ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 291 หลินเหราไม่เชื่อตู้เหิง
บทที่ 291 หลินเหราไม่เชื่อตู้เหิง
บทที่ 291 หลินเหราไม่เชื่อตู้เหิง
ครั้นตู้เหิงกลับมาถึงจวน นางก็สั่งคนให้นำสีวาดภาพที่ตนออกไปซื้อกับลู่หัววันนี้ไปส่งให้บรรดาลูกอนุภรรยาทางฝั่งนั้นหนึ่งชุด แล้วสั่งให้คนเตรียมมื้อค่ำ…
นางรับประทานอาหารอย่างสบายใจ โดยไม่สนใจความรู้สึกหลังจากที่พวกนางได้รับสีวาดภาพเหล่านี้
อีกด้านหนึ่ง เหยาเฉายังอยู่ในศาลาว่าการ หากแต่เหยาซูและหลินเหราพากันกลับจวนเซี่ยแล้ว
ระหว่างทางกลับ หลินเหราเห็นเหยาซูมีท่าทางอึดอัดไม่มีความสุข จึงจับมือของนางมากุมไว้อย่างอดไม่ได้ “เป็นอะไรไปหรือ? มีเรื่องกลุ้มใจอะไร?”
เหยาซูถอนหายใจยาว ๆ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางเอ่ยเสียงต่ำ “วันนี้มาศาลาว่าการทั้งทีกลับไม่ได้อะไรสักอย่างเดียว ในใจข้าจึงไม่สบอารมณ์”
หลินเหราเดาออกว่าต้องเป็นเพราะเรื่องนี้ จึงยังคงกุมมือที่อ่อนนุ่มของเหยาซูไว้ พร้อมกับปลอบโยนด้วยเสียงเคร่งขรึม “อาซู เจ้าวางใจเถอะ ข้ามีแผนการในใจแล้ว”
เหยาซูตอบ ‘อื้อ’ เบา ๆ ฝีเท้าการเดินยังคงหนักแน่น
ทันใดนั้น นางก็หันกลับไปมองหลินเหรา และเอ่ยถาม “แม่นางตู้ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนะ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
หลินเหราส่ายหน้า “เมื่อครู่คงไม่สะดวกพูดต่อหน้าข้าหลวงสวี เรื่องนี้ยังมีลับลมคมในอีกไม่น้อย”
เดิมทีเหยาซูคิดว่าตราบใดที่ตู้เหิงยังไม่ยอมรับ ก็ยากจะสืบหาต่อ ครั้นได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ดวงตาคู่งามก็พลันเปล่งประกาย
ในใจของหญิงสาวมีเพียงความคิดเดียว ‘เขาไม่เชื่อใจตู้เหิง!’
นางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในใจ “ท่านตั้งใจจะทำสิ่งใด?”
ฝูงชนเดินกันขวักไขว่อยู่บนถนน แต่สายตาของหลินเหรากลับนิ่งสงบ ยังคงกุมมือของเหยาซูเดินฝ่ากลุ่มคนออกไปพลางพูดกับนางว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่นอน ตราบใดที่นางเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ข้าจะต้องตามสืบให้จงได้”
เมื่อชายหนุ่มเห็นเหยาซูไม่พูดไม่จา จึงมองเข้าไปในดวงตาของนาง แล้วพูดเสริมว่า “อาซูเจ้าวางใจเถิด ไม่ว่าเรื่องนี้เจ้ากรมอาลักษณ์จะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ข้าจะไม่มีทางให้ผู้บงการอยู่เบื้องหลังลอยนวลเด็ดขาด”
เสียงของเขายังคงทรงพลัง ความเย็นชาทางสีหน้านั้น ทำให้เหยาซูสัมผัสได้ถึงความเรียบง่ายที่ห่างหายไปเนิ่นนาน
นางคลี่ยิ้ม พยักหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าจะเชื่อใจท่าน”
แม้จะยกเรื่องนี้ให้หลินเหราไปสืบหาแล้ว นางก็ยังต้องเฝ้าระวังในทุกการเคลื่อนไหวของตู้เหิง ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายอับอายจนกลายเป็นความโกรธแค้น และทำเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่อยู่บนถนนใหญ่ของเมืองหลวง บุรุษรูปงามกับสตรีโฉมสะคราญที่ดูเหมาะสมกัน พาให้คนอื่นที่พบเห็นต่างอิจฉาตาร้อน
“จริงสิ”
จู่ ๆ เหยาซูก็นึกถึงเรื่องบ้าน จึงเอ่ยถาม “หลายวันที่ท่านอยู่ในเมืองหลวง มีบ้านที่เหมาะสมกับเราแล้วใช่หรือไม่?”
