ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 106 สัปดาห์ที่ 39 คริสต์มาสอีฟและการเริ่มต้นใหม่
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 106 สัปดาห์ที่ 39 คริสต์มาสอีฟและการเริ่มต้นใหม่
เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของพาร์ทแรกกันแล้วนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
เมื่อเช้านี้ตอนที่ผมลืมตาตื่นแล้วหันไปดูนาฬิกา ในหัวก็เกิดความสงสัยแปลกๆ ขึ้นมาอย่างหนึ่ง
ทำไมถึงได้ตื่นเช้าขนาดนี้…
เป็นอะไรที่แปลกและแตกต่างจากปกติที่ผมควรจะตื่นสาย เอาจริงๆ ก็คือผมตั้งใจจะตื่นสายเลยแหละเพราะเมื่อคืนนอนค่อนข้างดึกเนื่องจากการเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจในวันนี้
ภารกิจเดทระดับ SSS
แม้จะเตรียมตัวมานานกว่า 2 สัปดาห์ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ยังกังวลนั่นนี่จนอยู่ไม่สุข สุดท้ายก็ต้องลุกมาทบทวนแผนการที่เพิ่งปรับเปลี่ยนกันอีกรอบ ตรวจสอบชุด เช็กเสื้อผ้า รองเท้า ไล่ยาวไปจนถึงกระเป๋าตังค์
ละเอียดครบจบแล้วจึงทำใจให้นอนได้ พร้อมกับความตั้งใจว่าวันนี้จะตื่นสายหน่อยเพื่อให้พรุ่งนี้ทั้งวันมีแรงกระปรี้กระเปร่าไม่ง่วงเหงาหาวนอนให้โอโตเมะรู้สึกรำคาญ
แล้วไอ้อาการหนังตาตกตอนนั่งกินข้าวเช้านี่มันอะไรกัน… หาวววว…
หลังการทำอาหารเช้ากินเองอย่างง่ายๆ เรียบร้อยแล้ว ผมก็ลากสังขารที่ยังไม่หายง่วงของตัวเองเข้าห้องน้ำด้วยหวังว่าอุณหภูมิของน้ำประปาในฤดูนี้จะช่วยให้ผมตื่นตัวขึ้นมาได้ แน่นอนว่าตื่นตัวสมใจ แถมได้อาการชาตามจุดที่สัมผัสน้ำมาเป็นของแถม
แต่ยังไงซะจุดประสงค์ของผมก็บรรลุเป้าหมาย หลังจากผ่านด่านนรกเยือกแข็งในห้องน้ำมาได้ ผมก็มาจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องตัวเองโดยมีสไตล์ลิสส่วนตัวเป็นช่อง YOUTOOP ช่องหนึ่งที่เมื่อคราวก่อนผมก็ใช้ช่องของเขาเป็นเรฟเฟอเรนซ์ในการแต่งตัวทำผม
เสียเวลาไปราวๆ 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ ตอนนี้ในกระจกปรากฏภาพสะท้อนของหนุ่มหล่อ… ใช่ ต้องหล่อแหละเพราะถ้าไม่หล่อก็ไม่รู้จะแต่งยังไงแล้ว
พึมพำคนเดียวยังกับคนสติไม่ดีพลางเช็กความเรียบร้อยอีกที จากนั้นก็คว้ากระเป๋าตังค์ สวมรองเท้า ก้าวเท้าขวาตามที่ช่องทำนายดวงบอกออกจากบ้านเพื่อไปทำภารกิจ
โดยภารกิจแรกเรียกน้ำย่อยก็คือ ภารกิจซื้อของขวัญ นั่นเอง
—
มันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ฉันถูกปลุกแต่เช้ามืดโดยคนที่เรียกตัวเองว่าพี่สาว เพื่อให้คนที่เป็นน้องสาวอย่างฉันฝืนพาสังขารอันอ่อนล้าขึ้นมาใช้แรงงาน
ภารกิจขนของย้ายบ้านของพี่ที่เริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ฉันขอเล่าย้อนความนิดนึง
เมื่อวานหลังจากแยกกับอาคิยามะแล้วฉันก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที ตั้งใจว่าจะจัดการกับชุดที่ซื้อมาให้เรียบร้อยพร้อมสำหรับการใส่ไปเดทในวันนี้แล้วค่อยทำอย่างอื่น แต่ปรากฏว่าแผนนั้นต้องล่มเพราะสิ่งมีชีวิตพิเศษที่เรียกตัวเองว่าพี่สาว
พี่สาวของฉันมาถึงบ้านตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้และดูเหมือนเธอจะรอฉันอยู่ก่อนแล้ว
ทันทีที่เข้าบ้าน พี่สาวฉันก็จัดการให้ฉันไปเก็บข้าวของเครื่องใช้จำเป็น แล้วในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฉันก็นั่งอยู่บนรถกับพี่โดยมีจุดหมายปลายทางเป็นรัง เอ้ยยย… อพาร์ตเมนต์ใหม่ใจกลางกรุงราคาถูกห่างจากที่ทำงานของพี่แค่ 10 นาที อืมมม… เห็นเขาว่ามางั้นนะ
ก็นั่นแหละ สรุปแล้วฉันถูกพาตัวมาทำงานตั้งแต่เย็นเมื่อวาน แล้ววันนี้ก็ถูกปลุกขึ้นมาทำงานอีกตั้งแต่เช้า
กว่าจะเก็บๆ พับๆ จัดๆ ห่อลงกล่องได้หมดก็เสียเวลาไปถึง 3 ชั่วโมง เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดของฉันกับอาคิยามะ
และด้วยระยะทางจากที่นี่ไปถึงสถานที่นัดหมายที่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าชั่วโมงครึ่ง นั่นหมายความว่าฉันมีเวลาเตรียมตัวแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง
โชคดีเล็กน้อยที่พี่สาวของฉันยังมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง แม้จะไม่ให้ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมาย แต่ก็ช่วยในเรื่องการแต่งตัวแต่งหน้าประพรมน้ำหอม รวมถึงบริการส่งด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลจนถึงที่หมาย
“รวบหัวรวบหางไปซะ พอมีหลานแล้วเดี๋ยวพ่อก็ยอมอ่อนไปเองนั่นแหละ”
“พะ… พูดอะไรเนี่ย… ใครจะไปทำอย่างนั้น”
“อ้าว? ก็แต่งเต็มมาขนาดนั้นเนี่ย ไม่ได้กะเผด็จศึกหรอกเรอะ?”
“พวกเรายังไม่ได้คบกันเลยนะพี่”
“อะไรกัน? พี่ก็นึกว่าคบกันไปแล้ว เห็นหน้าตาแบบนั้นก็นึกว่าเชี่ยวชาญจนพี่อดเป็นห่วงไม่ได้ ที่ไหนได้คนที่ต้องเป็นห่วงคือฝ่ายนั้นหรอกหรือเนี่ย?”
“โถ่ววว… พี่เนี่ย พูดอะไรก็ไม่รู้ ฉันไปแล้ว”
“จ้าๆๆ ไปดีมาดีน้าาาา~”
ถึงจะรำคาญนิดๆ แต่ฉันก็ขอบคุณพี่สาวดีๆ ก่อนจะลงจากรถ
ตรงหน้าฉันคือถนนที่นำไปสู่สถานที่ที่ผู้คนทุกเพศทุกวัยสามารถมาเที่ยวกันได้ โดยเฉพาะเด็กๆ ทั้งเด็กใหญ่เด็กเล็ก
สวนสนุกขนาดใหญ่ แลนด์มาร์กที่คนมาเที่ยวเมือง I ควรจะมาสักครั้ง
“ฮิๆ เป็นผู้ชายที่ใส่ใจผู้หญิงเกินคาดเสมอเลยหมอนี่”
กำลังอารมณ์ดีเพราะครั้งนี้อาคิยามะเลือกสถานที่เดทโดยอิงตามสิ่งที่ฉันเคยเล่าให้เขาฟัง
ครั้งหนึ่งเราเคยคุยกันเรื่องสมัยเด็ก แล้วฉันก็เล่าให้เขาฟังว่าตัวฉันนั้นเคยไปสวนสนุกแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมาก เห็นอะไรก็วู้ว้าวไปหมด อยากจะลองเล่นมันทุกเครื่องเล่นเลย
แต่เพราะส่วนสูงยังไม่ได้ตามเกณฑ์เนื่องจากยังเด็กอยู่ ทำให้ฉันเล่นได้แค่ม้าหมุนแถมยังต้องมีแม่กับพี่สาวคอยประกบอีกต่างหาก
– “เสียดายมากเลย โดยเฉพาะรถไฟเหาะตีลังกานั่นน่ะ อยากเล่นมว๊ากกก…” –
อาคิยามะหัวเราะแล้วก็ว่ามันเหมาะกับฉัน เพราะฉันเป็นผู้หญิงแข็งแกร่ง
รู้แหละว่าแอบจิกกันเบาๆ ฉันเลยไม่คิดจะเถียงกลับอะไรมากมาย จนมาถึงเมื่อวันศุกร์ที่เขาบอกว่าสถานที่ที่เราจะไปคือสวนสนุก ตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าเขาใส่ใจฉันมากขนาดไหน
ก็ไม่ได้ไปถามเขาตรงๆ หรอกนะว่ามันเป็นอย่างที่ฉันคิดมั้ย ใครจะไปกล้าถาม เกิดหมอนั่นสวนกลับมาตรงๆ ว่าใช่ ฉันคงได้เขินตัวบิดต่อหน้าเขาแน่ๆ
ยืนคิดอะไรเพ้อเจ้าไปพลางๆ ระหว่างรอให้สัญญาณไฟข้ามถนนเป็นสีเขียว สายตาก็เหลือบไปเห็นตู้กดน้ำพอดี
ท้องที่เช้านี้มีแค่นมกับแซนด์วิชขนมปังสองชิ้นตกลงไปถึงก็เริ่มจะทำงานอีกครั้ง ยิ่งบวกกับลมหนาวที่พัดมาด้วยแล้ว บรึยยย…
[‘หาอะไรอุ่นๆ ดื่มหน่อยดีกว่า ยังเหลือเวลาอีกพักนึงกว่าจะถึงเวลานัด’]
ฉันข้ามถนนแล้วเลี้ยวไปทางตรงกันข้ามกับสวนสนุกโดยมีเป้าหมายเป็นตู้กดน้ำ
พอเข้าไปใกล้ เสียงลำโพงที่ไม่รู้ซ่อนอยู่ตรงไหนก็ดังขึ้น ประโยคต้อนรับที่น่าจะถูกบันทึกไว้ให้เล่นอัตโนมัติเวลาคนเข้ามาใกล้ดังขึ้นมาแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ชายหรือผู้หญิง
ยืนเล็งอยู่พักใหญ่ๆ ชั่งใจว่าจะเอาชานมหรือชาธรรมดาดี รู้ตัวอีกทีก็กดมันสองอย่างพร้อมกันไปแล้ว
[‘วัดดวงเอาแล้วกัน หึๆ’]
ตอนที่ก้มไปหยิบน้ำที่ได้จากการเสี่ยงดวงขึ้นมาก็พบว่ามันเป็นชาธรรมดา
“อ่าาา… รู้งี้น่าจะกดชาชมเร็วขึ้นอีกหน่อย”
“อ๊ะ? คุณโอโตเมะ?”
“หืม? เอ๊ะ!?”
—
ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือลำบากอะไรเลยในการที่ผมจะเดินทางไปซื้อของขวัญให้กับโอโตเมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวผมผู้นี้ทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว
สิ่งที่ต้องทำในภารกิจเรียกน้ำย่อยนี้คือการตามหาของขวัญ ไอเทมที่มีชื่อเรียกว่าถุงมือ
เป็นถุงมือกันหนาว
เพราะผมไม่เคยเห็นโอโตเมะสวมถุงมือเวลาออกมาข้างนอกเลยสักครั้ง พอบอกให้ใส่มาก็เอาแต่บ่นว่ามันเก่าแล้วบ้าง ใส่ไม่สบายบ้าง บ่นทั้งๆ ที่มือตัวเองเย็นจนซีด เห็นแล้วมันทั้งน่าสงสารทั้งน่ามันเขี้ยว
ดังนั้นแล้วผมเลยจะมัดมือชก เธอไม่ยอมใส่ใช่มั้ย? ได้… เดี๋ยวฉันใส่ให้เอง
แต่ว่านะ เจ้าไอเทมไม่ลับสำหรับหน้าหนาวที่ผมตามหานี้มันก็มีหลากแบบหลายสไตล์มากมายออฟชั่นให้เลือกเยอะแยะไปหมด
ตอนแรกที่ลองกดเข้าไปดูข้อมูลนั้นทำเอาผมถึงกับอึ้งไปเลยว่าโลกแฟชั่นของผู้หญิงช่างลึกล้ำสุดหยั่ง แค่จะหาถุงมือกันหนาวดีๆ สักอันมันยังมีให้เลือกจนตาลาย
หลังจากใช้เวลาดูและศึกษาข้อมูลจากบรรดากูรูผู้รู้แจ้งในศาสตร์แฟชั่นหลายๆ ท่านแล้วผมก็ได้ข้อสรุปหนึ่งออกมา
‘เลือกให้เหมาะกับผู้ใช้งาน’
อยากจะบ้า เรื่องแบบนี้ใครๆ เขาก็รู้มั้ยวะเฮ้ย…
แต่ก็นั่นแหละครับ โวยวายไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา อีกอย่างความรู้ที่ได้รับมาก็ใช่ว่าจะเสียของ พอได้ลองเอาข้อมูลหลายๆ มารวมๆ กันแล้วก็ได้ออกมาเป็นถุงมือที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับโอโตเมะ
ถุงมือแฟชั่นด้านในบุขนหนาให้ความรู้สึกกระชับ อุ่น และนุ่มนวล ด้านนอกงานผ้าแคชเมียร์ นิ้วมือสามารถสัมผัสทัชสกรีนกับหน้าจอโทรศัพท์ได้ ถ้ามีลายหมีเล็กน้อยก็จะพิจารณาเป็นพิเศษ
ฟังดูดีเลยใช่มั้ยล่ะครับ เป็นอะไรที่ได้จากการกลั่นกรองจากข้อมูลที่ต้องแลกกับแบตเตอรี่โทรศัพท์มากกว่า 80%
คิดว่าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วไม่น่าจะต้องใช้เวลานานนักในการเลือกซื้อ
แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ โลกแฟชั่นของผู้หญิงนั้นช่างยากแท้หยั่งถึง
ตอนที่ผมเอ่ยปากบอกความต้องการของตัวเองกับพนักงานขายสาวสวย เธอก็ตอบรับผมพร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจแบบที่สายการค้าควรจะมาดูงานกัน
เธอคนนั้นพาผมไปยังโซนที่วางขายสินค้าแฟชั่นฤดูหนาว
ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันคงเป็นโซนพวกเครื่องแต่งกายชิ้นเล็กๆ ไม่ก็เครื่องตกแต่งประดับ แต่ที่ไหนได้
[‘อะไรมันจะเยอะขนาดนั้นวะเนี่ย’]
โซนนั้นทั้งโซนคือถุงมือครับ ให้ตายเถอะ จะเยอะไปไหน
มองไปแล้วละลานตาไปหมด มีทั้งถุงมือแบบน่ารักๆ ใสๆ ไซซ์เล็กสำหรับเด็กๆ ไปจนถึงถุงมือหนังแท้หรูหราที่ราคาน่าจะพอๆ กับค่าใช้จ่ายของผมทั้งเดือน
“ที่ลูกค้าต้องการน่าจะเป็นแบบนี้นะคะ แต่มันก็มีลักษณะเด่นๆ แตกต่างกันนิดหน่อย ลูกค้าสนใจเป็นสินค้าตัวไหนดีครับ”
“เอ่อออ…”
‘ค่าประสบการณ์ของท่านไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ค่าประสบการณ์ของท่านไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ค่าประสบการณ์ของท่านไม่เพียงพอ…’
เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของระบบดังขึ้นในหัว พวกตัวเอกในมังงะต่างโลกจะรู้สึกแบบนี้มั้ยนะ
แต่ว่าผมไม่ใช่พระเอกต่างโลกที่พอกำลังเจอปัญหาก็มักจะมีสาวๆ เข้ามาให้ความช่วยเหลือ
ในชีวิตจริงแบบนี้ ในเวลาแบบนี้ ทางรอดเดียวของผมที่จะพาผมไปสู่การบรรจุภารกิจได้ก็เห็นจะต้องพึ่ง NPC สาวตรงหน้า
อาจจะเสียฟอร์มนิดหน่อย แต่ของอย่างนี้ ด้านได้อายอดละนะ
“จะขอรบกวนหน่อยได้มั้ยครับ?”
