ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 68 พรุ่งนี้จะทำเป็นสำรับขึ้นโต๊ะ
ครั้นผู้อาวุโสทั้งสามออกไปแล้ว หลินมู่เฟิงก็ยังคงมีสีหน้าหวาดระแวง ยกมือขึ้นสร้างเขตอาคมรอบห้องอีกหลายชั้น ก่อนจะเอ่ยว่า “ชิงอวิ๋น เจ้าเล่าได้แล้ว”
หลินชิงอวิ๋นพยักหน้า แล้วเล่าสิ่งที่ตนประสบพบเจอมาอย่างฉะฉานในทันใด “เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าจากที่ข้าได้รับคำเชิญจากราชวงศ์เซียนเฉียนหลง…”
ระหว่างที่หลินชิงอวิ๋นกำลังสาธยาย สีหน้าของหลินมู่เฟิงก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
บ้างก็ประหม่า บ้างก็ตื่นเต้น บ้างก็หวั่นกลัว บ้างก็กระวนกระวาย…
ครั้นฟังมาถึงตอนจบ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววความตื่นเต้นอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นจึงเงยหน้ามองฟ้าด้วยรอยยิ้ม “ดี ดี ดียิ่งนัก!”
“ชิงอวิ๋น เจ้าทำได้ถูกต้องแล้ว! ทว่ามีจุดหนึ่งที่เจ้าเข้าใจผิดไป!”
“หืม? ตรงไหนหรือเจ้าคะ” หลินชิงอวิ๋นเอ่ยถามอย่างฉงนใจ
“พลังบำเพ็ญของปรมาจารย์เลิศล้ำปานนั้น คิดว่าเขาจะสนใจโอสถวิเศษของพวกเจ้าหรือ ผิดแล้วผิดมหันต์! ข้าเดาว่านั่นคือบททดสอบความจริงใจของพวกเจ้าอย่างไรล่ะ!”
หลินมู่เฟิงปากบอกว่าคาดเดา ทว่าใบหน้ากลับเปี่ยมความมาดมั่น น้ำเสียงมั่นใจเป็นที่สุด
นัยน์ตาของหลินชิงอวิ๋นเบิกกว้าง สีหน้าตระหนักได้ “มีเหตุผล!”
“ยังดีที่พวกเจ้ามิได้ทำให้ปรมาจารย์ผิดหวัง ปรมาจารย์ถึงได้ยินดีมอบใบชาให้พวกเจ้าคนละถุง” หลินมู่เฟิงสีหน้าอิ่มเอิบ บุตรสาวของตนจับพลัดจับผลูมาได้รับโอกาสเช่นนี้ นับเป็นวาสนาของทั้งหอเซียนหลิงอวิ๋นโดยแท้!
ใบชานี้มีทำนองมรรคาเจือปนเชียวนะ ปรมาจารย์อาจมิได้ยี่หระ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว ทำนองมรรคานั้นไม่อาจประเมินค่าได้ นับเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไปได้ทั้งปวง!
อย่าว่าแต่โอสถวิเศษและหญ้าเซียนสิบหกต้นเลย ต่อให้มียี่สิบหรือสักหนึ่งร้อยต้นก็ไม่อาจเปรียบได้กับครึ่งส่วนของใบชานี้!
หลินมู่เฟิงพูดต่อ “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ในบรรดาคนเหล่านั้น เจ้าจริงใจมากที่สุด ดังนั้นปรมาจารย์จึงสัญญากับเจ้าเพิ่มอีกข้อหนึ่ง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
หลินชิงอวิ๋นพยักหน้า หรือว่าเขาจะคาดการณ์ได้แม้แต่การปิดด่านทะลวงขั้นของบิดาตน!
พลังระดับนี้…น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว
“คำสัญญานี้ใช้ไม่ได้หรอก!”
หลินมู่เฟิงตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะ น้ำเสียงแน่วแน่ “นี่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพวกเรากับปรมาจารย์ ห้ามใช้มันเด็ดขาด นอกเสียจากว่าเข้าตาจน! อีกทั้ง…อย่าได้เอ่ยคำขอร้องสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องรู้ขอบเขต มิฉะนั้นอาจทำให้ปรมาจารย์ขุ่นเคืองได้!”
