอนนี้ถูกเสียบไม้ย่างบนเตาไฟ ถ่านร้อนแผดเผาอยู่ด้านล่างของเตาไฟ
เสี่ยวไป๋เขย่าตะแกรงย่าง รับบทพ่อครัวมืออาชีพเป็นการชั่วคราว
แม้ว่าหลี่เนี่ยนฝานจะทำได้ทุกอย่าง แต่งานเหนื่อยงานหนักเขาล้วนไม่ลงมือด้วยตัวเอง เสี่ยวไป๋แตะถึงระดับสูงสุดของปัญญาประดิษฐ์แล้ว ในระบบได้บันทึกสูตรอาหารนับไม่ถ้วน การทำอาหารนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก อีกทั้งฝีมือยังดีกว่าสิ่งที่เรียกว่าเชฟใหญ่ระดับห้าดาวหลายร้อยเท่า
จะแอบอู้ทั้งที ก็ย่อมต้องอยู่เฉยๆ ไม่งั้นก็โง่น่ะสิ
“คุณชายหลี่อยู่บ้านหรือไม่” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอก
มีคนมาเวลาอาหารพอดี
หลี่เนี่ยนฝานเปิดประตู มองไปยังผู้หญิงสองคนซึ่งยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นแม่นางลั่ว ยินดีต้อนรับ”
ลั่วซืออวี่พูดแนะนำ “คุณชายหลี่ ท่านนี้คือแม่ของข้า”
“สวัสดี ข้าชื่อจงซิ่ว มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ รบกวนแล้ว” จงซิ่วมองประเมินหลี่เนี่ยนฝาน พบว่าเป็นอย่างที่ลั่วซืออวี่บอกจริงๆ หลี่เนี่ยนฝานมองจากภายนอกแล้วก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดา
หลี่เนี่ยนฝานเองก็มองประเมินจงซิ่ว อดลอบตกตะลึงในความงามไม่ได้ มิน่าล่ะถึงได้มีลูกที่สวยสะคราญอย่างลั่วซืออวี่
หลี่เนี่ยนฝานเปิดประตูกว้าง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านมาได้จังหวะ ข้าทำอาหารกลางวันเสร็จพอดี”
จงซิ่วพยักหน้า เดินเข้าไปในเรือน
นางมองไปก็พลันเห็นเสี่ยวไป๋กำลังง่วนทำงานอยู่กลางเรือน ใบหน้าปรากฏความตกตะลึง
“ท่านแม่ นั่นคือเสี่ยวไป๋ที่ข้าเล่าให้ฟัง ฉลาดเฉลียวมาก!” ลั่วซืออวี่พูดแนะนำ นางโบกมือให้เสี่ยวไป๋ “สวัสดี เสี่ยวไป๋”
“สวัสดี สุภาพสตรีคนงาม ขอให้ข้าได้เตรียมอาหารอันโอชะให้กับพวกท่าน พวกท่านต้องชอบอย่างแน่นอน” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกว่าเสียงของเสี่ยวไป๋นุ่มนวลน่าดึงดูดกว่าเดิมเสียอีก
กำลังจีบสาวอยู่เหรอ
ส่วนจงซิ่วก็ตะลึงงันไปเรียบร้อยแล้ว
ความรู้และประสบการณ์ของนางมีมากกว่าลั่วซืออวี่ ดังนั้นจึงตกใจมากกว่า
นี่มันอาวุธวิญญาณอะไรกัน ไม่เพียงทำอาหารได้ ยังถึงกับคุยกับคนได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วย หากนำของล้ำค่าที่สุดในราชวงศ์ไปเปรียบก็ไม่อาจสู้ได้เลย
ในตอนนั้น นางเชื่อคำพูดของบุตรสาวอย่างสนิทใจ ในขณะเดียวกันก็มีความคิดว่าการได้พบกับปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวกเช่นนี้นับเป็นโอกาสที่ดีโดยแท้ จำต้องผูกมิตรไว้!
