ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 67 หมื่นปีไร้พ่าย
น้ำชาไหลรินเข้าปาก ระคนความขมเฝื่อน พาลให้ผู้เฒ่าชุดดำชะงักงันไป
เขาสัมผัสได้ว่าน้ำชาแผ่ซ่านไปทั่วทันทีที่ไหลเข้าปาก ตนยังไม่เชื่อเลยว่าเพิ่งดื่มน้ำชาเข้าไปเพียงคำเดียว
“ชานี้…”
เขามองประเมินชาตรงหน้าถ้วยนี้อีกครา แล้วก็พบเรื่องประหลาดในนั้นทันที
ใบชาเหล่านี้ขนาดเท่ากันทุกกระเบียดนิ้วยามลอยอยู่ในน้ำ อีกทั้งยังค่อยๆ ละลายอย่างช้าๆ!
การละลายเช่นนี้มิใช่ละลายไปกับน้ำ หากแต่เป็นการละลายกลายเป็นสิ่งพิเศษบางอย่าง คล้ายกับว่าจะเป็น…ทำนองมรรคา?
ไม่ผิดแน่ เป็นทำนองมรรคาจริงๆ!
ชานี้ชงออกมาเป็นทำนองมรรคา!
เฮือก
ผู้เฒ่าชุดดำสองตาเบิกกว้าง ทั้งร่างสั่นสะท้าน สมองชาวาบในทันใด
หวึ่ง!
และในตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าสมองของตนคำรามร้อง ประหนึ่งมีเสียงระฆังดังกังวานขึ้นข้างหู!
กลองพลบเพล้ระฆังเบิกอรุณ ตื่นรู้แจ่มแจ้ง!
สมองของเขาพลันโปร่งโล่งในชั่วขณะ อายตนะ[1]ทั้งปวงล้ำเลิศขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ขั้นเฟินเสิน!
สิ่งที่แบ่งแยกก็คืออายตนะ!
ปุๆๆ!
คอขวดเหล่านั้นเปรียบประหนึ่งแผ่นกระดาษชั้นเดียว ทะลุทะลวงสะเปะสะปะยามอยู่ต่อหน้าเขา
ผู้เฒ่าชุดดำสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของตนได้อย่างชัดเจน ประดุจกินสารกระตุ้นประสาท พลังทบทวีขึ้นไม่หยุดหย่อน ทลายทุกสิ่งอย่างประหนึ่งบุกฝ่าลำไผ่ แม้แต่ตนเองก็ตกใจเช่นกัน
การตื่นรู้ของข้าสูงส่งเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน หรือว่าข้าจะ….มีความสามารถเลิศล้ำผิดมนุษย์มนาจนตรัสรู้แล้ว?
ด้านนอกหอเซียนหลิงอวิ๋น ทุกคนล้วนเฝ้ารออย่างกระวนกระวาย เกิดอะไรขึ้นกับท่านประมุขกันแน่
หลินชิงอวิ๋นกัดริมฝีปาก สาวเท้าออกไปด้านนอกอย่างไม่เป็นสุข ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
นางไม่รู้ว่าตนเองคิดอะไร ในสมองปั่นปวนไปหมด
เสียใจไหม
คงจะไม่!
นางเชื่อมั่นว่าคุณชายหลี่เป็นปรมาจารย์ สิ่งที่นางเลือกสรรย่อมไม่ผิดพลาด
นางเพียงละอายใจต่อบิดา อีกทั้งยัง…คาดหวังในใบชาที่คุณชายหลี่มอบให้
ของที่คุณชายหลี่มอบให้ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
นางมองไปยังผู้อาวุโสทั้งสามของหอเซียนหลิงอวิ๋นอย่างอดไม่ได้ เอ่ยถามอย่างประดักประเดิด “ผู้อาวุโสทั้งสาม ท่านพ่อข้าจะทะลวงขั้นสำเร็จหรือไม่”
ผู้อาวุโสทั้งสามมองหน้ากัน รอยยิ้มขมขื่นฉายวาบในแววตาของอีกฝ่าย
ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจแผ่วเบา ส่ายหน้าพลางเอ่ย “หากปราศจากโอสถวิเศษ เกรงว่าจะมีโอกาสน้อยนัก!”
เขาไม่กล้าเอ่ยบริภาษ ทว่าในน้ำเสียงก็แฝงการกล่าวโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้
เฮ้อ บุตรสาวของท่านประมุขไยจึงทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนี้ได้
เดิมทีเส้นทางการบำเพ็ญเซียนก็ขัดลิขิตสวรรค์อยู่แล้ว หากทะลวงด่านครานี้ล้มเหลว เกรงว่าชีวิตนี้คงจะติดแหง็กอยู่เพียงเท่านี้แล้ว!
