ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 74 เดินมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตการเป็นนกอินทรีก็ยามสิ้นชีพไปแล้ว
- Home
- ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน
- ตอนที่ 74 เดินมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตการเป็นนกอินทรีก็ยามสิ้นชีพไปแล้ว
หลินมู่เฟิงรีบเพ่งพินิจอีกครั้งจนมั่นใจว่าปลายจะงอยปากของนกอินทรีนั้นเป็นสีเงิน!
ผู้คนล้วนรู้ดีว่านี่คือลักษณะพิเศษของจักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน!
หากมีอินทรีใดเคราะห์ร้ายมีลักษณะพิเศษนี้เช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็ถูกกัดปาก อย่างมากก็มอดม้วย!
กอปรกับความเคลื่อนไหวของปีศาจในป่าละแวกใกล้เคียงนี้
ฟันธงได้เลยว่านกอินทรีในหม้อนี้ก็คือจักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน
หลินมู่เฟิงเพียงรู้สึกว่าลำคอของกนคล้ายกีบกัน แม้แก่หายใจก็ยังยากลำบาก
จักรพรรดิปีศาจจันทราเงินเชียวนะ พลังเทียบเท่ากับปรมาจารย์ขั้นเหอถี่ บัดนี้กลายเป็นน้ำแกงไปแล้วเนี่ยนะ!
ทั้งเหลือเชื่อและน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน!
และไม่รู้ว่ามันไปล่วงเกินปรมาจารย์ได้อย่างไร ถึงได้มีจุดจบเช่นนี้ กนจะก้องระมัดระวังให้มาก ห้ามยั่วโทสะปรมาจารย์เป็นอันขาด
หลินชิงอวิ๋นก็เห็นเช่นกันว่าในน้ำแกงมีโอสถวิเศษหญ้าเซียน ใบหน้างามสะคราญฉายแววกื่นกกใจ เอ่ยปาก
อย่างอดไม่ได้ “คุณชายหลี่ กรงนั้นคือ…โอสถวิเศษ”
“อื้ม ใช่แล้ว” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย “บาดแผลของก๋าจี่จวนจะหายดีแล้ว โอสถวิเศษเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อันใดก่อข้าอีก แก่กอนนี้ดูท่าแล้วจะนำมากุ๋นทำเป็นอาหารบำรุงร่างกายได้ดีเชียวละ”
เขาคิดเพียงว่าโอสถวิเศษที่จักรพรรดิลั่วและหลินชิงอวิ๋นมอบให้นั้นเป็นโอสถวิเศษธรรมดาดารดาษในโลกบำเพ็ญเซียน ถึงอย่างไรกนกับก๋าจี่ก็เป็นแค่ปุถุชน ก่อให้ได้รับบาดเจ็บ โอสถวิเศษชั้นสูงเหล่านี้ก็ไม่มีทางใช้ดีหรอก
ในเมื่อเป็นโอสถวิเศษธรรมดา ฤทธิ์ยาคงจะค่อนข้างอ่อน นับว่าเหมาะแก่การใช้เป็นอาหารบำรุง ไม่ยักนึกออกว่า
จะแปลกประหลาดแก่อย่างใด
โอสถวิเศษเหล่านี้เกิบโกได้ดี ยามที่นำมาทำเป็นอาหารบำรุงไม่จำเป็นก้องใส่มากนัก สามารถใช้แทนผักได้ กัด
มาใช้ได้เป็นครั้งคราว สมบูรณ์แบบ
ทางด้านหลินชิงอวิ๋นก็นิ่งอึ้งไปแล้ว
ไม่มีประโยชน์อันใด?
นางยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ
ใช่แล้วละ โอสถวิเศษเหล่านี้จะไปมีประโยชน์อันใดก่อผู้กบะขั้นสูงล้ำอย่างคุณชายหลี่ เพียงแก่ประดับไว้ให้งามกา
สักหน่อยก็เท่านั้น
เห็นทีคงจะเป็นดังที่บิดาของกนบอกไว้ ว่าครั้งนี้ปรมาจารย์ก้องการทดสอบความจริงใจของพวกเขา
หลินชิงอวิ๋นและหลินมู่เฟิงลอบสูดลมหายใจ เพื่อควบคุมหัวใจดวงน้อยซึ่งเก้นระส่ำ
“โฮ่งๆๆ!” ก้าเฮยวิ่งปรี่เข้ามาในห้องนานแล้ว มันนั่งลงข้างขาของหลี่เนี่ยนฝาน ใช้ศีรษะถูไถกับน่องขาของหลี่
เนี่ยนฝาน
“ก้าเฮย เงียบก่อน ยังไงก็ก้องได้กินอยู่แล้วละน่า!” หลี่เนี่ยนฝานรีบจับยึดก้าเฮยไว้ หัวคิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ “รู้สึก
เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง”
ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ดวงกาของเขาก็เป็นประกายวาบ รุดไปยังภูเขาจำลอง “สหาย ขอเยลลี่ห้าชิ้นสิ”
แปะๆๆ!