“นั่งเถิด เนื้อจะสุกแล้ว พวกท่านนับว่ามีลาภปาก” หลี่เนี่ยนฝานพูดด้วยรอยยิ้ม
เขามองดูเนื้อเสือดาว ในใจรู้สึกตื่นเต้น ในโลกเดิมอย่าว่าแต่กินเลย เขาเคยเห็นเสือดาวแค่ในสวนสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือเนื้อปีศาจเสือดาวเชียวนะ หากินได้ยากสุดๆ
“จะอร่อยจริงๆ หรือ”
ลั่วซืออวี่ยู่จมูก ดวงตาคู่สวยมองไปยังเตาปิ้ง ดูคลางแคลงใจอยู่บ้าง
นางเป็นถึงองค์หญิง กินอาหารชั้นเลิศมาไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็มองไม่ออกว่าเนื้อย่างนี้มีสิ่งใดพิเศษ
เสี่ยวไป๋ตอบอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์มาก “แม้ว่าท่านจะงดงาม แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ท่านจะสงสัยในฝีมือการทำอาหารของข้า”
ในใจของจงซิ่วก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนักเช่นเดียวกัน นางมองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือปีศาจเสือดาว แต่สำหรับนางแล้วเนื้อของปีศาจนั้นสุดแสนจะธรรมดา จะอร่อยขนาดไหนกันเชียว
กระนั้นนางก็กังวลว่าลั่วซืออวี่จะทำให้ปรมาจารย์เคืองโกรธ จึงรีบตำหนิว่า “ซืออวี่ อย่าเสียมารยาท! คุณชายหลี่พูดเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของเขา”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มแย้ม ไม่ได้พูดอะไร
ถึงแม้ผู้บำเพ็ญเซียนจะหัวสูง แต่ในหลายๆ ด้านก็เทียบได้กับยุคโบราณของโลกเดิม วิธีการประกอบอาหารล้าหลังมาก ประเดี๋ยวจะให้ทั้งสองได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าได้ลองแล้วจะเปลี่ยนใจ
เสี่ยวไป๋ลงแรงย่างอย่างตั้งใจ ไม่นานก็ทาเครื่องปรุงลงบนเนื้อเสือดาวให้สม่ำเสมอกัน
“ฉ่าๆๆ!”
เพียงครู่เดียว น้ำมันร้อนสีเหลืองทองก็ออกมาทีละหยดๆ ไหลเอื่อยไปตามรอยย่นของเนื้อ หยดลงบนกองไฟ
จากนั้นกลิ่นหอมอบอวลของเนื้อก็ลอยฟุ้งออกมาปกคลุมเรือนทั้งหลังในชั่วพริบตา
ดอมดมอย่างละเอียด สัมผัสกลิ่นหอมอย่างเชื่องช้า ความหิวกระหายก็เพิ่มขึ้นมาทันใด
“หอมมาก!” ลั่วซืออวี่พลันตื่นเต้น สายตาวาววับจับจ้องไปที่เสือดาว
เอื๊อก
ลั่วซืออวี่และจงซิ่วอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
แม้ว่าพวกนางจะฝืนทนอย่างสุดกำลัง แต่ความหอมรัญจวนใจของอาหารกลับล้ำลึกเสียเหลือเกิน จมูกขยับน้อยๆ คล้ายกับกลิ่นหอมได้หลอมรวมกับจิตวิญญาณของตนไปแล้ว
ต่อให้กลั้นหายใจ กลิ่นหอมเหล่านี้ก็ยังเหมือนเด็กซุกซน ดื้อดึงเข้าไปยึดครองโพรงจมูก เย้าหยอกต่อมรับรสของพวกนาง หอม หอมเหลือเกิน!
นางไม่เคยคิดมาก่อน ว่าอาหารจะส่งกลิ่นยั่วยวนเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นต้องเผชิญกับปราณโอสถ พวกนางก็ไม่เคยแสดงความปรารถนารุนแรงเช่นนี้มาก่อน
“จ๊อกๆๆ”
เสียงร้องใสจากท้องของพวกนางดังขึ้นต่อเนื่องกัน
ทันใดนั้น ใบหน้าของลั่วซืออวี่และจงซิ่วก็แดงจัด พวกนางก้มหน้างุดไม่กล้ามองหลี่เนี่ยนฝาน
หลังจากที่เริ่มฝึกเซียน ความต้องการอาหารของพวกนางก็เริ่มลดน้อยลง และดูดซับพลังปราณจากฟ้าดินหรือกินปราณโอสถมากกว่า หลายปีมานี้แทบลืมความรู้สึกหิวกระหายไปแล้ว นับประสาอะไรกับท้องที่ร้องจ๊อกๆ เช่นนี้เล่า
น่าอายเหลือเกิน
ทั้งลั่วซืออวี่และจงซิ่วร่ำร้องอยู่ในใจ อยากจะหาโพรงแล้วมุดหนีแทบขาดใจ
ความทะนงตนในใจอันตรธานไปนานแล้ว อาหารนี้ต่อให้นำปราณโอสถมาแลกก็ไม่ยอม!
