ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 225 เซี่ยเชียนมากราบไหว้พี่สาวที่จากไป
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]
- บทที่ 225 เซี่ยเชียนมากราบไหว้พี่สาวที่จากไป
บทที่ 225 เซี่ยเชียนมากราบไหว้พี่สาวที่จากไป
ใบหน้าของเจิ้งอันแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างมิอาจปิดบัง เขากระแอมไอหนึ่งครั้งก่อนพูดว่า “หัวหน้าเซี่ยออกจากเมืองหลวงและตรงมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อนำพระราชสาส์นมาส่งให้กับจวนตรวจการ! ซึ่งในพระราชสาส์นนั้นได้เขียนชื่นชมถึงเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหายหลินและพี่รอง ทั้งยังได้รับคำชมเชยและรางวัลพิเศษ! น้องอาซู เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าในพระราชสาส์นนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร?”
ท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาหยอกเย้าเหยาซูของเขา ทำให้นางต้องเม้มปากหัวเราะเบา ๆ “เขียนว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
เจิ้งอันพูดเสียงดังว่า “การปราบโจรภูเขาเฮยหู่ในครานี้ สมาชิกจวนตรวจการทุกคนได้รับชัยชนะกลับมา ทั้งยังสังหารและจับโจรมาเป็นเชลยได้อีกหนึ่งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเอ็ดคน! สินทรัพย์ทั้งหมดที่ยึดมาได้ทางจวนตรวจการจะเป็นฝ่ายจัดการ และจะมอบรางวัลให้แก่ทหารที่มีคุณงามความดี หลินเหรา เหยาเฉา ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางบุกเข้าไปปราบโจรภูเขา! ได้รางวัลเป็นเงินเนื้อดีกว่าร้อยตำลึง จะต้องเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”
ในยุคสมัยนี้ เงินตำลึงและตำแหน่งข้าราชการล้วนไม่ใช่สิ่งที่หาได้ยาก แต่การเข้าเมืองในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ของฝ่าบาทนั้น มั่นใจได้เลยว่าพวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
เหยาซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในโลกหล้าแล้ว”
แววดีใจที่แสดงออกมาทางสีหน้าของเจิ้งอันและเด็กหนุ่มผู้ส่งข่าวจากจวนตรวจการเหล่านั้นยังไม่จางหาย เหยาซูเชิญพวกเขาเข้ามาดื่มน้ำชาในเรือน แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับกล่าวลาด้วยเสียงดังฟังชัด
หนึ่งในนั้นได้พูดกับเหยาซูว่า “พี่สะใภ้ เราต้องไปยังหมู่บ้านตระกูลเหยาสักรอบ เพื่อนำข่าวดีนี้ไปแจ้งต่อทุกคนในตระกูลเหยา ขอไม่รบกวนดีกว่า”
เหยาซูจึงยิ้มและพูดว่า “ลำบากทุกคนแล้ว”
หลังจากที่ส่งทุกคนกลับไปแล้ว เด็กทั้งสองที่อยู่ข้างกายก็ได้เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ท่านแม่ ถ้าเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว จะได้เจอองค์จักรพรรดิใช่หรือไม่? แล้วองค์จักรพรรดิมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร? ท่านพ่อกับท่านลุงจะได้พูดคุยกับเขาใช่หรือไม่?”
เหยาซูปวดหัวกับเสียงโหวกเหวกเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นนางกลับไม่ค่อยได้เห็นเด็ก ๆ มีความสุขขนาดนี้ จึงอดยิ้มไม่ได้ “ใช่ ท่านพ่อและท่านลุงจะได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ และได้พูดคุยกับพระองค์ แต่องค์จักรพรรดิจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น แม่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนจึงไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ทำได้แค่รอให้ท่านพ่อและท่านลุงของพวกเจ้ากลับมาเล่าให้พวกเจ้าฟังเอง”
อาจื้อและอาซือทั้งอยากรู้ ทั้งตื่นเต้น จนอยากจะให้หลินเหราและเหยาเฉากลับมาจากเมืองหลวงจนแทบทนไม่ไหว จะได้ฟังพวกเขาเล่าเรื่องที่ได้พบเห็นและได้ยินระหว่างทาง
เด็กทั้งสองคนส่งเสียงเจื้อยแจ้วกันเป็นครึ่งวัน เหยาซูจึงไล่พวกเขาไปหาเหยาเอ้อหลาง “พี่รองของพวกเจ้าน่าจะยังนอนอยู่ รีบไปปลุกเขาลุกจากเตียงแล้วเล่าข่าวดีนี้ให้เขาฟังสิ!”