เหมือน NPC ตรงหน้าผมจะรอให้ผมเข้าไปทักเธออยู่ก่อนแล้ว เพราะทันทีที่บอกเธอไปแบบนั้น เธอก็ยิ้มกลับมาพร้อมกับตอบรับเสียงใสซะเหมือน NPC จริงๆ
“งั้นเรามาดูสินค้าที่คุณลูกค้าถามหาทีแรกก่อนนะคะ”
จากนั้นก็เป็นการตามหาไอเทมในดงไอเทม ให้อารมณ์เหมือนเกมล่าสมบัติ ติดแค่ว่าสายตากับรอยยิ้มของลูกค้าคนอื่นในร้านเหมือนจะมากขึ้นตามคำถามที่คุณพนักงานถามผม
“ซื้อเป็นของขวัญหรือใช้เองคะ? …”
“ของขวัญให้คุณแฟนหรอคะ? อืมมม… งั้นอันนี้เป็นไงคะ?”
“งั้นหรอคะ? ถ้าชอบเอามือมาลูบหน้า ฉันแนะนำเป็นตัวดีกว่าค่ะ…”
“ดีจังเลยนะคะ แบบนี้คุณแฟนต้องดีใจแน่ๆ ให้ห่อเป็นกล่องของขวัญเลยนะคะ?”
“ครับ”
กว่าจะจ่ายเงินแล้วเดินออกมาได้ก็ทำเอาผมบรรยายความรู้สึกของตัวเองไม่ออก
ตอนแรกจะว่าอายมันก็อาย แต่คิดอีกทีก็คล้ายๆ จะเขินมากกว่า ยิ่งเจอสายตาให้กำลังของคุณลูกค้าผู้หญิงท่านอื่นนี่บรรยายความรู้สึกไม่ถูกกันเลย
[‘เอาเถอะ ถือว่าคุ้มค่าละนะ’]
มองถุงของขวัญที่ห่อมาอย่างสวยงามในมือแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย อีกแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น มันจะได้เจอกับเจ้าของคนใหม่ที่ผมอยากให้ใส่มันทุกวันแล้ว
—
“โอ้ววว… คุณโอโตเมะจริงๆ ด้วย สวยขึ้นจนฉันคิดว่าตัวเองจำคนผิดเลย”
ผู้พูดคือเด็กหญิง ม.ปลาย ผู้เป็นรุ่นพี่ของฉันปีนึง รุ่นพี่มาโดกะ
เป็นคนสดใสร่าเริงอยู่ด้วยแล้วให้พลังงานบวกกับชีวิตสุดๆ ตัวเล็กๆ หน้าตายังกับเด็ก ม.ต้น ว่ากันในแง่หนึ่งแล้วเธอมีชื่อเสียงในโรงเรียนพอตัว
เพราะนอกจากจะเป็นเพื่อนสนิทกับประธานนักเรียนแล้ว เธอยังเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เป็นพวกที่น่าจะมีเพื่อนได้เกิน 100 คนจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้คนจำเธอได้ดีกลับเป็นรูปร่างหน้าตาของเธอซะอย่างนั้น
กล่าวคือตัวเล็กแบบเด็ก ม.ต้น แต่กลับมีหน้าอกหน้าใจไซซ์มหาลัย ที่พอลับหลังเมื่อไหร่เป็นต้องโดนพวกผู้ชายที่โรงเรียนพูดถึง
แต่อย่าให้เธอสวมแว่นเชียวถ้าไม่อยากโดนคนที่มีหน้าตาแบบเด็ก ม.ต้น ดุน่ะ เพราะเธอตอนทำงานแล้วสวมแว่นน่ะจะกลายร่างเป็นรุ่นพี่จอมเฮี้ยบไปทันที
“สวัสดีค่ะรุ่นพี่ มาเที่ยวหรอคะ?”
“ใช่ๆ นัดกับพวกเมย์ไว้น่ะ แต่เหมือนฉันจะมาเร็วไปหน่อย”
รุ่นพี่มาโดกะผู้โยกตัวไปมาขณะตอบคำถามช่างดูน่ารักเสียจนอยากหิ้วกลับบ้านด้วย
“โอโตเมะจังมาเดทกันหรอ?”
“เอ๊ะ!?”
“ดีจังเลยน้าาา… ฉันก็อยากไปเดทมั่งจัง แต่ไอ้พวกผู้ชายน่ะสนใจแค่หน้าอกฉันนั่นแหละ…”
ยืนฟังรุ่นพี่มาโดกะบ่นพวกผู้ชายหน้าม่อที่เข้ามาหาเธอเพราะรูปร่างหน้าแล้วก็ได้แต่สงสัยว่ารุ่นพี่รู้ได้ยังไงว่าฉันจะมาเดท
“ว่าแต่จะไปเดทกันที่สวนสนุกหรอ?”
“ก็… ค่ะ เอ่อออ… รุ่นพี่รู้ได้ยังไงคะ?”
“อ้าว ก็แถวนี้มีแค่สวนสนุกนิที่น่าจะเป็นที่เดทดีๆ ได้น่ะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันหมายถึงรุ่นพี่รู้ได้ไงคะว่าฉันกำลังจะไปเดท?”
“เอ๋…? ก็เห็นๆ กันอยู่นิ หรือว่าไม่ใช่?”
“ก็ใช่แหละค่ะ แค่สงสัยว่าแค่เห็นฉันแบบนี้แล้วรุ่นพี่ก็รู้เลยหรอ อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ แบบว่า… ฉันแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยหรอ?”
“อืมม… ฉันว่าก็ค่อนข้างชัดนะว่าพวกเธอจะไปเที่ยวกันน่ะ”
“เอ๊ะ!? พวกฉัน?”
“ก็ใช่น่ะซิ มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าพวกเธอสองคนมาเดทกันน่ะ แต่ว่าน้า~ ตอนอยู่โรงเรียนปฏิเสธเสียงแข็งกันขนาดนั้น แต่จริงๆ แล้วแอบคบกันอยู่ใช่ล่ะ~ อื้มๆๆ ฉันเข้าใจนะ คบกับคนดังเนี่ยมันก็ลำบากเนาะ…”
ฉันยืนมองรุ่นพี่มาโดกะพูดไปเรื่อย แต่ไม่ได้เข้าใจเนื้อหาที่เธอพูดอยู่เลย
[‘ปฏิเสธอะไร? ใครแอบคบกันอยู่? ฉันหรอ? แต่ฉันยังไม่ได้คบกับอาคิยามะนะ แล้วถึงคบแล้วก็คงปิดแค่พ่อกับแม่ คนอื่นก็ไม่คิดจะปิดนิ’]
เพราะไม่เข้าใจเลยไม่ทันได้โต้ตอบอะไรกลับไป แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็หันไปมองด้านข้างฉัน พร้อมกับคำถามที่ฉันยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีก
“ว่าแต่เธอน่ะ มาก็นานแล้วนะ จะไม่พูดอะไรมั่งนอกจากยืนยิ้มอย่างเดียวหรือไง”
[‘คุยกับใครน่ะ?’]
ฉันหันไปมองตามทิศทางที่รุ่นพี่มองไป แต่ตรงนั้นข้างๆ ฉันไม่มีอะไรอยู่
ฉันหันไปมองข้างหลังตามสัญชาตญาณเพราะข้างๆ ไม่มีอะไร แล้วก็ได้เจอกับเป้าหมายสายตาที่รุ่นพี่มาโดกะกำลังมองอยู่
คำถามเมื่อครู่ก็คงจะถามเขาเช่นกัน
—
ของขวัญก็ได้แล้ว การเตรียมตัวขั้นสุดท้ายก็เสร็จแล้ว อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงภารกิจหลักของวันนี้ก็จะเริ่มแล้ว
ผมดูเวลาก่อนจะลุกจากโต๊ะที่เข้ามานั่งหลบหนาวไปเข้าห้องน้ำและจัดการตัวเองให้เรียบร้อย
ห้องน้ำของที่นี่ดูดีทีเดียว ดูสะอาดไม่แพ้ห้องน้ำของร้านอาหารหรูๆ เลย ผมที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วพยายามเช็กเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองอีกราวกับว่าผมกลายเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำไปเสียแล้ว
ความกังวลใจเล็กๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะถูกปฏิเสธนั้นยังคงก่อกวนจิตใจของผมอยู่ตลอด
เพราะฉะนั้นผมจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้แผนการในวันนี้ออกมาสมบูรณ์แบบใกล้เคียงกับอุดมคติของตนเองมากที่สุด
แน่นอนว่าทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเอง
[‘นายทำได้น่า เออิชิ’]
ปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้ตัวเองแล้วก็เดินออกมา ยังไงก็ใกล้เวลาแล้วผมควรต้องไปรอโอโตเมะก่อน
ไม่แน่ว่าบางทียัยนั่นอาจจะไปรอก่อนแล้ว…
ผมเดินอารมณ์ดีกลับมาเอาเสื้อโค้ตและของขวัญที่วางไว้ ขณะเดียวกันก็สังเกตได้ว่าโต๊ะติดกันที่ตอนผมเข้ามาทีแรกยังว่างอยู่ ตอนนี้มีคนมานั่งแล้ว
เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง อายุอานามดูแล้วก็รุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่แหละ ฝ่ายหญิงหันหลังให้ผม ส่วนฝ่ายชายหันมาทางนี้
อาจจะเป็นเพราะผมเผลอมองพวกเขานานไปหน่อย ฝ่ายชายเลยหันมามองทางผมกลับบ้าง
แน่นอนว่าผมตีมึนทำเนียนหลบสายตาเขาไปก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเอง หยิบกาแฟดำที่ก่อนหน้านี้ยังดื่มไม่หมดขึ้นมากระดกทีเดียวหมดแก้ว
แหวะ… ขมปี๋
[‘ขมกว่าตอนค่อยๆ กินอีกแฮะ’]
ผมมองแก้วที่ว่างเปล่าตรงหน้า หูก็แว่วเสียงจากโต๊ะข้างๆ ดังมาให้พอได้ยิน
ไม่รู้เป็นเพราะอยู่ใกล้กันหรือว่าทางนั้นคุยกันเสียงดัง ผมถึงได้ยินทุกอย่างที่เขาพูด
[‘กลายเป็นพวกเสียมารยาทโดยไม่ตั้งใจเสียแล้วซิ’]
บทสนทนาที่ไม่ได้ตั้งใจฟังนั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่การกล่าวเกริ่นนำของฝ่ายชาย แค่ฟังไปไม่กี่ประโยคก็รู้แล้วว่าหมอนี่ตั้งใจจะสารภาพรักกับฝ่ายหญิง
คิดแบบนั้นแล้วก็ขำตัวเองที่เมื่อคืนก็ซ้อมอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน พอมาเจออะไรแบบนี้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในอนาคตเลย
ผมนั่ง (แอบ) ฟังผู้ชายคนนั้นกล่าวความรู้สึกของตัวเองพร้อมกับจิ้นจินตนาการว่าที่ตรงนั้นเป็นผมกับโอโตเมะไปเรื่อยจนกระทั่งฝ่ายชายเริ่มสรุปจบ ผมก็เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ตัวเองควรจะออกไปจากตรงนี้เสียที ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้อาจจะโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกไม่มีมารยาทเอาจริงๆ ก็ได้
ใส่เสื้อโค้ตเรียบร้อยแล้วก็คว้าถุงของขวัญติดมามือ ตอนที่เดินผ่านโต๊ะของทั้งสองก็เจอสายตาที่อ่านอารมณ์ของฝ่ายชายไม่ออก สงสัยจะไม่พอใจที่ผมนั่งฟังอยู่ได้ตั้งนานนมล่ะมั้ง
“ตั้งแต่วันนั้นผมก็คิดมาตลอด และนี่คือสิ่งที่คิดได้ คือความรู้สึกในใจของผมจริงๆ”
“…”
“ผมชอบคุณครับ”
ได้ยินแว่วๆ อย่างนั้นเพราะเดินผ่านมาแล้ว แต่ไม่ได้ยินฝ่ายหญิงพูดว่าอะไร จะว่าไปตั้งแต่ผมกลับมาที่โต๊ะผมก็ยังไม่ได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรเลย
ผมเลิกสนใจและโยนเรื่องราวของทั้งสองทิ้งไป จากนั้นจึงเดินไปหน้าเคาท์เตอร์และเรียกพนักงานที่อยู่ตรงนั้น
“ขอรบกวนนิดนึงได้ไหมครับ?”