หลินชิงอวิ๋นใบหน้าซีดเผือด กำใบชาในมือแน่นราวกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้าย พึมพำว่า “ไม่แน่ชานี้อาจใช้ได้ผล”
ผู้อาวุโสทั้งสามส่ายหน้าพลางทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ น่าขันเหลือเกิน จนป่านนี้แล้ว เทพธิดายังมีความคิดเพ้อฝันไม่เข้าท่าพรรค์นี้อยู่อีก ไม่เห็นฮวงโหไม่ยอมจำนนจริงๆ!
ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ พลังปราณในตำหนักใหญ่ก็เข้มข้นขึ้น อีกทั้งยังรุนแรงขึ้นราวกับภูเขา ถึงกับเหนือกว่าก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ
เงาร่างของผู้เฒ่าชุดดำแจ่มชัดขึ้น เร่งร้อนเอ่ยว่า “ชิงอวิ๋น รีบไปชงชามาให้ข้าอีกเร็ว!”
หลินชิงอวิ๋นหัวใจเต้นโครมคราม ใบหน้าพลันแดงก่ำ เมื่อนางนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงรีบพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ!”
ไม่นาน น้ำชาถ้วยที่สองก็ถูกส่งเข้ามาในห้อง
คนอื่นๆ ล้วนแต่งุนงง ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกกำลังทำอะไร
นี่มันกลเม็ดเคล็ดวิธีใดกัน ปิดด่านจิบชาหรือ
กระนั้น คำถามของพวกเขาก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน เพราะเมื่อผ่านไปครึ่งก้านธูป พลังกลืนกินในตำหนักใหญ่ก็พลุ่ง
พล่านขึ้นมา
ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว กลืนพลังปราณโดยรอบไปจนหมดจนที่แห่งนี้กลายเป็นห้วงสูญญากาศพลังปราณ
เป็นการชั่วคราว!
จากนั้นก็เป็นผู้เฒ่าชุดดำเหาะออกมาจากตำหนักใหญ่ ใบหน้าฉายรอยยิ้มลึกล้ำเกินคาดเดา กลิ่นอายบางเบา
เหนือปุถุชนแผ่นซ่านออกมาจากร่างของเขา
“ทะลวงขั้นแล้ว ประมุขทะลวงขั้นแล้ว!” ผู้อาวุโสทั้งสามได้สติกลับมาก่อน เอ่ยขึ้นทันควันอย่างเต็มตื้น “ยินดีกับท่านประมุข!”
บรรดาลูกศิษย์ต่างเอ่ยเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้น “ยินดีกับท่านประมุข!”
ชายชราชุดดำเพียงโบกมือให้พวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นทั้งร่างก็วาบมาปรากฏเบื้องหน้าหลินชิงอวิ๋น เอ่ยถามเสียงแทบสั่นเครือ “ชิงอวิ๋น ใบชานั่นยังมีอยู่ไหม ให้ข้าดูหน่อย ให้ข้าดูหน่อยเร็ว!”
หลินชิงอวิ๋นหยิบถุงชาในมือออกมา เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ เหลืออยู่เท่านี้แล้วเจ้าค่ะ”
“น้อยเกินไป น้อยเกินไป!” สายตาของผู้เฒ่าชุดดำจับจ้องถุงใบชาเขม็ง ราวกับเห็นของเลอค่าหายาก “ของล้ำค่า
เช่นนี้ ต่อให้มีเพียงน้อยนิดก็ยังมีค่าหาใดเปรียบ เจ้ามีมากมายเช่นนี้ ย่อมมากพอให้หอเซียนหลิงอวิ๋นของข้าไร้พ่ายไปนับหมื่นปี!”
ผู้อาวุโสทั้งสามใจเต้นระส่ำ ใบหน้าฉงนสนเท่ห์ ตกตะลึงกับคำคุยโวของประมุข
คำพูดนี้มันจะเกินจริงไปแล้ว!
หมื่นปีไร้พ่ายนี่มันมโนคติประเภทไหนกัน
ต่อให้ประมุขจะสำเร็จขั้นเฟินเสินแล้ว ก็ธำรงชีวิตอยู่ได้เพียงพันปี หมื่นปี หรือจะบอกว่า…ใบชานี้เทียบเท่ากับ
การบำเพ็ญเพียรขั้นเฟินเสินถึงสามครั้ง?