หลินเหราส่ายหน้า “ยังไม่มีที่อยู่แห่งใดเหมาะสมกับเราเลย”
มุมปากของเหยาซูกระตุกเล็กน้อย กวัดแกว่งมือขวาของนางที่ถูกหลินเหรากุมไปมา พลางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าเช่นนั้น สองสามวันนี้เราไปหาบ้านในเมืองหลวงด้วยกันไหม! จะซื้อหรือจะเช่าก็ได้ ขอแค่เหมาะสมก็พอ…”
หลินเหราย่อมไม่ปฏิเสธ นัยน์ตาที่ดูเย็นชายามมองเหยาซูนั้นดูอ่อนโยนลงทันตา พร้อมกับตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เยี่ยม ข้าจะไปดูกับเจ้า”
ทั้งสองคนไร้ความกังวล เดินจูงมือกันและกันกลับจวนเซี่ย…
เมื่อมาถึงจวนเซี่ย ทั้งสองเห็นรถม้าที่ดูสูงใหญ่คันหนึ่งจอดอยู่หน้าจวน โดยมีเซี่ยหมิงยืนรออยู่ด้านข้าง
เซี่ยเชียนในชุดยาวสีดำกำลังเดินลงมาจากรถม้าพอดี
หัวคิ้วบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้ขมวดเข้าหากันด้วยความเคยชิน บางทีอาจเพราะอดหลับอดนอนมาหลายวัน จึงเผยให้เห็นถึงรอยหมองคล้ำใต้ตาจาง ๆ
เมื่อเจอกับสองสามีภรรยาตระกูลหลินโดยบังเอิญ เซี่ยเชียนจึงหยุดก้าวเดิน รอทั้งสองเดินขึ้นหน้า
เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงตรงหน้า เหยาซูจึงขานเรียกอีกฝ่ายตามหลินเหรา “ท่านน้า”
เซี่ยเชียนมีสีหน้าเรียบเฉย แค่พยักหน้าเล็กน้อยให้กับเหยาซู บ่งบอกให้ทั้งสองคนตามมา ส่วนเขาก็เดินนำเข้าไปในจวน
เนื่องจากรู้ว่าเซี่ยเชียนชอบความสงบ เขาไม่กลับจวนสองสามวัน แล้วจู่ ๆ ก็กลับมา เหล่าคนใช้ในจวนเซี่ยแทบจะกลั้นหายใจ คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
เรื่องนี้ทำให้เหยาซูไม่เข้าใจจริง ๆ
เมื่อวานนางเห็นฝูลี่ สาวใช้คนอื่น ๆ และเด็กรับใช้ที่อายุยังไม่มากนักในจวน ยังพูดคุยกันเจื้อยแจ้วอยู่เลย ไฉนเมื่อเจอกับเซี่ยเชียน ทุกคนต่างพากันเงียบหงอยราวกับนกกระทาเช่นนี้?
เซี่ยเชียนทำให้ทุกคนหวาดกลัวถึงเพียงนั้นเชียว?