—
รุ่นพี่มาโดกะจากไปแล้ว ที่ตรงนั้นจึงเหลือแค่ฉันกับนิโนะมิยะสองคน
ฉันไม่รู้ว่าเขามาเมื่อไหร่ หรือมาจากทางไหน เอาจริงๆ คือไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลยจนกระทั่งรุ่นพี่มาโดกะทักขึ้นมา
“คุณโอโตเมะมาเที่ยวกับเพื่อนหรอ?”
นิโนะมิยะเป็นฝ่ายทักฉันก่อน เขายืนมองฉันพร้อมกับมีรอยยิ้มเล็กน้อยประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะหลงรอยยิ้มของเขาไปแล้ว แต่หลังจากเจอกับรอยยิ้มที่ล่อลวงยิ่งกว่าของอาคิยามะเข้าไปบ่อยๆ รอยยิ้มของนิโนะมิยะน่ะกลายเป็นเด็กน้อยไปเลย
ก็อาคิยามะน่ะเป็นจอมมาร
จอมมารที่น่ากลัว ดุดัน แข็งแกร่ง แต่กลับมีเสน่ห์ชวนให้ลุ่มหลงไม่น้อยไปกว่าเหล่าทูตสวรรค์เลย
“เปล่าหรอก มาเดทน่ะ นายล่ะ?”
เหมือนนิโนะมิยะจะอึ้งไปนิดนึงแต่ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติได้ในทันที
“งั้นคุณพอจะมีเวลาสักนิดมั้ย? ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยน่ะครับ”
[‘อยากคุย?’]
กำลังคิดว่าเขาจะคุยอะไร เสียงเซริก็ดังขึ้นมาในหัวซะก่อน
– “…ถ้าหมอนั่นเปิดประเด็นที่ส่อไปในเชิงชู้สาวหรือสารภาพรักกับเธอเมื่อไหร่ก็ค่อยจัดการตัดขาดให้เรียบร้อย” –
ก็ไม่รู้หรอกนะว่านิโนะมิยะอยากจะคุยอะไรกับฉัน แต่ฉันคิดว่านี่มันเป็นโอกาสดีจะขีดเส้นคั่นย้ำเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับเขาให้ชัดเจน
ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพูดคุยกับเขาเรื่องนี้เพราะคิดมาเสมอว่าตัวเองพูดไว้ชัดเจนพอแล้ว แต่ดูเหมือนว่านิโนะมิยะจะไม่เข้าใจ ไม่เขาก็ทำเป็นไม่เข้าใจ หรือไม่ฉันก็อาจจะคิดมากไปเอง บวกกับไม่มีจังหวะให้ได้พูดกันเพราะฉันเองก็พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กับเขาในสถานการณ์สองต่อสอง
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร อาคิยามะก็เคยเข้าใจฉันผิดในเรื่องนี้ แล้ววันนี้ฉันก็ตั้งใจแล้วว่าจะสารภาพรักกับอาคิยามะ ถ้าป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ฉันก็ควรจะทำ
[‘ยังพอมีเวลาเหลือ’]
ดูนาฬิกาแล้วหักลบเวลาเดินทางอีกเล็กน้อยก็ยังมีเวลาให้ฉันอีกประมาณ 15 นาที
“เอาซิ ฉันก็มีเรื่องอยากคุยกับนายเหมือนกัน”
นิโนะมิยะพาฉันมาคุยกันที่ร้านกาแฟเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ฉันเองก็ไม่ได้ติดขัดอะไร ดีกว่ายืนตากลมหนาวอยู่ตรงนี้
“นายพูดเรื่องของนายมาก่อนเลย แต่ฉันมีเวลาแค่ 10 นาทีนะ”
นิโนะมิยะพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะเริ่มพูดเรื่องที่เขาอยากคุย
มันเป็นเรื่องเก่าก่อนตั้งแต่เมื่อเทอมที่แล้ว ในตอนที่ฉันและเขายังเพิ่งเข้ามาเป็นนักเรียน ม.ปลาย
เขาเล่าว่าเจอฉันครั้งแรกที่ไหน เฝ้ามองฉันยังไง เริ่มรู้สึกว่าฉันแตกต่างจากผู้หญิงอื่นเมื่อไหร่ ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวฉันในตอนนั้นถึงกับใจสั่นจนนึกว่าจะตายเสียให้ได้
ฉันนั่งฟังเขาเงียบๆ ไม่ได้โต้ตอบอะไร แต่ในใจก็คิดนะว่าตัวฉันในตอนนั้นช่างแปลกคน
ถ้าว่ากันอย่างเป็นกลางแล้วตัวฉันในตอนนั้นก็น่าจะมีใจเขาเหมือนกัน เพราะทั้งหล่อ เรียนเก่ง กีฬาก็เด่น ดีไปซะทุกอย่าง
แต่ฉันกลับไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะสารภาพรักกับเขาเลย ไม่เคยมีความคิดที่อยากจะคบด้วยแบบจริงๆ จังๆ ไม่มีแม้แต่ความคิดถึง ความหึงหวงไม่มี
สิ่งที่นึกออกก็มีแค่ความชื่นชม กับความรู้สึกเขินอายเวลาที่ใกล้กันเป็นครั้งคราว
แถมยิ่งนานวันเข้าความรู้สึกที่ว่ามันยิ่งลดน้อยถอยลงจนช่วงหลังๆ มานี่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองใจเต้นเพราะนิโนะมิยะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
แตกต่างจากอาคิยามะ…
แล้วการที่ต้องมานั่งฟังเขาเล่าเรื่องราวเก่าๆ แบบนี้มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกว่าตัวฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเกินเลยกับเขาไปกว่าเพื่อนกันธรรมดา
เอาจริงๆ นะ ตอนนี้เริ่มรำคาญนิดๆ แล้วด้วย
“ผมชอบคุณครับ”
[‘อ่าาาา… จบสักที’]
แทนที่ถูกสารภาพรักแล้วฉันจะใจเต้นตึกดีอกดีใจ แต่ฉันกลับรู้สึกโล่งใจแล้วแอบถอนหายใจแทน
[‘ในเมื่อเขาเปิดเผยกับฉันมาแล้ว ก็ถึงเวลาต้องทำให้มันชัดเจน’]
ฉันเงยหน้าจากแก้วน้ำเปล่าที่ยังไม่ได้แตะต้องเลยตั้งแต่เข้ามานั่งในร้าน
หลังจากใช้เวลาจัดการเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อยฉันก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะปล่อยลมหายใจยาวออกมา
“ขอบคุณนะที่มีความรู้สึกดีๆ ให้ฉันน่ะ”
ประโยคเปิดตัวก่อนการปฏิเสธที่ครูพักลักจำมาจากเซริ
“แต่นายรู้ใช่มั้ยว่าวันนี้ฉันมาเดท?”
[‘ต้องรู้แหละเพราะฉันเพิ่งบอกนายไปเมื่อกี้’]
“ดังนั้นแล้วฉันรับความรู้สึกดีๆ ที่นายมีให้ไม่ได้หรอก”
ขอโทษด้วย…
ฉันก้มหัวลงขอโทษเขาตามแบบที่เคยเรียนรู้มาจากเซริ คิดอยู่ว่าถ้าเขายังตื๊อฉันก็จะงัดไม้เด็ดที่เซริใช้จัดการพวกผู้ชายมาใช้กับเขาดู ถึงจะไม่ค่อยอยากเอามาใช้ก็เถอะ
แต่รออยู่นานนิโนะมิยะก็ไม่เห็นพูดอะไร เขาแค่ทำหน้านิ่งๆ จ้องมองฉันเฉยๆ แบบนั้น
[‘เสียเวลาไปมากแล้ว ป่านนี้อาคิยามะน่าจะไปรอแล้วแน่ๆ’]
ฉันหยิบกระเป๋าขึ้นมาเตรียมสะพายและบอกลานิโนะมิยะที่นิ่งสนิทไปแล้ว จากนั้นจึงคว้าเสื้อคลุมลุกออกจากโต๊ะที่นั่ง
—
ผมรับปากกาและกระดาษโน้ตเล็กๆ มาก่อนจะบรรจงจรดปากกาเขียนข้อความน่ารักๆ สำหรับเจ้าหมีลงไป
เขียนไปเองก็ยิ้มไปเอง เสร็จแล้วก็อ่านซ้ำทวนอีกรอบ
[‘เหะๆ ให้เองก็น่าจะเขินอยู่ไม่น้อยแฮะแบบนี้’]
หลังขอบคุณพนักงานอีกครั้งผมก็เดินออกจากร้านที่อบอุ่นไปสู่ท้องถนนกว้างที่หนาวเย็นอีกครั้ง
รู้สึกว่ามันหนาวกว่าตอนที่มาเสียอีก
บนท้องฟ้าเองก็เริ่มจะมีเมฆปกคลุมหนาขึ้น เมื่อเช้าพยากรณ์อากาศเองก็บอกว่าช่วงค่ำวันนี้อาจจะมีหิมะตก
“หึๆ ถ้าตกตอนที่กำลังสารภาพรักกันนี่จะเรียกว่าเพอร์เฟคหรือจะโดนหิมะแย่งความสนใจไปกันนะ”
ยืนยิ้มอยู่คนเดียวท่ามกลางอากาศหนาว บนถนนมีรถขับผ่านไปมากันขวักไขว่ ผมยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนพร้อมกับจินตนาการถึงเดทที่ตัวเองเฝ้ารอมาถึงสองสัปดาห์เต็ม
เริ่มจากการที่เราทั้งสองคนเจอกันที่หน้าหอนาฬิกาภายในสวนสนุกอันเป็นจุดนัดพบที่ค้นหาได้ง่ายและอยู่ไม่ไกลจากทางเข้ามานัก
จากนั้นก็จะถามโอโตเมะอีกทีว่าเธอจะกินก่อนหรือเที่ยวเล่นก่อน แต่นัดกันบ่ายแบบนี้ผมก็เอนเอียงไปทางเที่ยวเล่นก่อนนั่นแหละ
แน่นอนว่าอย่างแรกที่ต้องลองคือรถไฟเหาะตีลังกาที่โอโตเมะใฝ่ฝันมาแต่เด็กว่าอยากจะไปเล่น ส่วนตัวผมน่ะยังไงก็ได้ แต่จริงๆ ก็แทบอดใจรอดูโอโตเมะกรี๊ดลั่นแทบไม่ไหวแล้ว~~
หลังจากนั้นก็คงต้องดูสภาพของโอโตเมะอีกครั้งว่าจะทนต่อการเล่นเครื่องเล่นหนักๆ ไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวผมก็เล็งสถานที่พักผ่อนไว้อย่างฮอบบิทแลนด์ที่จำลองหมู่บ้านฮอบบิทเอาไว้ หรือโซนสามมิติ 3D ที่มีภาพวาดสามมิติให้เราถ่ายรูปเล่นได้ ปราสาทยักษ์ก็น่าไปถึงมันจะกระตุ้นจิตใจมากกว่าสองอันแรกไปสักหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าทำโอโตเมะตกใจจนกระโดดมาเกาะผมได้ก็ถือว่าคุ้ม
แล้วก็ยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งใจจะไปนั่งเรือถีบอีก บรรยากาศช่วงหน้าหนาวแบบนี้ ถ้านั่งชิดๆ กันหน่อยในพื้นที่แคบๆ อย่างเรือถีบ อืมมม… น่าจะอุ่น
ถ้าเกิดโอโตเมะหิวก็ว่าจะพาไปกินเมนูขึ้นชื่อของทางสวนสนุกที่ทุกปีจะมีแค่เฉพาะช่วงคริสต์มาสแบบนี้ แล้วก็ยังมีเครื่องดื่มอีกสองสามอย่างที่โอโตเมะน่าจะชอบ
ผมคิดไปพลางยิ้มให้ตัวเองไปด้วย สองขาก็พาร่างกายให้เดินออกไปบนทางม้าลายเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของถนน
ภาพตรงหน้ายังคงเป็นจินตนาการฉากที่เราสองคนกำลังยืนดูขบวนโชว์ของทางสวนสนุก มันจะมีทั้งนักแสดงโชว์การแสดง มีตัวมาสคอตมากมาย เหล่าตัวการ์ตูนต่างๆ จะพากันเดินขบวนออกมาโดยมีฉากหลังเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟที่งดงาม
เป็นฉากที่น่าจะติดตราตรึงใจหากได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง
สุดท้ายก็จะเป็นไคล์แมกซ์ของวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งใจทำมาทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อภารกิจนี้ภารกิจเดียว
การสารภาพรักกับผู้หญิงที่ผมชอบ… สารภาพรักกับโอโตเมะ
ผมเดินข้ามถนนมาแล้วหยุดยืนมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง
ทางหนึ่งคือทางไปยังจุดนัดหมาย ปลายทางที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจินตนาการของผมเกิดขึ้น
ส่วนอีกทางคือเส้นทางกลับบ้าน ปลายทางที่มีผมแค่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่
รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกตรงคอยจนกลืนน้ำลายลำบาก ริมฝีปากเริ่มแห้งแต่ดวงตากลับเริ่มชุ่มชื้น
“อาคิยามะ…!!!”
—
“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า”
จังหวะที่กำลังจะก้าวขาลุกจากเก้าอี้ พนักงานสาวของร้านก็รีบกุลีกุจอเข้ามาหาฉัน เธอยื่นถุงกระดาษใบหนึ่งมาให้พร้อมกับข้อความอีกเล็กน้อย
“คือว่ามีลูกค้าท่านหนึ่งฝากให้เอาของนี้มาให้คุณลูกค้าค่ะ”
“เอ๊ะ!?”