นี่มันจะน่าตกใจเกินไปแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่พิศดูใบชาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านประมุข ตกลงว่าใบชานี้คือ…”
ผู้เฒ่าชุดดำสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติรวมสมาธิ “ในใบชานี้…มีทำนองมรรคาเจือปน! ลิ้มลองแล้วกระจ่างในมรรคา!”
“เฮือก”
ผู้อาวุโสทั้งสามสูดหายใจเฮือก แทบลมจับล้มพับลงไป สายตาที่มองถุงใบชาก็กระตือรือร้นขึ้นมา
ทำนองมรรคาหมายถึงสิ่งใดน่ะหรือ ผู้ที่บำเพ็ญเซียนล้วนเข้าใจดี ก็หมายถึงระดับของคนคนหนึ่งอย่างไรเล่า!
“ประมุข นี่…นี่มันจริงหรือ” เสียงของผู้อาวุโสรองสั่นเครือ
ทว่าเพิ่งเอ่ยถามได้ไม่ทันไร เขาก็แทบอยากตบบ้องหูตนเอง
เรื่องนี้ยังจะต้องถามอีกหรือ ประมุขไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแล้วหรืออย่างไร
ลมหายใจของผู้อาวุโสใหญ่หนักหน่วงขึ้นมา กล่าวเสียงแหบพร่า “สมบัติล้ำค่า สมบัติล้ำค่าหาใครเปรียบ!”
“ข้ากำลังฝันอยู่หรือ บนโลกนี้ถึงกับมีของล้ำค่าระดับนี้ด้วยหรือนี่” ผู้อาวุโสทั้งสามไม่อยากเชื่อ รู้สึกประหนึ่งอยู่
ในดินแดนแห่งความฝัน
ผู้เฒ่าชุดดำมองหลินชิงอวิ๋นอย่างกระวนกระวาย น้ำเสียงสั่นเทา “ลูกข้า ใบชาของเจ้าได้มาจากปรมาจารย์หรือ”
“อื้ม” หลินชิงอวิ๋นพยักหน้า
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!”
ผู้เฒ่าชุดดำสัมผัสได้เพียงว่าเลือดลมในร่างกายโคจรเร่งเร็ว ปะทะห้วงสำนึก หัวใจสูบฉีด ประหนึ่งกำลังจะหลุด
ออกจากอก
“ปรมาจารย์ ปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทาน!” ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่งยวด “ลูกข้า เจ้าคงไม่ได้ล่วงเกินเขากระมัง”
หลินชิงอวิ๋นกลอกตาอย่างห้ามไม่อยู่ “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าอย่างข้าจะล่วงเกินปรมาจารย์หรือ”
“ก็จริง ถ้าหากเจ้าล่วงเกินปรมาจารย์ เป็นไปได้มากว่าป่านนี้หอเซียนหลิงอวิ๋นคงไม่เหลือแล้ว” ผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจยาว จากนั้นจึงเอ่ยว่า “โอกาส นี่เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่! สมแล้วที่เป็นลูกข้า ถึงกับมีวาสนาเช่นนี้ รีบเล่าให้ข้าฟังเร็ว”
หลินชิงอวิ๋นเพิ่งเอ่ยปากพูด ผู้เฒ่าชุดดำก็กลับรีบยกมือขึ้นตัดบท
สายตาของเขาเบนไปยังผู้อาวุโสทั้งสาม เอ่ยว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก มีคนรู้น้อยย่อมดีกว่า! หลินมู่เฟิงขอเชิญผู้อาวุโสทั้งสามกลับไปก่อน!“
เดิมทีผู้อาวุโสทั้งสามหูผึ่งเตรียมสดับรับฟังแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็แค่นหัวเราะอย่างประดักประเดิด
พวกเขาย่อมรู้หนักเบา ไม่ได้อิดออดแต่อย่างใด
“ควรเป็นเช่นนั้น อันที่จริงข้าก็กำลังจะไป”
“คือว่า พวกเราดูเหมือนพวกชอบแอบฟังอย่างนั้นหรือ”
“ไปเถอะๆ ออกไปเดินเล่นก่อน”
…………………………………………………
[1] อายตนะ คือ เครื่องรู้และสิ่งที่รู้ เช่น ตาเป็นเครื่องรู้ รูปเป็นสิ่งที่รู้ ในพระพุทธศาสนาหมายถึง จักษุ โสต ฆาน ชิวหา กาย ใจ เรียกว่า อายตนะภายใน เป็นเครื่องติดต่อกับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์