“ได้เลยขอรับ/เจ้าค่ะ!”
เด็ก ๆ พากันพยักหน้าหงึกหงักและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เหยาซูต้องปวดหัวหนักกว่าเดิมกับเสียงโวยวายเหล่านี้ตั้งแต่เช้า กระทั่งตอนนี้เพิ่งจะสงบลง
หญิงสาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะ รินน้ำชาจอกหนึ่งให้ตัวเองพลางครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
หญิงสาวจดจำได้อย่างแม่นยำว่าในนิยายต้นฉบับไม่มีพระราชโองการเช่นนี้ออกมา
หลินเหราได้รับรางวัลเพราะปราบโจรได้ก็จริง แต่ตอนนั้นเป็นเพราะจวนตรวจการเข้ารายงานตรงต่อเมืองหลวง หลินเหราก็คือหนึ่งในรายชื่อที่ผู้ตรวจการยกย่องคุณงามความดีในสาส์นจากราชสำนัก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาและเหยาเฉาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทกันเพียงนั้น นิยายจะบรรยายแค่มุมมองของตัวละครหลักอย่างนางเอก ย่อมไม่มีทางเอ่ยถึงเหยาเฉาแน่นอน
สิ่งสำคัญที่สุดคือองค์จักรพรรดิในนิยายต้นฉบับไม่เคยมีพระราชโองการพระราชทานรางวัลกับทั้งสองคน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเข้าเฝ้าแต่อย่างใด
ตอนนี้ทั้งสองคนกลับได้เดินทางไปเมืองหลวง หมายความว่าอนาคตของพวกเขาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่?
ความคิดของเหยาซูจะเป็นอย่างไรขอไม่เอ่ยถึงชั่วคราว เพราะพระราชสาส์นที่เซี่ยเชียนนำมาให้ด้วยตนเองตั้งแต่เช้าทำให้ในจวนตรวจการเกิดความฮือฮากันใหญ่ ไม่มีหยุดพักเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่เซี่ยเชียนนั้นดำรงตำแหน่งข้าราชการขั้นสูงและเย็นชา จึงไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนเขา หลินเหราเองก็ไม่ชอบพูดจา ความกระตือรือร้นของทุกคนในจวนตรวจการจึงตกมาสู่เหยาเฉาโดยปริยาย
แม้แต่เหยาเฉาที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถจัดการได้อย่างราบรื่น กลับไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้ชั่วคราว
เฉินจิ่นพูดกลั้วหัวเราะ“พี่รอง วันข้างหน้าเราคงเรียกพี่ว่าพี่รองไม่ได้อีกแล้ว ต้องเรียกพี่ด้วยความเคารพว่าหัวหน้าเหยา!”
เหยาเฉายิ้ม จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ ก่อนจะหัวเราะหยอกเย้า “พูดอะไรอย่างนั้นเล่า ไปเมืองหลวงรอบเดียว กลับมาจะไม่ใช่พี่น้องกันเลยหรือ?”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ เซวียชางก็ตาแดงก่ำก่อนใคร “พี่รอง เหล่าพี่น้องจะนับถือพี่เป็นพี่รองตลอดไป”
ปกติเซวียชางจะได้รับการดูแลจากเหยาเฉามากที่สุด เขาไม่ได้สุขุมเท่าเจิ้งอัน ไม่เฉลียวฉลาดเท่าเฉินจิ่น แต่เหยาเฉามักจะพาเขาไปปฏิบัติภารกิจอย่างสุดกำลังเสมอ
บางทีอาจเพราะเหยาเฉาไม่รู้สึกอะไร แต่ในใจของเซวียชาง เขานับถือเหยาเฉาเป็นพี่น้องที่ยอมตายแทนกันได้
ทุกคนในจวนตรวจการล้วนรู้ว่าหลินเหราและเหยาเฉาไม่ใช่ผู้ที่มีความทะเยอทะยาน แต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริง ๆ ในก้นบึ้งหัวใจของทุกคนต่างก็รู้สึกไม่สบายใจไม่มากก็น้อย
การที่หลินเหราและเหยาเฉาได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือพวกเขาจะต้องอยู่ในเมืองหลวง