ความประหลาดใจปนหวาดระแวงแล่นวาบเข้ามาในห้วงความคิดฉัน
ตัวพนักงานเองก็คงจะเข้าใจว่าฉันรู้สึกยังไงหรือไม่ฉันก็คงจะเผลอแสดงออกทางสีหน้าให้เธอรู้
“ลูกค้าท่านนั้นบอกว่าถ้าคุณลูกค้าอ่านนี่แล้วจะเข้าใจเองค่ะ”
เธอยื่นกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกพับครึ่งมาให้ฉัน
ฉันมองดูมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับมันมาเปิดอ่าน
เนื้อความในกระดาษนั้นไม่ได้ยืดยาวอะไร เป็นถ้อยคำง่ายๆ ไม่กี่คำ ออกจะกวนประสาทกันอยู่สักหน่อย แต่ตอนที่อ่านมันใจฉันกลับสั่นไม่หยุด สั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันกำลังจะเต้นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะไม่เต้นอีก
‘ของขวัญสำหรับเจ้าหมีน้าาา~ ฉันหวังว่าเธอจะชอบและยอมใช้มัน อันที่จริงถ้าขยันออกกำลังซะหน่อยแล้วจะไม่ใช้ก็ได้นะ~~ แต่ว่าใช้เถอะ ถือว่าฉันขอ… Merry Christmas เจ้าหญิงหมี~’
ราวกับเวลาหยุดลง ใจเต้นแรงจนรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจลำบาก ลางสังหรณ์เลวร้ายเข้าครอบคลุมทุกซอกทุกมุมในจิตใจ
“ไปไหนแล้ว? … เขาไปไหนแล้วคะ?”
หูสัมผัสได้ว่าเสียงตัวเองกำลังสั่น จะสั่นด้วยอะไรไม่รู้ฉันไม่ได้สนใจ ความมุ่งหมายเดียวตอนนี้คืออยากรู้ว่าคนที่ฝากข้อความนี้มาให้เขาไปไหนแล้ว
“เขาเพิ่งจะออกไปเมื่อครู่นี้ค่ะ…”
[‘เมื่อกี้นี้ เอ๊ะ!? คนที่เดินผ่านไปนั่น?’]
คิดอยู่ว่าคนคนนั้นคล้ายอาคิยามะแต่เพราะไม่เห็นหน้าแล้วเขาก็ไม่ทักฉันเลยปล่อยผ่านไป
แต่ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วก็เข้าใจได้ ถ้าเกิดเขาได้ยินสิ่งที่นิโนะมิยะพูด อย่าว่าแต่อาคิยามะเลย ไม่ว่าใครก็คงไม่เข้ามาทักฉันตอนนั้นหรอก
“อ๊ะ!!”
โดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ฉันลุกจากที่นั่งแล้ววิ่งตามอาคิยามะออกไปทันที
ความหนาวเย็นของอากาศภายนอกปะทะหน้าทันทีที่เปิดประตูแต่มันไม่สามารถดับความร้อนใจของฉันได้
กวาดสายตามองไปยังทางเท้ารอบๆ แต่ไม่เห็นวี่แววของอาคิยามะอยู่แถวนั้นเลย
“ไปไหนแล้ว? นายหายไปไหนแล้ว?”
นอกจากคนสองสามคนที่เดินผ่านบริเวณหน้าร้านแล้วฉันก็ไม่เห็นใครอีก
ฉันมองหาอาคิยามะจนกระทั่งถูกเสียงแตรของรถบรรทุกคันหนึ่งดึงดูดความสนใจให้หันไปมอง
ที่อีกฟากหนึ่งของถนน ร่างสูงโปร่งคุ้นตาที่ฉันควรจะมั่นใจว่าเป็นเขาตั้งแต่ตอนที่เห็นในร้านกำลังยืนเหม่อมองไปทางสวนสนุก
สถานที่นัดเดทของเรา…
ฉันสาวเท้าเข้าหาถนนในจังหวะที่เขาหันหน้ากลับไปอีกทางหนึ่ง เหมือนลังเลว่าจะเลือกไปทางไหน
แต่ฉันไม่สามารถวิ่งไปหาเขาในตอนนี้ได้ บนถนนเต็มไปด้วยรถที่ขับผ่านกันไปมา ดังนั้นฉันจะต้องรอสัญญาณไฟข้ามถนน แต่ถ้ารออาคิยามะก็อาจจะหนีหายไปซะก่อน ถ้างั้นก็ต้องทำให้เขารู้ตัวว่าฉันตามมา
โดยไม่ต้องพิจารณาให้มากความ ฉันวิ่งมาหยุดอยู่ริมถนน ตะโกนเรียกอาคิยามะสุดเสียง ตะโกนชื่อเขาให้ดังเท่าที่จะดังได้
—
ตอนแรกผมเข้าใจว่าตัวเองหูแว่วไปเองจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองที่ดังกว่าครั้งแรกมาจากข้างหลัง
น้ำเสียงแปลกแปร่งไม่คุ้นหูคิดว่าน่าจะเกิดจากการตะโกนที่แรงเกินไปจนควบคุมระดับเสียงไม่ได้
แต่ผมก็รู้ว่าใครเรียกผมอยู่
ยืนคิดเล็กน้อยว่าตัวเองควรจะเอาไงต่อดี เมื่อกี้ที่อยู่ในร้านก็เห็นแล้วว่าพวกเขากำลังสารภาพรักกัน พวกเขาทำอย่างที่ผมเคยจินตนาการว่าตัวเองจะได้ทำบ้าง จินตนาการนับครั้งไม่ถ้วนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าและบอกชอบเธอคือตัวผมเอง
แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตจริงมันก็แบบนี้เอง ไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง แม้จะวางแผนรับมือทุกสถานการณ์มายังไงก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะโดนโอโตเมะโกหก
เมื่อวานเธอเลื่อนนัดผม…
เธอบอกว่ามีธุระต้องไปช่วยพี่สาวเก็บของย้ายห้อง เธอบอกว่าอาจจะไปตั้งแต่เมื่อคืน เพราะงั้นเราเลยไม่ได้คุยกันตั้งแต่เมื่อวานค่ำๆ
แล้ววันนี้มันอะไร…
เธอแต่งตัวสวย แต่งหน้า ทำผมชนิดที่ว่าหนก่อนว่าสวยแล้วแต่หนนี้สวยกว่าอีก เอาแค่ผมอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าเธอไม่มีทางเซตเองเป็นทรงแบบนั้นได้ แปลว่าต้องมีคนช่วยหรือบางทีเธออาจจะเข้าร้านทำผมก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอเอาเวลาที่ไหนไปทำ
ก็ไหนว่าไปช่วยพี่สาวที่อยู่อีกเมืองนึง…
แต่ช่างเรื่องผมมันเถอะ… ทำไมเธอที่บอกว่าตอนเช้าไม่ว่างถึงมานั่งชิลอยู่ในร้านกับหมอนั่นได้ แค่นั้นไม่พอ อีกฝ่ายยังร่ายยาวความสัมพันธ์ที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อนระหว่างเธอกับเขา ปิดท้ายจบด้วยการสารภาพรักกันเบาๆ แบบที่หนุ่มหล่อในซีรีส์ชอบทำกับนางเอก โรแมนติกสุดๆ เล่นเอาผมอิจฉาเลย
แต่ก็โกรธมากด้วย…
ไหนว่าวันนี้จะไปเที่ยวด้วยกัน แล้วไหงมานั่งให้ผู้ชายอีกคนสารภาพรักได้ หรืออันที่จริงแล้วมีแค่ผมที่คิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว ความจริงแล้วเธอไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับผมเลย ที่ผ่านมาก็แค่ว่าสนิทกันมากเกินไป
…งั้นหรอ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว ในอกมีอารมณ์หลากหลายพลุ่งพล่านอยู่ราวกับมันกำลังพยายามจะหาทางออก
“…รอฉันด้วย!!”
“รออะไรอีก?”
ผมถามเธอ แต่เธอคงไม่ได้ยินหรอก เพราะผมเองก็แทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองเหมือนกัน
ถ้าหันกลับไปตอนนี้เธอต้องเห็นสภาพที่ดูไม่ได้ของผมแน่ๆ แต่ประเด็นคือถ้าหันกลับไปแล้วผมจะทำยังไงต่อดี
“ว้ายย…!!”
เสียงร้องด้วยความตกใจที่ดูแล้วไม่น่าใช่การเสแสร้งแกล้งทำดังมาจากอีกฟากของถนน
มันทำให้ผมหันกลับไปทันทีตามสัญชาตญาณ แวบแรกที่มองเห็นคือรถบรรทุกที่กำลังวิ่งอยู่แล้วพริบตาต่อมาจึงได้เห็นด้านหลังของหญิงสาวที่เป็นต้นตอของเสียงร้อง
—
[‘เขาไม่ได้ยิน?’]
อาคิยามะที่อยู่อีกฟากของถนนยังยืนนิ่งไร้ปฏิกิริยาใดๆ ต่อเสียง เรียกของฉัน
ดังนั้นฉันจึงตะโกนเรียกเขาอีกครั้ง…
ครั้งนี้มันดังมากจนเสียงที่หลุดออกไปมันแหบพร่าราวกับว่าไม่ใช่เสียงของตัวเอง
ฉันมั่นใจว่าคราวนี้เขาต้องได้ยิน เสียงดังขนาดนี้กับระยะห่างแค่คนละฟากถนนนี่ ยังไงก็ต้องได้ยิน
แต่เขาก็ยังเงียบ…
อาคิยามะยังยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น อย่าว่าแต่จะหันตัวกลับมาเลย แม้แต่หน้าเขาก็ไม่หันกลับมามอง
[‘แย่ แบบนี้แย่แน่ๆ ต้องรีบไปอธิบายให้เขาเข้าใจ’]
ก็ไม่รู้ทำไมกะอีกแค่สัญญาณไฟแค่นี้ทำไมมันถึงได้นานนัก ฉันจ้องมองมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อพร้อมกับสาปแช่งไอ้คนที่มันทำให้สัญญาณไฟตรงนี้มันนานขนาดนี้
ขณะเดียวกันก็คอยมองอาคิยามะไปด้วย ระวังไม่ให้เขาคลาดสายตาไปไหน ฉันกลัวเหลือเกินว่าถ้าฉันไม่คอยมองไว้แล้วเขาหายไป ลางสังหรณ์ในใจบอกฉันว่าถ้าครั้งนี้เขาหายไปฉันคงจะไม่ได้เจอเขาอีก
จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
“อาคิยามะ!! รอฉันด้วย!!”
ฉันตะโกนออกไปเป็นครั้งที่สาม เรียกร้องให้เขารอกันก่อน อย่าหนีไปไหน อย่าหายไปจากฉัน
[‘ได้ผล?!’]
เหมือนอาคิยามะจะเริ่มมีปฏิกิริยาแล้ว
มองจากตรงนี้เหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่สักอย่าง ถ้าแบบนั้นก็ยังพอมีหวัง ขอแค่รอให้สัญญาณไฟเปลี่ยนไปเป็นไฟเขียว ฉันก็จะวิ่งไปหาเขาได้
ฉันดีใจมากที่เห็นแบบนั้นจนไม่ทันระวังตัว
ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกจากข้างหลังพร้อมกับเสียงอุทานตกใจจึงได้หันกลับไปมอง
“คุณโอโตเมะ ลืมของครับ! อ๊ะ…!!”
ร่างกายขยับไปเองด้วยปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ รับร่างของนิโนะมิยะที่เสียหลักเข้ามาราวกับจะพุ่งชนกัน
“ว้ายย…!!”