เมื่อเข้ามาในจวนแล้ว เซี่ยเชียนก็ออกคำสั่งกับเซี่ยหมิงสองสามอย่างด้วยท่าทีนิ่งสงบ พูดคุยกับสองสามีภรรยาเพียงสั้น ๆ จากนั้นก็ไปล้างหน้า
เหยาซูเดินตามหลินเหรากลับห้องรับรอง
อาจื้อไปห้องหนังสือแล้ว ฝูหยาพาอาซือและซานเป่าออกไปดูปลาที่ศาลาด้านนอก
เด็ก ๆ ไม่อยู่ เหยาซูจึงนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ ก่อนพูดกับหลินเหราเบา ๆ ว่า “ข้ารู้ว่าท่านน้าของท่านมีนิสัยเย็นชา แต่คาดไม่ถึงว่าจะพาให้ในจวนเป็นเช่นนี้ไปด้วย…”
หลินเหราสังเกตเห็นความประหลาดใจของนาง จึงพยักหน้า “เขาก็เป็นเช่นนี้ ต่อหน้าฝ่าบาท ก็ไม่พูดสิ่งใดไปมากกว่านี้”
เหยาซูทอดถอนใจ และพูดกับหลินเหราว่า “ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงไม่ว่าอะไร แต่นี้เป็นท่านน้าแท้ ๆ ของท่านนะ ครอบครัวฝ่ายแม่ของท่านก็เหลืออยู่เพียงผู้เดียว เขาเป็นเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นที่พบเจอทุกข์ใจเสียเปล่า ๆ ”
หลินเหราตอบ ‘อื้อ’ คำเดียว
กระทั่งได้ยินเหยาซูพูดต่อ “เขาไม่วางแผนจะแต่งงานบ้างเลยหรือ? เด็ก ๆ ในจวนก็ดูดีกันไม่ใช่น้อย? ไม่เห็นหรือว่าฝูลี่และสาวใช้คนอื่นเล่นกับอาจื้อสนุกมากเพียงใด? ทันทีที่เขากลับมา บรรยากาศทั่วทั้งจวนก็ค่อย ๆ เงียบเหงาลง นิสัยของคนผู้นี้มีอิทธิพลมากจริง ๆ”
สำหรับหลินเหรา ยากนักที่จะได้เห็นนางมีความเป็นกังวลเฉกเช่นแม่บ้านตัวน้อย จึงรู้สึกว่าภรรยาในวันนี้ค่อนข้างแตกต่างจากปกติเป็นพิเศษ
เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะแปดเซียนกับนาง แล้วเริ่มเปิดประเด็น “ได้ยินว่าเมื่อครั้งท่านน้ายังวัยเยาว์ มีการหมั้นหมายกับเด็กสาวคนหนึ่ง ครอบครัวนางมีแซ่ว่าเซวีย เพียงแต่ในตอนแรกเริ่มที่ตระกูลเซี่ยถูกเนรเทศนั้น ตระกูลเซวียก็พังพินาศด้วย เรื่องการหมั้นหมายจึงถูกยกเลิก”
เหยาซูขมวดคิ้ว “ไม่มีการหมั้นหมาย ก็เลยไม่แต่งงานอย่างนั้นสิ? ไฉนถึงใช้เหตุผลนี้…”
หลินเหราส่งเสียงถอนหายใจก่อนพูดว่า “แต่ข้าคิดว่าท่านน้าไม่ชอบความวุ่นวายมากกว่า”
เหยาซูทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง “เอาเถอะ! ต่อไปเราก็เลี้ยงดูเขายามแก่เฒ่าแล้วกัน”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะกุมมือเล็ก ๆ ที่ขาวเนียนและนุ่มนวลของเหยาซูโดยไม่รู้ตัว และพูดเสียงแผ่วเบาว่า “อาซู ข้าชอบที่เจ้าพูดเช่นนี้”
นัยน์ดวงตาล้ำลึกของเขาแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา มันรุนแรงจนทำให้รู้สึกดีใจไม่น้อย
เหยาซูยิ้ม “ข้าพูดสิ่งใด?”