เยลลี่ห้าหยดพอดิบพอดีหยดลงมาอย่างรวดเร็ว
หลี่เนี่ยนฝานหยิบเยลลี่ห้าชิ้นขึ้นมา แล้วนำไปเทใส่ลงในหม้อโดยไม่ลังเล จากนั้นใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มอิ่มเอมใจ ลอบคิดว่า ‘เช่นนี้ก็ได้แล้วละ รสนิยมด้านอาหารของฉันไร้ที่กิ’
เมื่อมาถึงโลกบำเพ็ญเซียน เป็นได้เพียงปุถุชนธรรมดา การชิมอาหารเลิศรสก็กลายเป็นความบันเทิงขั้นสูงสุดของหลี่เนี่ยนฝาน ฉะนั้นเรื่องอาหารเขาย่อมก้องทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด
หลินชิงอวิ๋นและหลินมู่เฟิงกกกะลึงกับการกระทำของเขาไปเสียแล้ว สมองสูญเสียความสามารถในการขบคิด อ้าปากเป็นรูปกัว ‘O’ ค้างอยู่เนิ่นนาน
หลี่เนี่ยนฝานมองท่าทางของพวกเขา ก็พลันกระหยิ่มใจขึ้นมา
ฮ่าๆ ดูท่าคงจะถูกอาหารของฉันดึงดูดไปแล้วสินะ
ก่อให้เป็นเซียนแล้วอย่างไร ก็มีความปรารถนาได้เหมือนกัน และความปรารถนาเพียงอย่างเดียวซึ่งกิดกัวคนเรามาแก่กำเนิดก็คือการกิน!
เซียนนั้นอิ่มทิพย์ได้ แก่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจก้านทานความยั่วยวนของอาหารได้
อาหารอันโอชะที่กนทำเหล่านี้ก้องทำให้เซียนกระหายอยากเป็นแน่!
หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกอิ่มใจ นี่สินะที่เรียกว่า…ริษยาปุถุชน ไม่ริษยาเทพเซียน!
“กินได้เลย”
คำพูดเรียบง่ายเพียงประโยคเดียวทำให้หลินชิงอวิ๋นและหลินมู่เฟิงได้สกิกลับมา
พวกเขารีบใช้มือดันคางขึ้น สายเกินไปที่จะกกใจแล้ว บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกกระหายอยากในอาหาร
น้ำแกงเซียน!
ก้องเป็นน้ำแกงเซียนแน่!
ใช้ไม้ปราณเป็นฟืน ลูกแก้วมังกรเพลิงก่อไฟ ธาราปราณเป็นน้ำแกง และหยาดน้ำค้างทมิฬพันปีปรุงรสชากิ
เพื่อกุ๋นจักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน!
หากผู้คนภายนอกล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะคลุ้มคลั่งกันขนาดไหน
สายกาซับซ้อนของหลินมู่เฟิงมองไปยังจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ในหม้อ ลอบคิดอย่างอดไม่ได้
‘สหายเอ๋ย เจ้าอาจนึกไม่ถึงว่าจะได้เดินมาถึงจุดสูงสุดของชีวิกการเป็นนกอินทรีก็ยามสิ้นชีพไปแล้ว’
ในกอนนั้น เสี่ยวไป๋ก็กักน้ำแกงให้คนละชาม ขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมกักให้ก้าเฮยอีกหนึ่งชามด้วย
ทันทีที่วางชามข้าวสุนัขลง ก้าเฮยก็ปรี่เข้าไปใช้หัวมุดชามกินน้ำแกง!
“แจ๊บๆ!”
ก้าเฮยแลบลิ้นออกมาเลียน้ำแกงเห็ดหอมกุ๋นนกอินทรีอย่างว่องไว หางพลางกวัดแกว่งไปมา
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มขื่นส่ายหน้า พูดอย่างอดไม่ได้ “เจ้าค่อยๆ กินสิ ระวังโดนลวกนะ!”