ร่างกายเซไปข้างหลังจนเกือบจะล้มไปทางถนน โชคดีที่เหมือนนิโนะมิยะจะตั้งตัวได้และรั้งตัวฉันเอาไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรนะคุณโอโตเมะ ผมขอโทษจริงๆ เมื่อกี้ผมสะดุดพื้นทางเท้านั่น”
เขาปล่อยตัวฉันแล้วชี้ให้ดูแผ่นปูพื้นแผ่นหนึ่งที่ไม่เรียบเสมอกับแผ่นอื่น
“ไม่เป็นไร”
“อันนี้ของคุณ ผมเห็นคุณรีบร้อนออกมาจนลืมหยิบมา ผมเลยตามเอามาให้”
นิโนะมิยะยื่นเสื้อโค้ตกันหนาวพร้อมกับถุงของขวัญมาให้ และนั่นเองที่ทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อคลุมอยู่
“ขอบคุณ”
รับของจากเขามาแล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจจะใส่มันทันที เพราะเมื่อกี้ฉันคลาดสายตาจากอาคิยามะเสียแล้ว ถึงจะแค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม
และแค่ไม่กี่วินาทีนั่น อาคิยามะก็หายไปจากตรงตำแหน่งนั้นเสียแล้ว
—
หลังจากรถบรรทุกวิ่งผ่านไป ร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนกอดกันอยู่ริมถนนอีกฟากหนึ่งก็ปรากฏขึ้นแก่สายตา
ผมมองไม่เป็นใบหน้าของเธอ รู้แค่ว่าตอนนี้ใบหน้านั้นกำลังแหงนขึ้นในมุมมองที่น่าจะพอดีกับใบหน้าของอีกฝ่าย
มือซ้ายของเธอโอบไหล่ของเขาไว้ ในขณะที่มือขวากำเสื้อตรงอกซ้ายของเขาจนเห็นเป็นรอยยับชัดเจน
ผมไม่เห็นหน้าของฝ่ายชายทั้งหมดเช่นกัน สิ่งที่โผล่พ้นศีรษะฝ่ายหญิงมามีแค่ช่วงหน้าผาก แต่ดูแล้วเขากำลังก้มหน้าลงไปมองหน้าเธอ ทั้งองศาและระยะห่าง บางทีมันอาจจะมากกว่าแค่มองเธอธรรมดา
มือขวาของเขาโอบเอวเธอไว้ ดูก็รู้ได้ว่าเป็นการโอบกระชับ มือซ้ายของเขาประคองแขนขวาของเธอ ที่แขนซ้ายพาดไว้ด้วยเสื้อโค้ตตัวยาวที่น่าจะเป็นของฝ่ายหญิง และในมือมีถุงของขวัญอยู่
ถุงที่ผมเพิ่งจะให้เจ้าหมีไป…
ราวกับแรงโน้มถ่วงทำงานผิดพลาด ไม่ก็สมองของผมกำลังเร่งความเร็วในการประมวลผลจนเกินขอบเขตของมนุษย์ทั่วไป ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าที่ผมบรรยายจึงได้ดูเหมือนภาพที่หยุดนิ่ง
ไม่ใช่เวลาหยุดอยู่กับที่ แต่มันไหลย้อนกลับไปเมื่อ 9 เดือนก่อน ในตอนที่ผมสูญเสียอะไรหลายๆ อย่าง
ผมมองเห็นภาพตัวเองที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน ม.ต้น ตรงหน้าเป็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งเธอสวยมาก สวยจนผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะได้เป็นแฟนกับเธอ
เธอยืนอยู่ตรงหน้าผม บนศีรษะมีมงกุฎดอกไม้ที่ช่วยเสริมให้เธอดูสวยขึ้นไปอีก มือทั้งสองข้างกำม้วนใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาอยู่
เธอกำลังบอกผม บอกว่าเราเลิกกันเถอะ ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นแล้วยังอมอยู่ยิ้มได้ แน่นอนว่าผมโกรธ ผมพาล ผมไม่ยอมเลิกกับเธอ
ผมให้เธอหาเหตุผลที่ดีพอที่คิดว่าจะทำให้ผมเลิกกับเธอได้มา แน่นอนว่าไม่ว่าจะเหตุผลอะไรผมก็ไม่เลิกหรอก ผมจะหาทุกเหตุผลทุกข้ออ้างมาหักล้างเหตุผลของเธอ ผมจะไม่ปล่อยเธอไป
เหมือนเธอจะเขินอายที่ผมบอกแบบนั้น แต่เธอก็ยังยอมบอกเหตุผลที่ขอเลิกกับผม เธอบอกว่าเธอชอบคนอื่นมากกว่าผม ตอนที่เธอพูด ดวงตาเธอเป็นประกาย ลักยิ้มที่แก้มปรากฏขึ้นมาลางๆ
ใจผมกระตุกวูบ เพราะเหตุผลนั้นของเธอคือสิ่งที่ผมกลัวมาตลอด อันที่จริงผมระแวงเธอ ระแวงว่าวันนึงเธอจะหนีไปเป็นของคนอื่น ระแวงว่าวันนึงความสุขของผมจะกลายเป็นของคนอื่น
แต่ใครจะไปยอม ผมกำลังจะหาทางหักล้างเหตุผลของเธอแต่หมอนั่นก็โผล่มาขัดจังหวะ
หมอนั่นเข้ามาเรียกเธอ เดินเข้ามาหาเธอ มาหยุดอยู่ข้างๆ เธอ ก่อนจะมองผมด้วยสายตาเชิงขอโทษ
#^$ (@^$ อะไรวะเนี่ย
ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีสายเรียกเข้ามาจากโรงพยาบาล ปลายสายบอกว่าแม่ไม่ไหวแล้วและญาติตัดสินใจจะถอดสายเครื่องช่วยหายใจออก
อ่าาา… วันนรกแตกอะไรวะเนี่ย
ผมวางสาย มองชายหญิงตรงหน้าที่เป็นทั้งเพื่อนและคนรัก พวกเขาเองก็มองดูผม สายตาของทั้งคู่ราวกับจะบอกผมว่าพวกเขาเสียใจ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้
ช่างแ…งซิวะ
ผมหันหลังจากพวกเขามาโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของแฟนสาวที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
ผมวิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง วิ่งหนีออกจากตรงนั้น เพื่อไปพบกับความสิ้นหวังที่มากกว่า
ในหัวจินตนาการไม่หยุดว่าหลังจากนั้นทั้งคู่จะทำอะไรกันต่อ
กอดกันหรอ จูบกันซินะ มีความสุขกันโดยที่ไม่มีผม
ภาพที่ว่านั่นซ้อนทับกันกับภาพตรงหน้าของผมขณะนี้พอดิบพอดี
รถบรรทุกอีกคันวิ่งผ่านหน้าผมไป
ราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย ภาพเหตุการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันสลายวับ เวลากลับมาเดินเป็นปกติอีกครั้ง
ผมหันหลังแล้วเริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่งหนีอีกครั้ง…
—
ทันทีที่สัญญาณไฟเป็นสีเขียว ฉันก็พุ่งตัวออกไปทันที
[‘ไปทางไหน? เขาหายไปทางไหนแล้ว?’]
ปลายทางอีกฝั่งของทางม้าลายคือทางเท้าที่เดินไปได้สองทาง ทางหนึ่งไปสวนสนุก ทางหนึ่งกลับบ้าน ฉันเดาแบบไม่ใช้สามัญสำนึกมากนักว่าเขาต้องกลับบ้าน
ฉันเลี้ยวซ้ายโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด วิ่งไปตามทางเดินยาวริมถนนมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ตรงกลับบ้านของอาคิยามะ ภาวนาว่าระหว่างทางขอให้เจอเขาหรือไม่ก็ไปทันก่อนที่เขาจะขึ้นรถไฟ
ในระหว่างที่วิ่งไปฉันก็หยิบเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาเขาด้วย แต่สายกลับไม่ว่าง ไม่รู้ว่าเขากำลังโทรหาใคร
[‘อันนะหรือเปล่า?’]
ความหึงหวงเหมือนจะแล่นเข้ามาในสมองแต่มันถูกความร้อนใจของฉันสกัดกั้นไว้ซะก่อน
ฉันพยายามโทรหาเขาอีกหลายครั้งตลอดทางที่คิดว่าเขาน่าจะกลับไปแต่ก็ติดรอสายทุกครั้งจนฉันมาถึงสถานีในสภาพที่หอบจนหายใจจะไม่ทัน
ฉันเดินหาเขาในสถานีแต่มองหายังไงก็หาเขาไม่เจอ ลองโทรหาอีกครั้งก็ไม่ติด โทรอีกครั้งก็ไม่ติด โทรอีกครั้ง อ๊ะ… ติดแล้ว
แต่เขาตัดสายฉันทิ้ง
ฉันได้แต่ยืนอึ้งมองดูโทรศัพท์ตัวเองที่เพิ่งจะถูกผู้ชายที่ตัวเองชอบตัดสาย
รู้สึกเหมือนจะร้องไห้…
ไม่รู้สมองหรือหัวใจสั่งให้ฉันโทรหาเขาอีก แล้วเขาก็ตัดสายฉันอีก พอโทรไปอีก ครั้งนี้เขาปิดเครื่องหนีฉันเลย
น้ำตาเริ่มจะเอ่อขึ้นมาจนจะห้ามมันไว้ไม่อยู่
ฉันฝืนตัวเองไม่ให้น้ำตามันไหล ใช้หลังมือป้ายทางหางตาที่รู้สึกว่ามันชื้นๆ เย็นๆ สูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงก้าวเข้าสู่รถไฟมุ่งหน้ากลับเมือง T
—
หลังจากเริ่มรู้สึกตัวว่าหายใจลำบากก็เป็นตอนที่ผมวิ่งออกมาจากแยกไฟแดงนั้นจนมาถึงหน้าทางเข้าสวนสนุก
ระยะทางที่ต้องใช้เวลาเดินราวๆ 10 หรือ 15 นาที ผมย่นย่อมันลงด้วยการวิ่งเหลือไม่ถึง 3 นาที
สถิติดีสุดตั้งแต่เคยวิ่งมาเลยหรือเปล่านะ…
ยืนหอบหายใจจนรู้สึกว่าในคอในปอดมมันแห้งฝืดไปหมด พอปรับลมหายใจได้แล้วจึงเริ่มสำรวจสภาพรอบๆ ตัว
หลายคนที่มาเที่ยวสวนสนุกพากันมองมาที่ผม หลายคนไม่สนใจ ผมเองก็ไม่คิดจะสนใจอะไรพวกเขานัก เพียงแต่เพิ่งรู้ตัวเองว่าเมื่อกี้ตอนวิ่งออกมาเหมือนจะไม่ได้กำหนดทิศทางก่อน สุดท้ายจึงวิ่งมาจนถึงสถานที่นัดหมายตามจิตใต้สำนึกที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
[‘ต้องไปที่อื่น’]
ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปโอโตเมะกับเจ้าหมอนั่นอาจจะตามมาเจอ ถ้าเจอกันตอนนี้ในสถานที่ที่คนพลุกพล่านแบบนี้ด้วย บางทีเรื่องราวมันอาจจะจบไม่สวยงามยิ่งกว่านี้
คิดไปคิดมาความคิดดีๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัว ในเมื่อตอนนี้อยู่เมือง I ลองโทรตามเจ้าพวกนั้นดูก็ไม่น่าจะเสียหาย
มือไปไวเท่าความคิด ปัดๆ เลื่อนๆ หน้าจอโทรศัพท์ แค่ไม่กี่วินาทีโคสุเกะก็รับสาย
เขาอยู่กับโมโมสุเกะ…
“ก็ไหนว่าไปเดทกับโอโตเมะจัง?”
“พอดียัยนั่นติดธุระด่วน เลยว่าจะชวนพวกนายไปร้องเกะ ไปมั้ย?”
[‘บอกไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น’]
“เอาซิ พวกฉันสองคนว่างๆ อยู่พอดี เดี๋ยวโทรตามจินแปบ”
“งั้นเจอกันที่ร้านเดิม บ่ายสองนะ”
“นี่นายจะไม่ให้พวกฉันเตรียมตัวเลยหรือไง?”
“ต้องเตรียมอะไรด้วยหรอ?”
“เอออ… ก็จริง งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
แล้วโคสุเกะก็วางสายไป
ผมเองก็เริ่มออกเดินทางต่อ เป้าหมายคือร้านคาราโอเกะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไรนัก ผมเคยไปที่นั่นกับเพื่อนๆ อยู่หลายครั้งเมื่อเทอมที่แล้ว
ระหว่างทางไปก็โทรหารุ่นพี่นาคาจิมะไปด้วย บอกเขาว่ามีธุระต้องไปต่างเมืองและขอให้เขาทบทวนด้วยตัวเองไปก่อนในช่วงปิดเทอมนี้
จากนั้นก็โทรหาอันนะ เนื้อหาใจความที่บอกเธอไม่ต่างจากรุ่นพี่นาคาจิมะมากนัก
แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ว่าอะไร เพียงแค่บอกให้ผมดูแลสุขภาพให้ดี
ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะผมไม่คิดจะกลับบ้าน
ที่ไม่อยากกลับบ้านก็เพราะคิดว่าโอโตเมะน่าจะไปตามหาผมที่นั่น
[‘ยัยนั่นรู้แล้วว่าบ้านอยู่ตรงไหน ถ้าไม่อยากเจอก็ไม่ควรกลับบ้าน’]
ใช่แล้วครับ… ผมไม่อยากเจอเธอ ไม่อยากเจอโอโตเมะ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง เพราะไม่อยากจะทำร้ายเธอไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ
ผมถึงได้หนีเหมือนในตอนนั้น ปิดเครื่องโทรศัพท์ ตัดขาดการติดต่อ เลือกที่จะหายไปเงียบๆ อีกครั้ง
—
เกือบหนึ่งชั่วโมงบนรถไฟที่ยาวนานราวกับมันใช้เวลาทั้งวันเพียงเพื่อเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง
ฉันก้าวขาออกจากรถไฟทันทีที่ประตูเปิด เบียดเสียดผู้คนจนได้ยินเสียงสบถตามหลังแต่ก็ไม่ได้สนใจ สองขาพาฉันวิ่งไปมุ่งหน้าสู่เส้นทางอันคุ้นเคย
เส้นทางที่ใช้ในการไปกลับโรงเรียน… และถ้าเลยโรงเรียนไปอีกหน่อยก็จะเป็นทางไปบ้านของอาคิยามะ
ฉันภาวนาทุกย่างก้าวให้เขาอยู่ที่นั่น ขอให้เขาอยู่ที่บ้าน เพื่อที่ฉันจะได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาฟังได้
ฉันยังคงพยายามติดต่อเขาด้วย โทรไปทุกห้านาทีเลยได้มั้ง แต่แทนที่จะติดต่อเขาได้ กลับติดต่อเซริได้แทน
อันที่จริงต้องบอกว่าเซริติดต่อมา
“อามายะ!! เธออยู่ที่ไหน?”
“แฮก… แฮก… กำลังไปบ้าน แฮก… อาคิยามะ…”
“นั่นเธอทำอะไรอยู่น่ะ?”
“ฉันกำลัง… วิ่ง… ไปบ้านอาคิยามะ…”
วิ่งไป หอบไป ตอบคำถามของเพื่อนไป เป็นอะไรที่เหนื่อยสุดๆ แต่เซริดูเหมือนจะมีเรื่องร้อนใจ แม้ฉันจะมีเรื่องร้อนใจไม่แพ้กันก็ไม่กล้าขอตัดสายเธอ
“วันนี้เธอไปทำอะไรกับนิโนะมิยะคุงมา? ไหนว่าจะไปเดทกับอาคิยามะคุงไง? ทำไมถึงมีรูปเธอไปยืนกอดกับนิโนะมิยะคุงได้? เธอทำบ้าอะไรอยู่?”
เซริร่ายยาวคำถามสั่นเป็นชุด น้ำเสียงที่เข้มขึ้นของเพื่อนรักทำให้จังหวะการวิ่งเริ่มสะดุดช้าลง จนเมื่อสิ้นคำถามสุดท้ายขาของฉันก็ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
“เธอพูดบ้าอะไรเซริ?”
เหมือนสมองของฉันกำลังโดนเผา มันปวดและร้อนรนไม่ต่างจากใจของฉัน
“ฉันซิต้องถามว่าเธอทำบ้าอะไร ดูรูปที่ฉันส่งไปให้ซะแล้วอธิบายมา”
[‘รูป?’]