คำสัญญานี้ล้ำค่านัก ลำพังแค่คิดหลินมู่เฟิงก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นแล้ว!
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ต่อให้เป็นเซียนก็ต้องอิจฉากันบ้างละ
หลินมู่เฟิงเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าทะลวงขั้นได้ก็เพราะได้ใบชาที่ปรมาจารย์มอบให้ช่วยไว้ ข้า
จึงต้องไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย! แต่ย่อมไม่อาจไปมือเปล่า เพียงแต่ทั่วทั้งหอเซียนหลิงอวิ๋นของข้ามีสิ่งใดบ้างเล่าที่จะเข้าตาปรมาจารย์”
หลินชิงอวิ๋นเองก็ขมวดคิ้วมุ่น คุณชายหลี่เป็นบุคคลระดับใด เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานซึ่งวางอาวุธเซียนทิ้งไว้จนฝุ่นจับ จะไปสนใจอะไรกัน
“เจ้านั่นก็แล้วกัน!”
หลินมู่เฟิงสายตาจับจ้อง ในใจก็พลันตัดสินใจ “ชิงอวิ๋น พรุ่งนี้เจ้าไปหาปรมาจารย์กับข้า!”
…..
ราตรีมาเยือนอย่างเงียบงัน
ป่าซึ่งสูญสิ้นการปกครองของจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินกลับกลายเป็นปั่นป่วนเกินรับไหว
ภายใต้ความมืดมนอนธการ มักเห็นเงาดำเคลื่อนไหวเป็นครั้งคราว สังเวียนประลองพลังของเหล่าปีศาจเกิดขึ้น
จนดารดาษ
ปีศาจทรงพลังซึ่งก่อนหน้านี้เร้นกายไร้สุ้มเสียงต่างทยอยกันเผยตน ประหนึ่งเตรียมพร้อมช่วงชิงการเป็น
จักรพรรดิปีศาจ
การเคลื่อนไหวเกิดขึ้นกลางป่า เสียงร้องแปลกพิลึกดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หัวคิ้วของหลี่เนี่ยนฝานขมวดน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ ในใจเริ่มกระสับกระส่าย
“ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้บำเพ็ญเซียนยกพวกกันมากลุ่มใหญ่ บินผ่านบนท้องฟ้าไปๆ มาๆ ผู้
บำเพ็ญเซียนเพิ่งจะไป ในป่าก็มีเสียงเอะอะมะเทิ่งอีกแล้ว เสียงพวกนี้คงไม่ใช่เสียงร้องของปีศาจหรอกใช่ไหม หรือว่าจะเป็น…ผี?”
เขานอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ถึงกับชักจะสงสัยว่าตนคิดถูกแล้วใช่ไหมที่มาอาศัยอยู่ในป่า กลางป่าเขาแสนวังเวง เรือนสี่ประสานธรรมดาๆ ของตนจะไปมีอะไรให้พวกนั้นมายุ่มย่ามกัน
ต๋าจี่ยืนอยู่ในเรือน ยามที่ได้ยินเสียงร้องระงมดังมาจากทั่วสารทิศ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตานิ่งสงบฉายแวว
เย็นชาขึ้นมา
กล้ารบกวนการพักผ่อนของคุณชาย เจ้าปีศาจพวกนี้รนหาที่ตายเสียแล้ว!
นางเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ เปิดประตูเสียงดัง ‘แกร็ก’
เบื้องหน้าไม่ไกล เงาร่างสีขาวกำลังชะเง้อชะแง้แลหา ชั่วขณะนั้นร่างเล็กก็สะดุ้งโหยง กระโจนลงมาด้วยความตื่นเต้น
“ท่านพี่~”
ดวงตาของจิ้งจอกหกหางสุกสกาวขึ้นมา โผเข้าหาอ้อมอกของต๋าจี่ ศีรษะซุกไซ้ไม่หยุด
ต๋าจี่อึ้งงันไป สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของจิ้งจอกน้อย รีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “เป็นอะไรไป”
“ข้าตกใจแทบแย่”
จิ้งจอกน้อยตบอกของตนเบาๆ หางทั้งหกสั่นระรัว “เมื่อคืนวานจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินนำเหล่าปีศาจมาล้อม
จับข้ากะทันหัน ข้าเกือบถูกจับ ยังคิดเสียอีกว่าจะไม่ได้พบท่านพี่อีกแล้ว ฮือๆๆ…”
สีหน้าของต๋าจี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างวิตก “เช่นนั้นเจ้าหนีมาได้อย่างไร”
จิ้งจอกน้อยสะอื้นไห้ ก่อนจะพูดว่า “จากนั้นก็มีผู้เฒ่าและเด็กสาวชาวมนุษย์คนหนึ่งหมายเอาชีวิตของจักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน แล้วเกิดปะทะกันขึ้นมา ข้าจึงฉวยจังหวะนั้นหลบหนีมา”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งและเด็กสาวอีกคนหนึ่งหรือ
ต๋าจี่ชะงักไป ชั่วขณะนั้นก็ฉุกคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยามย่ำรุ่งวันนี้
หรือว่าจะเป็นฉินม่านอวิ๋นกับเหยาเมิ่งจี?
เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวนางก็คิดออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ที่แท้เมื่อเช้าวันนี้หาใช่การเจอะเจอโดยบังเอิญแต่อย่างใด
แท้จริงแล้วพวกเขาไล่ล่าจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินนั่นเอง!
หรือจะบอกว่า อันที่จริงคุณชายหลี่เขา…คาดการณ์เรื่องทั้งหมดไว้แล้ว!
อีกทั้งยังจัดการทุกอย่างเสียเสร็จสรรพ!
ไม่เช่นนั้นเหยาเมิ่งจีและฉินม่านอวิ๋นจะปรากฏตัวยามจิ้งจอกหกหางกำลังจะถูกจับพอดิบพอดีเช่นนั้นได้อย่างไร
เหตุใดจึงออกล่าสัตว์แต่เช้ามืด หนำซ้ำยังสังหารจักรพรรดิปีศาจจันทราเงินได้อีก
ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็อยู่ในการควบคุมของคุณชายหลี่นั่นเอง!
แววตาของนางพลันซับซ้อนขึ้นมา คุณชายหลี่ตั้งใจช่วยชีวิตน้องสาวของตน ทั้งยังช่วยเราสองพี่น้องล้างแค้น เขาดีต่อพวกเราเหลือเกิน
จิ้งจอกน้อยได้รับการปลอบประโลม จึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด เอ่ยว่า “จักรพรรดิปีศาจจันทราเงินน่ากลัวยิ่งนัก ไม่รู้ว่าตายไปหรือยัง”
สีหน้าของต๋าจี่แปลกพิกล พลางชี้ไปยังต้นไม้ด้านข้าง “เจ้าดูสิว่านั่นคือสิ่งใด”
หืม?
จิ้งจอกหกหางตะลึงงัน หันหน้าไปเพ่งพินิจ
มันตกใจกลัวจนขนลุกชัน อุ้งมือทั้งสี่เกาะต๋าจี่ เอ่ยอย่างหวาดผวา “จักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน ท่านพี่หนีเร็ว!”
ต๋าจี่เอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าลองมองให้ดีว่าเป็นสิ่งใด”
จิ้งจอกน้อยถึงยื่นหน้าออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฉับพลันก็ต้องอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง
“เป็น…เป็นขนนกอินทรี” ใบหน้าของมันประทับความเหลือเชื่อ พูดอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง “ท่านพี่ นี่..นี่มันขนอินทรีของจักรพรรดิปีศาจจันทราเงิน?”
“ถูกต้อง” ต๋าจี่พยักหน้า “มันตายแล้ว จะตายอีกไม่ได้ ไม่ใช่แค่ถูกถอนขนไปแล้ว แต่ร่างยังถูกคุณชายหลี่ชำระล้างจนสะอาด พรุ่งนี้จะทำเป็นสำรับขึ้นโต๊ะ”
…………………………………………