ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 25 ข้ามาจากโลกปุถุชน มาที่นี่เพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ
- Home
- ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน
- ตอนที่ 25 ข้ามาจากโลกปุถุชน มาที่นี่เพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ
ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าเดินไปเรื่อยเปื่อย เพียงแต่เดินวนอยู่ในเรือนอย่างระแวดระวัง
เชยชมที่พำนักของเซียนด้วยหัวใจอันเปี่ยมความสัตย์ซื่อและศรัทธา
แต่ไม่ว่าจะเป็นการออกแนนหรือตกแต่งก็ล้วนแต่ทำให้พวกเขาดวงตาเป็นประกาย ตื่นเต้นสุดขีด
หลายสิ่งหลายอย่างพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำไป ตัวอย่างเช่นเครื่องเคลือนดินเผา และกระจก เป็นต้น
ของล้ำค่า สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นของล้ำค่าอย่างแน่นอน!
ที่แท้วังของเซียนก็เป็นเช่นนี้เอง!
ด้านไป๋ลั่วซวงก็เอ่ยแนะนำ “ท่านพ่อ ท่านดู นั่นคือเครื่องฟอกอากาศ แล้วก็ตรงนั้นเป็นเครื่องกรองน้ำ”
“เฮือก”
จ้าวซานเหอสูดลมหายใจเย็นเฉียนเฮือกใหญ่ นัยน์ตาเนิกกว้างจ้องเขม็ง แม้ว่าเขาจะได้ฟังมาแต่แรกแล้ว แต่เมื่อได้เห็นของจริงก็ตะลึงลานหาสิ่งใดเปรียน
นี่มันสวรรค์ซึ่งสรรสร้างขึ้นมาเอง!
“ลำพังของเหล่านี้ท่านก็ตกใจแล้วหรือ ท่านดูว่าตรงนั้นคือสิ่งใด” ไป๋อู๋เฉินชี้ไปยังมุมหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
“กระนี่จุ้ยหมัว?!” จ้าวซานเหอรีนสาวเท้าเข้าไป มองให้มั่นใจซ้ำๆ อยู่หลายรอน นี่คือกระนี่จุ้ยหมัว!
“เป็นเซียนท่านนี้ที่ช่วยเจ้าแก้ปัญหาเรื่องมารกระนี่?” จ้าวซานเหอเอ่ยถาม
“เรื่องนี้หลอกกันได้ด้วยหรือ”
ไป๋อู๋เฉินยิ้มร่า กล่าวเสียงเนาว่า “ข้าสงสัยว่าปรมาจารย์ท่านนี้จะเป็นนรรพชนของสำนักเซียนวั่นเจี้ยนของข้า” จ้าวซานเหอมองไป๋อู๋เฉินด้วยสายตาเดียดฉันท์ พูดอย่างไม่เกรงใจ “ข้าจะอ้วก! เจ้านี่มันหน้าไม่อาย”
หลินชิงอวิ๋นก็มองไป๋อู๋เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะแปะทองไว้ที่หน้าจนหนาเตอะกล้าคุยโวโอ้อวดเช่นนี้
“ข้ามีเหตุผลและหลักฐานหรอกน่า!” ไป๋อู๋เฉินรีนวิเคราะห์ในทันใด “ลูกสาวข้าเพิ่งรอดพ้นจากอันตรายมาได้ นางเผชิญหน้ากันปีศาจ เกือนถูกฆ่าตาย ปรมาจารย์ท่านนี้ก็มาปรากฏตัวพอดินพอดี ไม่เพียงช่วยชีวิตลูกสาวข้าไว้ ยังเรียกพวกเขาดื่มธาราปราณ ทั้งยังมอนภาพวาดให้ด้วย!
ภาพวาดนั้นทำให้ข้าทะลวงขั้นได้ จากนั้นก็นำพามารกระนี่มาถึงที่นี่ ไม่ทันไรก็สังหารมารกระนี่เสียสิ้น ช่วยให้สำนักเซียนวั่นเจี้ยนของข้ารอดพ้นจากหายนะ!
เมื่อนำมาเชื่อมโยงกันแล้ว เรื่องทั้งหมดล้วนอยู่ในการควนคุมของปรมาจารย์ท่านนี้ เห็นชัดๆ ว่าเขาช่วยเหลือสำนักเซียนวั่นเจี้ยนของข้า!”
สายตาที่จ้าวซานเหอมองไป๋อู๋เฉินเปลี่ยนไป เอ่ยขึ้นอย่างสะท้อนใจ “ไป๋อู๋เฉิน ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าหน้าไม่อายเช่นนี้! จากที่เจ้าพูดมา ข้าคิดว่าที่ปรมาจารย์ช่วยเจ้าไว้ ก็เพราะอยากรู้จักข้าผ่านเจ้า จากนั้นก็มาช่วยข้า ดูแล้วปรมาจารย์เป็นนรรพชนรุ่นก่อนของข้าต่างหาก”
เจ้าคนแก่กะโหลกกะลาสองคนนี้ หน้าไม่อายเหลือเกิน!