ฉันเปิดหน้าต่างแชท RaNE ของเซริ ข้อความล่าสุดที่เธอส่งมาคือรูปภาพ… เป็นภาพของฉันกับนิโนะมิยะ พร้อมด้วยภาพแคปเจอร์หน้าจอที่เป็นหน้าต่างสนทนาของกลุ่ม RaNE กลุ่มหนึ่ง
“นี่มันอะไรกัน?”
ฉันพึมพำเบาๆ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมบทสนทนาที่เซริส่งมาให้ดูถึงมีแต่คำว่าร้าย ใส่สี ดูถูกต่างๆ นานา
[ฉันว่าแล้วว่ามันต้องมีซัมติง]
[ก็แค่ยัยร่านนั่นแหละ]
[เสียดายผู้ชายอย่างนิโนะมิยะ]
[รู้แบบนี้ฉันน่าจะลองอ่อยเขาแบบยัยนี่บ้าง]
[ยืนจูบกันริมถนนเลย นิโนะมิยะนี่ก็เร่าร้อนเกินคาดแฮะ]
[ปากบอกไม่ แต่การกระทำนี่ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว]
“เธอไม่ได้เดทอยู่กับอาคิยามะคุงหรือไง ทำไมถึงมีภาพแบบนี้หลุดออกมาได้?”
เซริถามฉันย้ำหลังจากที่ฉันเงียบไป
“ฉันกำลังจะไปเดทกับเขา แต่เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน”
“เรื่องอะไร?”
“เขาเห็นฉันอยู่กับนิโนะมิยะ”
“ห๊ะ!? แล้วทำไมเธอถึงไปอยู่กับหมอนั่น?”
“ฉันบังเอิญเจอเขา เขาเลยชวนฉันไปร้านกาแฟแถวๆ นั้น”
“แล้วเธอก็ตามไปอ่ะนะ?”
“ฉันตั้งใจจะคุยเรื่องความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจน”
“เดี๋ยวๆ เธอเล่ามาให้ละเอียดหน่อยซิ ฉันปะติดปะต่อเรื่องไม่ค่อยถูก”
“เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังทีหลังได้มั้ย? ตอนนี้ฉันอยากตามหาอาคิยามะก่อน”
“อ้าว… แล้วอาคิยามะคุงไปไหน?”
“เขาไปไหนแล้วไม่รู้ ตอนนี้ฉันกำลังจะไปดูที่บ้านเขา”
“เธอไม่โทรหาเขาล่ะ?”
“เขาปิดเครื่องไปแล้ว”
“แล้ว…”
“เซริ… ขอฉันไปตามหาอาคิยามะก่อนเถอะนะ แล้วฉันจะเล่าให้เธอฟังทุกอย่างเลย… นะ…”
เป็นครั้งแรกเลยที่ขอร้องอ้อนวอนใครสักคนนอกจากพ่อแม่ด้วยความจนใจแบบนี้ เซริเองก็คงเข้าใจ เธอถามย้ำอีกครั้งว่าฉันจะไปบ้านอาคิยามะใช่มั้ยก่อนจะวางสายไป
ฉันเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะออกวิ่งอีกครั้ง ภาพที่เซริส่งมาให้ดูยังฉายชัดอยู่ในหัว
ภาพเป็นฉันกับนิโนะมิยะชัดเจน เป็นจังหวะตอนที่เขาประคองฉันไว้ไม่ให้ล้มเพราะตัวเขาเสียหลักมาชนฉัน
แม้มองจากด้านหลังอาจจะไม่รู้ว่าผู้หญิงในภาพเป็นใคร แต่ผู้ชายในภาพมองออกว่าเป็นนิโนะมิยะ แล้วทำไมคนอื่นถึงรู้ว่าผู้หญิงในภาพคือฉัน
คำตอบก็คือคนที่ถ่ายรูปหรือคนที่เอารูปไปส่งต่อต้องเป็นคนที่รู้จักทั้งฉันและนิโนะมิยะอยู่ก่อนแล้ว
ฉันพยายามนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ว่าฝั่งตรงข้ามถนนในตำแหน่งที่น่าจะถ่ายรูปนี้ออกมาได้มีใครอยู่บ้าง แต่กลับนึกออกแค่คนเดียว แถมคนคนนั้นก็อยู่ในตำแหน่งที่น่าจะเห็นเหตุการณ์ต้นตอของภาพนี้แบบเรียลไทม์ด้วย
หัวใจฉันหนักอึ้ง สองขาหนักราวกับว่าจู่ๆ มันก็ถูกล่ามด้วยตุ้มน้ำหนัก
[‘ตอนนั้นเขาเห็นหรือเปล่า?’]
อาคิยามะหันกลับมามั้ย? ถ้าหันกลับมาแล้วเห็นอะไรตอนที่คนคนนั้นถ่ายภาพนี้ออกมา
แล้วอยู่ๆ น้ำตาก็ไหล หลากหลายอารมณ์ด้านลบต่างประดังประเดเข้ามาจนในหัวของฉันเห็นภาพหลอนเต็มไปหมด
แน่นจมูก จุกคอหอย จนทนฝืนวิ่งต่อไปไม่ไหวเพราะหายใจไม่ออก แต่สองขาก็ยังพาฉันมาจนถึงบ้านของอาคิยามะจนได้
ฉันใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ปาดน้ำมูก โดยไม่สนว่ามันจะเป็นชุดสวยหรืออะไร ใจขอแค่ว่าเมื่อกดกริ่งหน้าบ้านไปแล้วจะได้เห็นอาคิยามะโผล่หน้าออกมาจากประตู
—
สามชั่วโมงแห่งการแหกปากร้องตะโกนทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอัดอั้นอยู่ในอกออกไปช่วยให้สมองของผมกลับมาโล่งขึ้นเยอะ
หลังจากแยกย้ายกับเหล่าสหายที่ทำท่าเหมือนจะรู้อะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดไม่ถามอะไรแล้ว ผมก็เดินไร้ทิศไร้ทางอยู่พักหนึ่ง
พอกลับมาอยู่คนเดียวอารมณ์ก็ดิ่งอีกครั้ง
สั่งสมองว่าอย่าไปคิด อย่าไปนึกถึง แต่ไอ้อาการโหวงเหวงในช่องอกซ้าย ไอ้ความรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะนี่ ทำเอาผมสลัดภาพในหัวไม่หลุด
หรือที่จริงแล้วเพราะว่าผมสลัดมันไม่หลุด อาการที่ว่ามันเลยไม่หายไป
จำไม่ได้ว่าตัวเองเดินไปทางไหนหรือเดินผ่านอะไรมาบ้าง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หิมะเริ่มตกลงมา
[‘อ่า… พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อาจจะมีหิมะตกนินะ’]
ยืมมองดูปุยขาวๆ ทึมๆ ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าที่เริ่มมืดมิด บางช่วงแสงไฟจากตัวอาอาคารก็ส่องไปกระทบเจ้าก้อนปุยๆ นั่น จนเห็นมันเปลี่ยนสีไปเป็นสีส้มบ้าง เหลืองบ้าง แล้วแต่ว่าจะสะท้อนแสงสีไหน
ดูสวยงาม ดูสงบเงียบ แล้วก็ดูเศร้าเหงาหงอย
ผมหยิบโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไปตั้งแต่บ่ายขึ้นมาเปิดอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาราวๆ 10 วินาที หน้าจอเครื่องก็แสดงผลพร้อมใช้งาน
จากนั้นการแจ้งเตือนต่างๆ ก็เริ่มเด้งขึ้นมา มีทั้งข้อความและสายที่ไม่ได้รับเต็มไปหมด
ผมเลือกกดเข้าไปดูข้อความของเพื่อนๆ ที่ส่งมาตอนที่พวกเขามาถึงร้านคาราโอเกะเมื่อตอนบ่าย จากนั้นก็เปิดไปอ่านข้อความของรุ่นพี่นาคาจิมะที่ส่งมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน แล้วก็เป็นข้อความของอันนะที่เพิ่งจะส่งมาเมื่อกี้นี้ สุดท้ายเป็นข้อความของโอโตเมะที่ทั้งยาวและมีจำนวนมากที่สุด
ผมยืนอ่านข้อความทั้งหมดนั่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกดเข้าแอปแผนที่เพื่อดูว่าตอนนี้มีห้องพักไหนอยู่ใกล้ๆ บ้าง จากนั้นก็เดินตามแผนที่แอปพลิเคชันไปเรื่อยๆ
ผ่านซอก ผ่านซอยที่ดูแล้วไม่น่าใช่ทางผ่านไปห้องพัก จนอีกประมาณ 50 เมตรจะถึงที่หมาย แต่ทางตรงหน้ากลับเป็นทางตัน
อืมม… มันไม่ใช่ทางตันซะทีเดียว แต่เป็นทางที่มีวัยรุ่นสามคนยืนสูบบุหรี่ขวางอยู่
ทางเดินก็ยิ่งแคบๆ อยู่แล้ว พอมีคนสามคนมายืนขวางก็ยิ่งแคบเข้าไปอีก แคบจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินผ่านไปโดยไม่สัมผัสโดนพวกเขา
ทั้งสามคนหันมามองผม หนึ่งในนั้นยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วแสยะยิ้ม พอเห็นแบบนั้นผมจึงหยุดเดิน มองพิจารณาดูแล้วว่าถอยกลับไปก่อนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ก็ยังช้ากว่าสามคนนั้น
ทันทีที่หันหลังกลับ มือของใครก็ไม่รู้คว้าหมับมาที่ไหล่ของผม อีกสองคนวิ่งอ้อมมาดักหน้าไว้ไม่ให้หนี เสียงหยิ่งๆ เย็นๆ เอ่ยขึ้นมาจากคนที่จับไหล่ผมไว้
“น้องชาย… พวกพี่ชายขอเงินซื้อบุหรี่หน่อยซิ”
[‘ทำไมวันนี้ถึงได้เจอแต่เรื่องห่วยแตกกันนะ?’]
กำลังคิดว่าวันนี้มันควรจะเป็นวันที่ตัวเองต้องมีความสุขไม่ใช่หรือไง? เจ้าสองคนที่อยู่ข้างหน้าก็เขยิบเข้ามาใกล้แล้วคว้าโทรศัพท์ผมไป
เท่านั้นแหละ… เหมือนสติสัมปชัญญะดับวูบ ผมจำได้แค่ว่าตัวเองจับมือที่อยู่บนไหล่ตัวเองแล้วทุ่มเจ้าของมือนั้นข้ามไหล่ จากนั้นอะไรๆ ก็ชุลมุนไปหมด
แล้วอยู่ๆ ก็เหมือนสัญญาณภาพกลับมา ผมก้มเก็บโทรศัพท์ตัวเองที่ตกอยู่แถวๆ นั้นก่อนจะเดินข้ามวัยรุ่นที่นอนอยู่บนพื้นคนนึงมุ่งหน้าไปยังห้องพักที่ดูไว้ที่แรก
พอได้แช่น้ำร้อนแล้วก็รู้สึกร่างกายผ่อนคลายลง ความเจ็บจากรอยช้ำที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้เองก็ทุเลาลงด้วย ร่องรอยความเจ็บปวดทางร่างกายค่อยๆ ละลายหายไป เหลือไว้แค่ความเจ็บปวดทางจิตใจ
ข้อความของรุ่นพี่นาคาจิมะบอกว่าโอโตเมะโทรมาถามหาตัวผม…
ข้อความของอันนะบอกว่าโอโตเมะกับเพื่อนมารอผมอยู่หน้าบ้าน…
ข้อความของโอโตเมะบอกว่าผมเข้าใจเธอผิด…
บอกว่าเธอไม่ได้มีอะไรกับนิโนะมิยะ บอกว่าเธอแค่คุยกับหมอนั่นเพราะเจอกันโดยบังเอิญ บอกว่าเธอบอกหมอนั่นแล้วว่ากำลังจะไปเดทกับผม บอกว่าเธอปฏิเสธหมอนั่นแบบชัดเจนไปเรียบร้อยแล้ว
เธอขอให้ผมให้โอกาสกับเธอ…
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอบอก…
ผมอยากเชื่อเธอ แต่ผมกลับ… กลัวที่จะเชื่อ
ในใจลึกๆ ผมยังคงมีความหวาดระแวงต่อเธอ ยังหวาดระแวงต่อนิโนะมิยะ
ครั้งแรกที่รับรู้ได้ถึงความหวาดระแวงนี้คือตอนที่เริ่มรู้ตัวว่าผมชอบเธอ
ตอนนั้นผมปกป้องตัวเองด้วยการเตือนไม่ให้ตัวเองหลงจมไปในความรู้สึกที่ให้โอโตเมะ แต่พอความรู้สึกนั้นเติบโตขึ้นมันก็เริ่มบดบังความหวาดระแวงนั้น ค่อยๆ บดบัง ค่อยๆ ปกคลุม จนผมหลงลืมว่าเคยมีมันอยู่
แต่มันไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่ตรงนั้น เผยตัวให้เห็นเป็นบางครั้งบางคราวเพียงแต่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจ มองข้ามมันไปด้วยการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
จนวันนี้ มันถูกขุดขึ้นมา และผมไม่สามารถหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองได้อีก
ผมปล่อยตัวเองให้เลื่อนไหลไปตามอ่างน้ำจนศีรษะจมลงไปใต้น้ำ ในห้วงความคิดปรากฏภาพสุดท้ายของโอโตเมะที่เห็นเมื่อตอนบ่าย
ว่ากันว่าความเชื่อใจคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่มั่นคง ส่วนความระแวงสงสัยคือจุดเริ่มต้นของความไม่มั่นคงของในความสัมพันธ์
กล่าวคือถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มสงสัยกัน มันก็แปลเราเริ่มไม่เชื่อใจกันแล้วนั่นเอง
ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองยังไม่เชื่อใจโอโตเมะ…
ตอนนี้ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าความคิดนั้นถูกต้องแล้ว…
—
“กลับก่อนเถอะ อามายะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมามองผู้พูดซึ่งยืนกางร่มกันหิมะให้อยู่
อาโออิ เซริ เพื่อนสาวคนสนิท ผู้ที่คอยช่วยเหลือฉันแม้ในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังลำบาก
ฉันเหม่อมองเพื่อนสาวที่เลิกงานพิเศษแล้วรีบตรงมาหากันทันทีตรงหน้า ไม่รู้ว่าจะขอบคุณเธออย่างไรดีที่อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน แถมยังอุตส่าห์มายืนคลุมร่มให้ ถึงจะเป็นร่มที่อันนะจังให้มาก็เถอะ
คิดแล้วน้ำตาก็จะไหลออกมาอีกให้ได้…
“ไม่ต้องร้อง ถ้าจะร้องก็รอกลับบ้านก่อน”
ว่าแล้วเซริฉุดดึงฉันขึ้นมา เธอปัดหิมะบนตัวเสื้อคลุมออกให้ฉัน ก่อนจะจูงมือกันเดินออกจากตรงนั้น เดินออกจากหน้าบ้านของอาคิยามะ
“ถ้าฉันไม่มา เธอคิดจะนั่งอยู่แบบนั้นจนแข็งตายเลยหรือไง?”