หลินเหรามองเหยาซูอย่างไม่ละสายตา น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำราวกับเสียงเครื่องดนตรีชั้นเลิศได้ดังเข้ามาในหูของเหยาซู “เจ้าพูดว่า เราก็เลี้ยงดูเขายามแก่เฒ่าด้วยกัน”
ดวงตาดอกท้อเรียวยาวที่ดูสุกสกาวของเหยาซูคู่นั้นเปล่งประกายความอ่อนโยนออกมา พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า “ขนาดท่านอยู่ในเมืองหลวงก็ยังคะนึงหาท่านพ่อและท่านแม่ของข้า ทั้งยังสั่งคนให้ไปส่งของที่นั่น…สำหรับครอบครัวของท่านแล้วก็เหมือนกับครอบครัวของข้า เราคือครอบครัวเดียวกัน”
หลินเหรามักจะส่งสิ่งของประจำท้องถิ่นในเมืองหลวงไปให้ตระกูลเหยาไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าเหยาซูคงไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อได้ยินนางพูดออกมาตรง ๆ จึงดีใจอยู่ภายในอย่างไม่อาจควบคุมได้
สายตาของชายหนุ่มดูอ่อนโยนลง ก่อนจะพูดเสียงต่ำ “อื้อ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ไม่นานก็ถึงเวลากินข้าว เซี่ยหมิงมาเชิญด้วยตัวเอง
เขาพูดด้วยรอยยิ้มกับเหยาซู “แม้นายท่านจะไม่ชอบพูดคุย เรื่องทางโลกก็ไม่ค่อยจะข้องเกี่ยว แต่วันนี้กลับตั้งใจให้ข้ามาเชิญพวกท่านไปรับประทานอาหารในห้องโถงกลางด้านหน้า ให้ข้ารับหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของพวกท่าน ฮูหยินหลินเก็บข้าวของ พาเด็ก ๆ มาอยู่ด้วยกันแล้วใช่หรือไม่?”
เซี่ยหมิงคือคนในวัง แม้ว่าจะเป็นพ่อบ้านในจวนเซี่ย แต่สถานะกลับไม่ธรรมดา
เหยาซูพยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยความเกรงใจว่า “แน่นอน คงต้องรบกวนท่านอีกสักรอบแล้ว”
พ่อบ้านคลี่ยิ้ม รีบกล่าวปฏิเสธ ‘มิกล้า’ แล้วพูดกับหลินเหราอีกสองสามประโยค ก่อนจะถอยอออกไป
เพราะช่วงค่ำจะต้องไปรับประทานอาหารในห้องโถงด้านหน้า เหยาซูจึงสั่งให้คนรับใช้พาเด็ก ๆ กลับมา
เมื่ออาซือได้ยินว่าเซี่ยเชียนกลับมาแล้วจึงกล่าวด้วยความดีใจ “ท่านแม่ ท่านแม่ เรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ! ข้าไม่ได้เจอกับท่านปู่เซี่ยมานานแล้ว!”
เหยาซูกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับซานเป่า ได้ยินดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ “เหตุใดถึงดีใจเช่นนี้?”
ใบหน้ากลมดุจซาลาเปาของอาซือแต้มไปด้วยรอยยิ้ม พลางกล่าวอย่างจริงจัง “ตัวอักษรที่ท่านพี่เขียนนั้นดีขึ้นมาก การเรียนก็ก้าวหน้ากว่าแต่ก่อน ท่านพี่พูดกับข้าว่า ตราบใดที่ท่านปู่เซี่ยอยู่ในจวน คงได้สอนเขาทุกวันแน่”
เหยาซูตื่นเต้นในใจ ก่อนจะมองไปยังอาจื้อ “ท่านปู่เซี่ยมักจะสอนเจ้าเสมอเลยหรือ?”
อาจื้อพยักหน้า และตอบรับ “ท่านปู่เซี่ยยุ่งมาก แต่เมื่อเขามีเวลาว่าง ก็มักจะถามความรู้ของข้า เป็นห่วงความเป็นอยู่ของข้าเสมอ”
เหยาซูตอบ ‘อือ’ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าของซานเป่าเรียบร้อยแล้ว ก็ตกอยู่ในห้วงความคิด…
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่เหราไม่ได้กินหญ้านะนังตู้ ทำเขาเจ็บขนาดนี้ระวังโดนเขาเล่นงานไม่เหลือซาก
ที่ท่านปู่เซี่ยยังไม่แต่งงานก็เพราะมีสหายรู้ใจอยู่แล้วหรือเปล่าคะ ตามคำกล่าวของบรรดาจอมยุทธ์ที่ว่ามีสหายรู้ใจเพียงหนึ่งก็นับว่าพอแล้ว สภาพแบบนี้กลับมาจวนนี่แสดงว่าเฝ้าไข้เขาจนไม่เป็นอันนอนเลยแน่ๆ /กำไม้พาย/
ไหหม่า(海馬)