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวก แม้แต่อาหารการกินก็อยู่เหนือกว่าที่ปุถุชนธรรมดาจะจินตนาการได้ ที่สำคัญก็คืออาหารอันโอชะนี้ถูกปรุงโดยอาวุธวิญญาณ พูดออกไปเกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ
หลี่เนี่ยนฝานเห็นสีหน้าของพวกนาง ในใจแอบรู้สึกมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นลั่วซืออวี่หรือจงซิ่วก็ล้วนเป็นสาวงามระดับต้นๆ คนหนึ่งอ่อนเยาว์สูงส่ง อีกคนหนึ่งสุกงอมงามสง่า ที่สำคัญคือมีสถานะเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียน ดูหรูหรากว่าสาวสวยเซ็กซี่ในชุดเครื่องแบบซะอีก เห็นพวกนางดูขัดเขินเพราะทำเรื่องน่าอายแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องดีในชีวิตจริงๆ
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย “ได้แล้วละ เสี่ยวไป๋ยกอาหารมาให้สุภาพสตรีทั้งสองเร็ว”
“ได้ขอรับ”
เสี่ยวไป๋ตอบรับ มือที่ถือมีดนั้นคล่องแคล่วปราดเปรียวประหนึ่งงูพิษ มีดตวัดขวับเดียว เนื้อเสือดาวก็ถูกหั่นเป็นแผ่นๆ จัดวางลงในชาม
เสี่ยวไป๋ยังไม่ลืมอธิบายว่า “เสือดาวจะใช้แรงที่ส่วนขามากที่สุด ดังนั้นกล้ามเนื้อส่วนขาจึงแข็งแรงที่สุด ได้เนื้อคุณภาพดีที่สุด รสสัมผัสดีกว่าส่วนอื่น”
“ขอบคุณ”
ลั่วซืออวี่และจงซิ่วกล่าวขอบคุณ มองประเมินเนื้อย่างอย่างอดรนทนไม่ไหว
ด้านนอกสีเหลืองทองมันวับ เนื้อด้านในฉ่ำนุ่ม ไอร้อนระคนกลิ่นหอมกำจายออกมา ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องน้ำลายสอ
ลั่วซืออวี่เลียปากอย่างห้ามไม่อยู่ ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มอ้าเล็กน้อย แล้วกัดลงไป
กร้วม!
เนื้อด้านนอกสั่นน้อยๆ ถึงกับส่งเสียงของความกรอบออกมา รสสัมผัสล้ำเลิศจนลั่วซืออวี่เกือบร้องขึ้นมา
เนื้อที่ผ่านการรมควันจากเตาถ่านย่อมเปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมหวน ทั้งยังมีเครื่องปรุงหลากหลายชนิดเพิ่มสีสันและรสชาติเด่นชัด ความนุ่มละมุน กรอบ สดใหม่ เผ็ดและชาเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบระเบิดออกในโพรงปากทันใด คล้ายกับจะทำให้พวกนางดำดิ่งลงไปในความอร่อย
อร่อย อร่อยเหลือเกิน!
นางอดไม่ได้จนต้องเพิ่มความเร็วในการเคี้ยว น้ำลายในปากแทบไหลหยดลงมา
ความอิ่มเอมเอ่อล้นออกมาเอง
ทางด้านจงซิ่ว แม้ว่าท่าทางยามกินจะแลดูสง่างามดังเคย แต่ก็กินเนื้อเข้าไปเป็นชิ้นที่สามแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ลั่วซืออวี่รีบเอ่ยปราม “ท่านแม่ ท่านกินเร็วเกินไปแล้วกระมัง!”
ริมฝีปากของจงซิ่วชะงักไปชั่วขณะ ใบหน้าแข็งทื่อ อับอายจนโมโห “เจ้าเด็กคนนี้ ดูเจ้าพูดเข้าสิ”
ทว่าในขณะเดียวกัน นางก็ยัดเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก เห็นได้ชัดว่าได้โยนภาพลักษณ์ทิ้งไปแล้ว
เสียงของลั่วซืออวี่ดังขึ้นอีก “ท่านแม่ ท่านรอก่อนสิ เนื้อชิ้นนั้นข้าจ้องอยู่นะ!”
………………………………..