เดินไปก็บ่นฉันไปด้วย แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจฟังเซริพูดนักหรอก ใจยังเหม่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่
ตั้งแต่เวลาราวบ่ายสองโมงจนถึงเมื่อกี้นี้ ฉันไม่ได้ขยับออกห่างจากหน้าบ้านของอาคิยามะเลย
ไม่ใช่ว่าไปไหนไม่ได้ แต่เพราะไม่รู้จะไปหาเขาที่ไหนแล้ว…
กดกริ่งแล้วก็ไม่มีการตอบรับอะไรกลับมา โทรหาก็ไม่ติด ส่งข้อความไปเท่าไรก็ไม่ได้รับการตอบโต้ โทรไปหาคุณนาคาจิมะก็ได้รับคำตอบแค่ว่าอาคิยามะติดธุระที่ไหนสักแห่ง อยากจะโทรถามเพื่อนๆ เขาแต่ก็ไม่รู้จะติดต่อยังไง แม้จะได้เจออันนะจังหลังจากที่เซริมาถึงแปบนึง แต่คำตอบที่ได้หลังจากถามว่ารู้ไหมว่าอาคิยามะไปไหนก็ไม่ต่างจากที่ได้มาจากคุณนาคาจิมะ
– “มารุบอกว่าไปทำธุระที่ต่างเมืองน่ะ…” / – “รุ่นพี่บอกว่าจะไปทำธุระค่ะ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน…” –
สรุปแล้วหมอนั่นหายไปไหน…
คิดยังไงฉันก็คิดไม่ออกจนกระทั่งเซริพาฉันมาถึงที่บ้าน เธอจัดการพาฉันเข้าบ้าน ทักทายกับพ่อแม่ฉัน ขออนุญาตค้างด้วยกัน จนพาฉันเข้าห้องนอน
“ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เพราะน้ำเสียงเข้มนั่นแหละที่ดึงสติฉันกลับเข้าร่าง ฉันมองเพื่อนสาวที่ยืนเท้าเอวตรงหน้าแล้วรู้สึกว่าขอบตาร้อนผะผ่าว
“ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวก่อนเถอะ ตัวเธอเย็นมาก ทิ้งไว้เธอได้เป็นหวัดแน่”
“อืมม…”
เราสองคนเข้าไปอาบน้ำด้วยกันเหมือนเมื่อครั้งก่อนที่เซริมาค้างที่บ้านฉัน กลับกันคือครั้งนี้ฉันเป็นฝ่ายเศร้าและเธอเป็นฝ่ายปลอบ
หลังการแช่น้ำผ่อนคลายตามคำแนะนำของเซริแล้ว เธอก็พาฉันมานั่งเป่าผมในห้อง ดูแลปรนนิบัติราวกับฉันเป็นน้องสาวตัวน้อยของเธอ จากนั้นจึงพากันไปนั่งบนที่นอน
เราสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน และเซริเป็นคนนำการประชุม
“เอาหละ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น”
“อืมมม…”
“เรื่องมันเป็นมายังไง?”
“ฉัน…”
ยิ่งเล่าเรื่องราวออกมามากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก ก้อนแข็งๆ เกาะที่ลำคอจนเสียงที่เปล่งออกมาแปลกแปร่งไม่คุ้นหู
เล่าจบเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าถึงกับอึ้ง นิ่งสนิทแข็งค้างยังกับโดนคำสาปให้กลายเป็นหิน แล้วพอหลุดจากคำสาปมาได้เธอก็ถึงกับกุมขมับ
“จังหวะนรกแตกอะไรขนาดนั้น…”
[‘ใช่ นี่มันวันนรกแตกอะไรกัน’]
“แล้วหลังจากนั้นนิโนะมิยะคุงว่าไง?”
“ไม่รู้ หลังจากเขาปล่อยฉันแล้ว ฉันก็ไม่ได้สนใจเขาอีก”
“แต่เธอต้องยังต้องไปเจอเขาอีกใช่มั้ย? ที่งานกีฬาน่ะ”
“คิดว่าใช่ แต่ไปหลายคน คงไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก”
“ถึงงั้นก็เถอะนะ… เอาเป็นว่ารอดูก่อนแล้วกันว่าเขาจะแก้ข่าวลือนี้ยังไง ป่านนี้เขาน่าจะรู้เรื่องรูปบ้านั่นแล้ว”
“แล้วอาคิยามะ…?”
“เรื่องนั้นเธอใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้หมอนั่นคงสับสนพอๆ กับเธอนั่นแหละ”
“แล้วถ้าเกิด… เขาไม่กลับมาล่ะ?”
“ให้เวลาเขาหน่อย ถ้าหมอนั่นคิดจริงจังกับเธอเขาต้องกลับมาเพื่อคุยกับเธอแน่”
[‘มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หรอ?’]
เป็นคำถามที่อยู่ในใจ ฉันไม่ได้พูดมันออกไปให้เซริฟัง รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องนี้เกินกำลังของเพื่อนสาวคนสนิทที่จะช่วยได้ แต่เธอก็ยังอยู่เพื่อปลอบใจฉัน
มันกลายเป็นความอบอุ่นแรกนับตั้งแต่ที่ฉันคลาดสายตาจากอาคิยามะเมื่อตอนบ่าย
“เซริ…”
น้ำเสียงเริ่มอู้อี้ ขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าวอีกครั้ง
“เฮ้อออ…”
ถอนหายใจเสร็จแล้วเซริก็เขยิบเข้ามากอดฉัน ความอบอุ่นของอ้อมกอดนั้นยิ่งทำให้ตาร้อนผ่าวขึ้นไปอีก ร้อนจนร่างกายสั่งให้น้ำตามันไหลออกมาดับความร้อนนั้น
“ฉันน… ฉัน… ทำเขา… ทำให้เขา… เกลียดฉันแล้ว… ใช่มั้ย..?”
[‘นายเกลียดฉันแล้วใช่มั้ย?’]
—
คงเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท เช้านี้ผมจึงตื่นสาย
เป็นเช้าวันใหม่ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ผู้คนต่างออกมาสนุกสนานครื้นเครงไปกับเทศกาลแห่งความสุขอย่างเทศกาลคริสต์มาส
แต่ผมไม่ใช่…
ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างเตียงนอน คนที่โทรเข้ามาปลุกผมคือรุ่นพี่นาคาจิมะ
เขาถามผมด้วยน้ำเสียงที่ออกจะดุเล็กน้อยว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน
“โอโตเมะตามหานายมาตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อกี้นี้ก็โทรมาถามฉันอีกรอบ ตกลงมันมีเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เรื่องเข้าใจผิด เสร็จธุระที่นี่แล้วผมจะกลับไปคุยกับเธอเอง”
ตอบรุ่นพี่นาคาจิมะไปแบบเลี่ยงๆ เพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องเมื่อวานอีก เสร็จแล้วก็วางสาย ตั้งใจจะนอนต่อแต่โอโตเมะโทรเข้ามาซะก่อน
เหม่อมองเบอร์โทรศัพท์ที่ก่อนหน้านี้เฝ้ารอให้โทรมาทุกคืน แต่ตอนนี้ผมกลับไม่กล้าแม้แต่จะรับสาย
สมองสั่งให้นิ้วมือปัดตัดสายไปก่อนจะปิดเครื่องอีกครั้งนึง
“เป็นคริสต์มาสที่โคตรห่วยเลยปีนี้”
ตกบ่าย ผมที่ไม่รู้จะไปไหนต่อตัดสินใจกลับบ้าน
เนื่องจากเมื่อวานไม่ได้เตรียมตัวเอาอะไรมาเลยตอนนี้เลยมีแค่เสื้อผ้าที่ติดตัวมากับกระเป๋าตังค์
ระหว่างที่ตัวผมนั่งอยู่บนรถไฟ แต่ใจผมกลับล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในหัวมีเรื่องราวให้คิดมากมายทั้งที่ไม่อยากคิด ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความสุขของทุกคนนั้น ผมกลับมองมันด้วยความรู้สึกรำคาญ
กว่าจะผ่านเสียงหัวเราะและบรรยากาศสนุกสนานนั้นมาได้ก็ต้องเดินออกมาจนเกือบถึงบ้าน
ความกังวลของผมไม่เป็นความจริง ตรงหน้าบ้านไม่มีใครอยู่…
ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือผิดหวัง แต่ผมก็ยังรักษาท่าทางให้เป็นปกติแล้วเดินเข้าบ้านตัวเองได้ ใช้เวลาอยู่ในบ้านไม่นานนักผมก็หอบหิ้วเสื้อผ้าและของใช้อีกเล็กน้อยสะพายขึ้นหลัง เปิดประตูบ้านเตรียมออกเดินทางตามที่วางแผนไว้
แต่ว่าตรงหน้ารั้วบ้าน เด็กสาวตัวเล็กยืนรอผมอยู่ ไม่รู้ออกมายืนรอนานขนาดไหนแล้วบนหัวถึงได้มีเกล็ดน้ำแข็งขาวเกาะอยู่
“รุ่นพี่จะไปไหนคะ?”
อันนะถามผมทันทีที่เปิดประตูออกมา เธอไม่ได้แสดงท่าทางเป็นรุ่นน้องตัวแสบแบบทุกที แต่อยู่ในโหลดกุลสตรีผู้มีความคิดอ่านเสมือนผู้ใหญ่
“ฉันมีธุระน่ะ คงจะไปหลายวันหน่อย ยังไงช่วงนี้ก็งดติวก่อนนะ เธออ่านหนังสือให้เยอะๆ หน่อย กลับมาแล้วฉันจะทดสอบ”
“รุ่นพี่จะกลับมาเมื่อไหร่?”
[‘เมื่อไหร่หรอ? นั่นซินะ…’]
“น่าจะหลังปิดเทอมฤดูหนาวนี่แหละ”
“แล้วงานวันเกิดพรุ่งนี้ล่ะคะ? ฉันกับพวกรุ่นพี่ใหญ่เตรียมงานไว้หมดแล้วนะคะ”
“ขอบคุณนะ แต่ช่วยยกเลิกไปก่อนได้มั้ย?”
อันนะมองผมนิ่งๆ ไม่ตอบว่าอะไร ให้ความรู้สึกกดดันนิดๆ
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
ผมยิ้มให้อันนะก่อนจะเดินเลี่ยงเธอออกมา
“เมื่อวานนี้รุ่นพี่อามายะกับรุ่นพี่เซริมารอรุ่นพี่ที่หน้าบ้าน มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ผมหันไปตอบอันนะแล้วก็รู้ว่าตัวเองทำพลาดที่ไม่รีบเดินออกมาโดยเร็ว
เด็กสาวตรงหน้าเข้าโหมดผู้ใหญ่ไปเสียแล้ว
“ให้ฉันบอกรุ่นพี่อามายะไหมคะว่ารุ่นพี่กลับมาบ้าน?”
“ไม่ต้องหรอก”
“งั้นถ้าหนหน้าฉันเจอเธอ รุ่นพี่จะโกรธฉันไหมคะถ้าหากว่าฉันจะไม่ไว้หน้าเธออีก?”
[‘ให้ตายเถอะยัยนี่ อยู่ด้วยกันมากจนติดนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นจากเราไปหรือไงนะ’]
ผมคิดว่าอันนะคงจะรู้แล้วว่าผมกับโอโตเมะมีปัญหากันเพราะเธอเป็นเด็กหัวไว อีกอย่างสภาพผมตอนนี้ก็น่าจะบอกอะไรๆ ได้อีกหลายอย่าง
ผมไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เพียงแค่ยื่นมือออกไปปัดหิมะบนผมเธอเบาๆ แต่เด็กสาวกลับมองผมด้วยดวงตาที่มีน้ำใสๆ คลออยู่
ผมยิ้ม จากนั้นก็ลูบหัวเธอเบาๆ ความอบอุ่นจากตัวเธอแล่นผ่านฝ่ามือเข้ามาถึงหัวใจ
“ขอบคุณนะ”
—
คริสต์มาสปีนี้ฉันตื่นนอนแต่เช้าตรู่ หลังส่งเซริที่ต้องรีบกลับไปทำงานพิเศษแล้วฉันก็กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง
พอว่าง สมองก็คิดถึงอาคิยามะอีก คิดถึงแล้วก็โทรไปหาเขา แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับเหมือนเดิม ด้วยความเบลอฉันจึงโทรหาคุณนาคาจิมะแทน
หวังว่าจะถามเรื่องของอาคิยามะเพิ่มเติม แต่พอคุณนาคาจิมะรับสายฉันถึงรู้ว่าเขายังไม่ตื่นนอน
หลังจากขอโทษเขาแล้วฉันก็วางสาย นั่งเหม่อลอยอยู่บนที่นอน รู้สึกปวดหัวหนึบๆ น่าจะเป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ พอหลับก็ฝันร้าย
ตอนที่ก้ำกึ่งระหว่างการนอนต่อกับการลุกไปอาบน้ำ เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซะก่อน
เป็นข้อความกำหนดการและสิ่งของที่ต้องเตรียมไปสำหรับคนที่ต้องไปดูงานกับทางโรงเรียน… งานแข่งขันกีฬาสัมพันธ์เบญจภาคีเครือข่าย
“พรุ่งนี้แล้วซินะ…”
ใจจริงแล้วไม่อยากไป ยิ่งเกิดเรื่องแบบนี้ยิ่งไม่อยากไป แต่มาจนถึงตอนนี้แล้ว ต่อให้ไม่อยากไปก็ต้องไป
ฉันปิดหน้าต่างแชทห้องสภานักเรียนไปแล้วเปิดแชทที่เมื่อวานส่งข้อความไปตั้งมากมายแต่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมา
แชทของเจ้าหมอน…
สถานะข้อความขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังเงียบ เงียบจนฉันคิดได้อย่างเดียวว่าเขาคงไม่อยากคุยกับฉันแล้ว
[‘ไม่ต้องคุยก็ได้ แค่รับฟังฉันหน่อยก็ยังดี’]
รู้สึกปวดหัวมากกว่าเก่า ปวดจนน้ำตาจะไหล
ฉันกดโทรออกไปหาเขาอีกครั้งหนึ่ง สัญญาณรอสายดังขึ้นเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ สักพักมันก็ถูกตัดไป
ฉันปวดหัวจนน้ำตาไหลหยดลงบนโทรศัพท์…
—
“สวัสดีครับพ่อ แม่ ทั้งคู่สบายดีไหมครับ?”