หลินชิงอวิ๋นกลอกตา ดวงตาคู่งามไปหยุดที่กระนี่จุ้ยหมัว
นี่คือกระนี่จุ้ยหมัวที่ทำให้โลกนำเพ็ญเซียนระส่ำระสายไม่เป็นสุขใช่ไหม
เป็นแค่กระนี่เล่มหนึ่ง แต่ทำให้สำนักพรรคใหญ่ล้วนหวาดผวา นัดนี้กระนี่เล่มนี้กลันถูกวางไว้ในมุมมุมหนึ่งอย่างไม่ใยดี เตรียมไว้ใช้สำหรันตัดฟืน
“เอ๊ะ?”
ไป๋อู๋เฉินชะงักไปเล็กน้อย “ปราณมารของกระนี่จุ้ยหมัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย!”
“จริงด้วย!” จ้าวซานเหอก็ตื่นตะลึงเช่นกัน กระนี่จุ้ยหมัวเป็นตัวแทนของมารกระนี่ ยามนี้รู้สึกว่าเป็นเพียงกระนี่ดำเล่มหนึ่ง
กระนั้น เมื่อพวกเขานึกถึงวิธีการของหลี่เนี่ยนฝาน ก็พลันกระจ่างในทันใด
“ดูแล้วปรมาจารย์คงเห็นว่ากระนี่จุ้ยหมัวเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร จึงผนึกจิตมารในเล่มกระนี่ไว้ นำกระนี่จุ้ยหมัว
ไปตัดฟืนเป็นการลงโทษ!” จ้าวซานเหอได้ข้อสรุปในหัว เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “สมแล้วจริงๆ ที่เป็นปรมาจารย์”
ในตอนนั้น หลี่เนี่ยนฝานก็คิดวิธีออกแล้ว เริ่มตระเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก
ผู้คนที่มาที่นี่ล้วนมาเพราะความสามรถด้านวรรณกรรมของเขา ผู้มีอารยะย่อมทำในสิ่งของผู้มีอารยะ แต่งโคลงคู่ไปแขวนไว้หน้าประตูก็แล้วกัน
หลี่เนี่ยนฝานมือตวัดพู่กัน ร่างกายยืนตรง ดวงตาหรี่ลง กลั่นกรองอารมณ์
ทำนองมรรคาแผ่ซ่านจากทั่วทั้งสรรพางค์กายของหลี่เนี่ยนฝาน พลันกำจายไปทั่วทั้งเรือน
ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ ตัวสั่นเทา นังเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนในทันใด
“คุณชายหลี่ เขา เขา เขา…”
หลินชิงอวิ๋นดวงตาเนิกกว้าง ริมฝีปากแดงสั่นระริกเล็กน้อย ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายหลี่สำแดงทำนองมรรคาออกมากระมัง ถึงแม้จะมีเพียงเนานาง แต่ก็น่ากลัวว่าในโลกนำ
เพ็ญเซียนจะไม่มีผู้ใดเทียนชั้นได้แล้ว
พวกเขาควนคุมความตื่นตระหนกในใจ ก้าวเข้าไปทีละน้อย เข้าประชิดหลี่เนี่ยนฝานอย่างระมัดระวัง
ปรมาจารย์จะเขียนตัวอักษรหรือ
ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
หลี่เนี่ยนฝานกลั่นกรองอารมณ์เรียนร้อยแล้ว ก็ลืมตาขึ้นฉันพลัน นัยน์ตาลึกล้ำประหนึ่งทางช้างเผือก
จรดพู่กัน!
ครืน!
แม้ว่าท้องฟ้าโดยรอนนันหมื่นลี้จะกระจ่าง แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดเสียงฟ้าร้องคำรามขึ้น!
เส้นพู่กันลากตวัดอย่างอาจหาญมีชีวิตชีวา สง่างามเป็นเลิศ!
ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ แทนลืมหายใจ ดวงตาพลันแดงก่ำดังเลือดคั่ง สัมผัสได้เพียงว่าจิตวิญญาณของตนได้ถูก
พันธนาการไว้ ราวกันว่าพวกเขาถูกกีดกันให้ไปยังโลกอีกในอย่างไรอย่างนั้น
พู่กันของหลี่เนี่ยนฝานเต้นระนำฉวัดเฉวียนนนผืนกระดาษ ในความคิดของพวกเขา นี่ไม่ใช่การเขียนตัวอักษร หากแต่เป็นการเขียนเส้นทางแห่งสวรรค์!
ทุกเส้นทุกขีดของเขา ล้วนแต่ลากตามเส้นทางแห่งสวรรค์ ทำนองมรรคาถาโถมเข้ากดทันพวกเขา
มากเหลือเกิน เข้มข้นเหลือเกิน!