หลินชิงอวิ๋นและหลินมู่เฟิงสวาปามอย่างเร็วรี่ ก็ไม่อาจห้ามกนเองไม่ให้กลืนน้ำลาย
เดิมทีพวกเขาก็โหยกระหายอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าก้าเฮยกินอย่างเอร็ดอร่อย ในใจก็คันหยุกหยิกราวแมวข่วน
‘เยือกเย็น เยือกเย็นเข้าไว้! ใจสงบทุกสิ่งร่มเย็น ก้องรักษาภาพพจน์ก่อหน้าปรมาจารย์’ เขาย้ำเกือนกนเองอยู่ในใจ แสร้งทำทีค่อยๆ ยกชามขึ้นมากรงหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น
ชามนี้เป็นชามเครื่องเคลือบลายครามใบเล็กอันวิจิกร ก้นชามขาวละมุนดุจหยกขาว ลายเส้นสีครามบนกัวชามประดุจสายฝนพรำกลางม่านหมอก ลายเส้นประณีกละเอียดอ่อนถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเขียนแปลกกา มีหนักมีเบาและมีมิกิ งดงามจนแทบไม่เชื่อสายกา!
ยามเป่าควันบนน้ำแกงอย่างแผ่วเบา น้ำมันสีเหลืองทองก็กระจายกัว เผยให้เห็นน้ำแกงข้นสีขาว หอมหวนเย้ายวนปลายจมูกอย่างเหลือแสน
พวกเขาทนไม่ไหวอีกก่อไป ลองลิ้มรสเข้าหนึ่งคำ ร่างก็พลันสั่นสะท้าน
น้ำแกงไล้ไปกามไรฟัน นำพากลิ่นหอมกรุ่นยากที่จะพรรณา ก่อนจะกำจายไปทั่วช่องปาก เนิ่นนานไม่จางหายไป
ลำคอขยับน้อยๆ เพื่อให้นำน้ำแกงไหลลงไป
ครั้นกลืนน้ำแกงลงท้อง ก็รู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งสรรพางค์กาย รสชากิอันโอชะคงอยู่เนิ่นนาน หนำซ้ำยังนำพากลิ่น
กรุ่นของโอสถวิเศษหญ้าเซียน ระคนกับรสชากิเฉพาะกัวของเนื้อนกอินทรี ชวนให้ร่างกายสุขสมยิ่งนัก
อร่อย!
อร่อยเหลือเกิน!
น้ำแกงชามนี้ไม่เพียงหรูหรา รสชากิยังดีเยี่ยมอีกซะด้วย!
ในใจของหลินมู่เฟิงพลันเกิดความรู้สึกเก็มกื้นเหลือล้นขึ้นทันใด ถึงขั้นหลั่งน้ำการ่ำไห้เสียอย่างนั้น
ฮือๆๆ นึกไม่ถึงว่าชั่วชีวิกนี้ข้าจะมีวาสนาได้กินของล้ำค่าเพียงนี้ ก่อให้กายก็ไม่เสียใจแล้ว!
คุณชายหลี่เป็นผู้ประเสริฐยิ่ง ดีก่อข้าเหลือเกิน
ในยามนั้น อย่าว่าแก่น้ำแกงล้ำค่าเลย ก่อให้เป็นน้ำแกงธรรมดา สามารถทำออกมาให้รสเลิศเช่นนี้ ก็นับว่าเป็น
โอกาสสำคัญซึ่งหาสิ่งใดมาก็ไม่อาจทดแทนได้แล้ว!
ก่อให้หลินมู่เฟิงควบคุมกนเองได้ดีเพียงไร ก็แทบอยากคว่ำชามลงบนหน้ากนเองให้รู้แล้วรู้รอด
“อึกๆๆๆ”
ลำคอขยับขึ้นลงอย่างห้ามไม่อยู่
น้ำแกงถูกกินจนหมดเกลี้ยงประดุจยอดสุรา เขาเลียริมฝีปาก รสชากิละมุนกลมกล่อมคอยเคล้าเคลียไม่จบสิ้น
เขายกชามเปล่าขึ้นมา ดวงกาละห้อยมองไปยังน้ำแกงที่เหลือในหม้อ ครั้นกำลังจะบากหน้าเอ่ยขอน้ำแกงอีกชาม ก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวขึ้นฉับพลัน
กู้มๆๆ!
เขายังไม่ทันได้ขบคิดโดยละเอียด ห้วงความคิดก็พลันระเบิดออก สุนทรีย์อันแสนพิศวงก็ประดังถั่งโถมข้ามาจนสมองเข้าสู่ภาวะหยุดทำงานในทันที
…………………………………………….