“วันนี้ผมอายุครบ 16 ปี แล้วนะครับ อีกไม่กี่เดือนก็จะขึ้น ม.ปลายปี 2 แล้ว”
“แต่มีเรื่องน่าเสียดายนิดหน่อยครับ ผมไม่ได้เข้าเรียนที่ฮิบิยะอย่างที่ตั้งใจไว้ อ๊ะ เรื่องนี้แม่บ่นผมไม่ได้นะครับ ผมสอบติดที่นั่นแล้วแต่พ่อของพ่อนั่นแหละที่ย้ายผมมากะทันหัน”
“แต่มันก็ไม่ได้แย่นะครับ ถึงที่โรงเรียนนี้จะมีชื่อเสียงไม่ดี แต่ผมก็มีเพื่อนดีๆ ตั้งสามคนนะครับ มีรุ่นพี่ที่ตอนนี้เป็นเหมือนพี่ชาย ทุกคนดีกับผมมากครับ”
“โคสุเกะน่ะตัวไม่สูงครับแต่ล่ำมาก ฮ่าๆๆ หมอนี่ต่อยตีเก่งมากครับ แล้วก็คิดว่าน่าจะปกติสุดในบรรดาทั้งสามคนแล้ว…”
“โมโมสุเกะนี่ยังกับนักเลงในมังงะเลยครับ ตัวสูงๆ ย้อมผมสีทอง ใส่ต่างหูอีกต่างหาก ผมว่าถ้าพ่อกับแม่เจอเขาคงบอกให้ผมเลิกคบเขาแน่ๆ ครับ แต่เชื่อมั้ยครับ เจ้าหมอนี่มีหัวใจหวานแหววที่สุดในกลุ่มเราเลยล่ะครับ แถมกินเก่งมากด้วย…”
“จินน่ะไม่ค่อยพูดครับ ชอบทำหน้านิ่งๆ เอาจริงๆ บางทีผมก็เดาอารมณ์เขาไม่ออกครับ แต่เขาก็รักพวกพ้องนะครับ แถมพักหลังๆ มานี่เริ่มเรียนรู้ที่จะช็อตฟีลพวกผมแล้วด้วย…”
“รุ่นพี่นาคาจิมะน่ะยังกะเทพเจ้าในร่างคนเลยครับ เก่งทุกอย่าง ถ้าไม่ติดนิสัยลอยชาย ผมว่าเขาเนี่ยอัจฉริยะดีๆ นี่เอง อ่อออ… เขาเรียกผมว่ามารุแหละครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แล้วที่บ้านเขาก็เรียกตามครับ ก็นั่นแหละ พวกเขาใจดีกับผมมาก…”
“ผมมีรุ่นน้องคนนึงด้วยนะครับ ชื่ออันนะ เป็นเด็กน่ารักครับ ผมว่าแม่ต้องชอบเธอแน่ๆ แต่พ่ออาจจะปวดหัวกับเธอนิดหน่อย เอออ… แต่ก็ไม่แน่นะครับ เธอเข้าหาคนเก่ง บางทีทั้งสองคนอาจจะชอบอันนะก็ได้นะ…”
“แล้วก็แม่ครับ ผมเลิกกับยูจังแล้วนะ เหมือนว่าผมจะยังไม่ดีพอสำหรับเธอแหละ อืมมม… พ่อยังไม่รู้จักยูจังนินะ งั้นผมเล่าให้พ่อฟังด้วยเลยแล้วกัน…”
“นั่นแหละครับ แม่อุตส่าห์ชอบยูจังทั้งที แต่ผมดันปล่อยเธอหลุดมือไปซะได้ เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยเนาะ แหะๆๆ แต่ว่านะ…”
“ตอนนี้ผมชอบผู้หญิงคนนึงล่ะ เธอไม่ได้เก่ง ไม่ได้สวยเท่ายูจังหรอกนะครับ แต่ตาเธอสวยมากเลยล่ะ เห็นครั้งแรกผมนี่หลงเลย ฮ่าๆๆ …”
“แต่เมื่อวานนี้ผมเห็นเธออยู่กับเด็กผู้ชายอีกคนครับ นิโนะมิยะน่ะ แม่จำได้มั้ย? เพื่อนผมคนที่หล่อๆ คนนั้นน่ะ อ่ออ… พ่อไม่รู้จักนิเนาะ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง…”
“แล้วก็นะตอนผมเดินผ่านโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งอยู่น่ะ เจ้านิโนะมิยะก็สารภาพรักกับเธอเลยครับ ไอ้หมอนี่มันไม่เห็นผมเป็นเพื่อนแล้วแน่ๆ แต่ก็ว่ามันไม่ได้หรอก ผมเองก็ไม่ได้ติดต่อไปเลยตั้งแต่จบ ม.ต้น…”
“โอโตเมะหรอ? ผมไม่ได้อยู่ฟังนะครับว่าเธอตอบหมอนั่นไปว่าไง ฮ่าๆๆ ก็มันกลัวนิครับเลยไม่กล้าฟัง แต่ว่านะ เมื่อวานตอนก่อนที่ผมจะหนีมาผมเห็นทั้งคู่กอดกันด้วยล่ะ เอาจริงๆ นะ ผมสงสัยว่าพวกนั้นจูบกันด้วยหรือเปล่านี่แหละ ถ้าเป็นงั้นจริงๆ นะ บอกเลยว่าพวกนั้นกล้ามาก…”
“ตอนนี้หรอครับ ผมเสียใจสุดๆ เลย แล้วก็โกรธด้วยมั้ง แต่ก็ยังอยากเจอเธออยู่นะครับ อยากรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นยังไง เธอเคยคิดแบบเดียวกับผมมั้ย? หรือทั้งหมดนั่นผมคิดไปเองฝ่ายเดียว…”
“ไม่กล้าซิครับ กลัวว่าถ้าเธอบอกว่าเธอไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยแล้วผมจะรับไม่ไหว แล้วก็กลัวว่าจะไม่พอใจจนเผลอทำเรื่องไม่ดีๆ กับเธอด้วย สำคัญเลยคือกลัวว่าตัวเองจะไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูดน่ะซิครับ…”
“ครับ ครั้งนี้ผมก็หนีมาอีกแล้ว เหมือนครั้งก่อนเลย ตอนยูจังก็ทีนึงแล้ว ตอนนี้ผมก็หนีโอโตเมะมาอีก พ่อกับแม่ว่าแบบนี้ผมยังพอจะมีโอกาสเป็นผู้ชายที่ดีได้อีกมั้ยครับ…”
“นั่นซินะครับ ขอผมหลบอยู่ที่นี่สักสัปดาห์หนึ่งแล้วกันนะครับ เดี๋ยวเปิดเรียนค่อยกลับไป…”
ในสุสานขนาดใหญ่ที่ไร้ซึ่งเงาของผู้คน ผมนั่งอยู่ต่อหน้าป้ายหลุมศพของพ่อกับแม่ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตในช่วงนี้ที่ผ่านมา แล้วก็หวังว่าพวกท่านคงจะไม่ยืนบ่นผมจากบนสวรรค์
—
วันคริสต์มาสผ่านพ้นไปแล้วและวันนี้ฉันต้องออกเดินทางไปร่วมงานแข่งขันกีฬาสัมพันธ์เบญจภาคีเครือข่ายกับทางโรงเรียนพร้อมด้วยคณะกรรมการสภานักเรียนบางส่วนและทีมนักกีฬาที่ร่วมเดินทางไปทำการแข่งขัน
กำหนดเดินทางคือตอน 9 โมงเช้า แต่ฉันที่แทบไม่ได้นอนออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง
ไม่ได้ตั้งใจอยากไปโรงเรียนเร็วๆ แต่อยากจะไปบ้านอาคิยามะต่างหาก
จนถึงตอนนี้แล้วฉันก็ยังติดต่ออาคิยามะไม่ได้ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เขาหายตัวไป เขาแค่ตั้งใจหลบหน้าฉัน ตั้งใจหลบกันจนแม้แต่บ้านเขาก็ยังไม่กลับมา
หรือบางทีเขาอาจจะกลับมาแล้วคลาดกับฉันนะ…
จะอย่างไหนก็ไม่รู้แหละแต่เมื่อวานฉันไปยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้านเขาจนเย็นย่ำก็ยังไม่เห็นเขาแม้แต่เงา ถ้าไม่ใช่เพราะแม่โทรตามให้กลับบ้าน ฉันก็ว่าจะรอดูตอนช่วงกลางคืนอีกหน่อยด้วย
ทำถึงขนาดนั้น แต่ฉันกลับยังไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ดังนั้นวันนี้ฉันจึงตั้งใจจะไปบ้านเขาแต่เช้า เผื่อว่าเขากลับมาเมื่อคืน เช้าๆ แบบนี้เขาคงจะยังไม่ออกไปไหน
ใช้เวลาเดินทางรวมๆ แล้วก็เกือบชั่วโมง ในที่สุดก็มายืนอยู่หน้าบ้านที่สามวันมานี้ฉันมายืนๆ นั่งๆ เฝ้ามันมาตลอด
ฉันลองกดกริ่งดูแต่ก็ไร้เสียงตอบรับ
ฉันมองรั้ว ทางเดิน ประตู สังเกตดูบริเวณหน้าบ้าน ยังคงมีหิมะเกาะอยู่ แสดงว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ไม่มีใครเข้าออกบ้านหลังนี้เลย
แล้วเขาไปไหน?
กำลังใจที่เมื่อเช้าปลุกปลอบตัวเองขึ้นมาลดลงฮวบฮาบจนในอกเย็นเยียบไม่ต่างจากหิมะที่อยู่รอบๆ ตัว
“นายไปอยู่ที่ไหน?”
“รุ่นพี่ไม่อยู่”
มีเสียงตอบคำถามที่ฉันพึมพำกลับมา พอหันกลับมาก็เจออันนะจังกำลังยืนมองฉันอยู่
“อ๊ะ… อันนะจัง รู้มั้ยว่าอาคิยามะไปไหน?”
“ฉันไม่รู้หรอก รุ่นพี่ไม่ยอมบอก รู้แค่ว่าที่เขาไปก็เพราะเธอ”
สายตาของอันนะแข็งกร้าว น้ำเสียงเองก็เย็นเยียบ เด็กสาวตรงหน้าไม่เหลือเค้าของรุ่นน้องผู้น่ารักที่ฉันเห็นเมื่อวันก่อน หรือนี่จะเป็นอีกบุคลิกที่พวกเซริพูดถึง
“อันนะจัง… เธอหมายความว่าไงที่ว่าเขาไปเพราะฉัน?”
“เธอรู้ตัวดีนิ ไม่น่าต้องให้ฉันบอกกระมั่ง”
คำพูดของอันนะจังกระตุ้นความทรงจำเมื่อวานซืนขึ้นมา
“ฉัน…”
“ฉันว่าเธออย่ามาหารุ่นพี่อีกเลย เสียเวลาเปล่า เขาจะไม่กลับมาอีกนาน”
“เธอรู้หรอว่าเขาไปไหน? เขาบอกเธองั้นหรอ?”
“รุ่นพี่ไม่ได้บอกฉันหรอก และถึงบอก ฉันก็ไม่คิดจะบอกเธอ”
“ทำไม…”
“เรื่องอะไรฉันต้องให้เธอไปทำร้ายเขาอีก? เธอไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าทำเขาเสียใจขนาดไหน? สภาพที่เหมือนหุ่นกระบอกเดินได้นั่นน่ะฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย”
“ฉันไม่ได้…”
“เธอกลับไปเถอะ ครั้งนี้ฉันจะถือว่าเธอไม่รู้อะไร แต่ฉันบอกกับเพื่อนๆ ของเธอไปแล้วว่าถ้าใครมาทำให้รุ่นพี่เสียใจ ฉันจะไม่ไว้หน้ามันคนนั้น เพราะงั้นถ้าเจอกันครั้งหน้าแล้วเธอยังมีหน้ามาขอความช่วยเหลือจากฉัน ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
ท่ามกลางสีขาวของหิมะที่กองสุมอยู่ตามต้นไม้ใบหญ้า บนหลังคาและพื้นถนน
อันนะที่ประกาศกร้าวแบบนั้นหันหลังให้ฉันแล้วเดินกลับเข้าบ้านของเธอไป ทิ้งฉันที่ยังได้ยินเสียงของเธอดังก้องอยู่ในหู
– “…เขาไปก็เพราะเธอ…” –
– “เธอรู้ตัวดีนิ…” –
– “…เธอไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าทำเขาเสียใจ…” –
– “…สภาพที่เหมือนหุ่นกระบอกเดินได้นั่นน่ะ…” –
ในสภาพที่หิมะสีขาวรายล้อมอยู่รอบตัว ไร้ผู้คน ไม่แว่วเสียงสรรพสัตว์ สองขาของฉันอ่อนแรงจนยืนไม่อยู่
ฉันฟุบลงนั่งยองตรงหน้าประตูรั้วของบ้านอาคิยามะ สองมือปิดหน้าของตัวเอง
ความรับรู้ที่เหลืออยู่ ณ ตอนนั้นคือเสียงสะท้อนของเสียงสะอื้นและความเปียกชื้นเปรอะเปื้อนของคราบน้ำตา