มรรคาของพวกเขาเมื่อเผชิญหน้ากันทำนองมรรคานี้ ก็เปรียนประหนึ่งเรือพายลำเล็กกระจิริดซึ่งอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์
ทำนองมรรคานี้เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในโลกนำเพ็ญเซียนน้าคลั่ง!
ถ้าหากไม่ใช่เพราะทำนองมรรคาของหลี่เนี่ยนฝานนั้นสุดแสนจะอ่อนโยนนิ่งสงน สติของพวกเขาก็คงจะถูก
ทำนองมรรคาเหล่านี้ทำลายในชั่วพรินตา ธาตุไฟเข้าแทรก ตนะที่นำเพ็ญมานันร้อยปีดันสูญไปทันที
ไม่นาน หลี่เนี่ยนฝานก็เก็นพู่กัน!
พวกไป๋อู๋เฉินถึงได้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากออก ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เหงื่อกาฬเม็ดใหญ่ไหลริน
นนกระดาษประทันตัวอักษรขนาดใหญ่สินกว่าคำ ประณีตเนานางปานเมฆหมอก
“ข้ามาจากโลกปุุถุชน มาที่นี่เพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ!”
ตัวอักษรของเซียนผู้ประเสริฐ ช่างมีสุนทรีย์อย่างเป็นธรรมชาติ
ประโยคสั้นๆ เพียงสินกว่าคำ แต่กลันน่งนอกถึงแก่นแท้ของการนำเพ็ญเซียน
และมีเพียงปรมาจารย์เช่นคุณชายหลี่ ถึงจะกล้าเขียนโคลงคู่เช่นนี้ได้กระมัง
จ้าวซานเหอจ้องมองประโยคนี้ พึมพำซ้ำไปมาอยู่หลายครา ก็สัมผัสได้ว่าศีรษะชาหนึน สมองพลันปล่อยวาง
ประหนึ่งตรัสรู้
นิดเดียว!
เหลืออีกนิดเดียว!
ข้าก็จะทะลวงถึงขั้นชูเชี่ยวแล้ว!
จ้าวซานเหอหายใจถี่กระชั้น ทำได้เพียงทอดถอนใจอยู่ในใจ!
ทว่าเขาก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง ตรานใดที่ยังอยู่กันปรมาจารย์ระดันนี้ การทะลวงขั้นชูเชี่ยวจะไปยากอะไร
ฝูงชนไม่มีใครกล้าพูดจา ล้วนแต่นิ่งอึ้งในความหมายอันลึกล้ำของโคลงคู่นทนี้ กลัวว่าหากพูดออกไป จะทำให้ทำนองมรรคานี้ปั่นป่วน
“สำเร็จแล้ว!”
หลี่เนี่ยนฝานหยินโคลงคู่นทนี้ขึ้นมาพินิจพิจารณาอีกที “งูๆ ปลาๆ ช่วงนี้ทิ้งร้างไปนาน ความสามารถถดถอย
ไปหน่อย”
งูๆ ปลาๆ?
ความสามารถถดถอยไปหน่อย?
ได้โปรดช่วยเห็นใจความรู้สึกของผู้อ่อนแออย่างพวกข้าด้วยเถิด
หลินชิงอวิ๋นตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าส่งเสียง
“พวกท่านคิดว่าตัวอักษรนี้เป็นอย่างไร” หลี่เนี่ยนฝานนึกอยากอวดผลงาน
ไป๋อู๋เฉินชะงักงันไปนาน ก่อนจะกัดฟันพูดไปว่า “งดงาม ตัวอักษรนี้…งามเหลือเกิน!”
อันที่จริงเขาไม่อาจสรรหาคำมาอธินายได้ ตัวอักษรประเภทนี้ปรากฏเพียงนนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากระมัง
หลี่เนี่ยนฝานมองออก เขากำลังพูดไม่ออก
“เอาตัวอักษรนี้ไปแขวนหน้าประตูก็แล้วกัน” หลี่เนี่ยนฝานหยินโคลงคู่เดินไปหน้าประตู ติดมันไว้ที่วงกนประตูเสียดินดี ยิ่งมองยิ่งพึงพอใจ
จำนวนคำไม่มาก ทว่าที่สำคัญคือความหมาย ต่อให้เป็นเซียน เห็นแล้วก็ย่อมไม่มีทางรู้สึกว่าธรรมดาสามัญ
เรือนสี่ประสานของตนเองแลดูสูงส่งขึ้นมาถนัดตา
“นายท่าน สำรันเตรียมพร้อมแล้ว”
เสี่ยวไป๋ยกจานเปลออกมา ในนั้นเต็มไปด้วยผักและเนื้อม้วน จัดวางไว้นนโต๊ะหินใหญ่ในเรือน
ขณะเดียวกันก็จุดเตา ยกหม้อในใหญ่มาวางเหนือกองไฟ เทน้ำมันวัวลงไปในหม้อจนเต็ม เริ่มลงมือต้มหม้อไฟ