เหยาเฉานั้นเฉลียวฉลาด อ่านความคิดของทุกคนได้ในชั่วพริบตาเดียว จึงทำได้แค่ยิ้มและพูดปลอบใจว่า “การเข้าเมืองหลวงของข้าและอาเหราในครั้งนี้ คือการนำรางวัลมาสู่พี่น้องทุกคน เหตุใดถึงต้องเสียใจด้วยเล่า? การปราบโจรภูเขาในครานี้ทุกคนต้องลำบากแทบเอาชีวิตไม่รอด สมควรต้องให้ฝ่าบาทได้รับรู้”
เมื่อทุกคนเห็นท่าทางจริงใจของเขา ก็พากันยิ้มออกมา
เฉินจิ่นผู้มีนิสัยมองโลกในแง่ดี หลังจากเสียใจได้ไม่นานก็รีบกลับมาหัวเราะอย่างมีความสุขอย่างเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะพูดกับเหยาเฉาว่า “พี่รอง! ตลอดชีวิตนี้พี่น้องทหารของเราไม่เคยมีบุญได้เห็นรางวัลพระราชทานขององค์จักรพรรดิ รอให้พี่และสหายหลินกลับมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เราได้ฟังนะขอรับ!”
ใบหน้าที่ขาวเนียนดุจหยกขาวของเหยาเฉาเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา ดวงตาสีดำขลับราวกับตัวหมากสีดำได้เปล่งประกายระยิบระยับ “นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
อีกด้านหนึ่งเซี่ยเชียนและท่านผู้ตรวจการได้พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นก็กล่าวลา ผู้ตรวจการจึงพูดกับหลินเหราว่า “อาเหราตามเขาไป ดูแลจัดการหัวหน้าเซี่ยให้ดี”
หลินเหราพยักหน้าตอบรับ
“สองวันนี้ก็น่าจะเดินทางได้แล้วกระมัง?” หัวหน้าจวนตรวจการถาม
เซี่ยเชียนพูดขึ้น “เราจะเดินทางกันพรุ่งนี้”
หัวหน้าจวนตรวจการตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าและพูดว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง ควรเดินทางโดยเร็ว จะล่าช้าไม่ได้”
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ การที่ขุนนางจะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิได้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น หากได้รับพระราชโองการจะต้องเคลื่อนไหวทันที นี่คือกฎระเบียบ
เพียงแต่เซี่ยเชียนนั้นมีปณิธานในใจว่าการเดินทางในครานี้เขามีเรื่องส่วนตัวต้องไปจัดการ
องค์จักรพรรดิมีความไว้วางใจและพึ่งพาเขามากที่สุด ย่อมไม่มีทางโทษกล่าวเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
รอจนกระทั่งหลินเหราพาเซี่ยเชียนออกจากห้องประชุม จึงเอ่ยถามเขาว่า “หัวหน้าเซี่ยอยากพักห้องรับรองแขกหรือไม่ขอรับ?”
เซี่ยเชียนหยุดชะงักในทันที จากนั้นก็มองหลินเหราแวบหนึ่ง สายตาคู่นั้นได้ฉายแววเย็นชาเช่นกัน “เจ้าเรียกข้าว่าหัวหน้าเซี่ยงั้นหรือ?”
เค้าโครงดวงตาของทั้งสองคนนั้นคล้ายคลึงกันมาก แม้แต่ความเย็นชาภายในก็ยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
เพียงแต่ความเย็นชาของเซี่ยเชียนนั้นจะเอนเอียงไปทางการดูถูกที่เขามีต่อโลกภายนอก ส่วนความเย็นชาของหลินเหรานั้นจะแสดงออกเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างเขากับสิ่งรอบตัว
สุดท้ายก็ยังเป็นหลินเหราที่เป็นฝ่ายถอยก่อนหนึ่งก้าว และขานเรียกด้วยเสียงเบาว่า “ท่านน้า”
การขานเรียกเพียงสองพยางค์นี้ทำให้หัวใจที่เงียบเหงามาเนิ่นนานของเซี่ยเชียนเกิดริ้วกระเพื่อมไหวไม่น้อย แต่มันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวอันแสนเบาบางเท่านั้น ไม่นานมันก็หายวับไป
เขาพยักหน้าเพื่อตอบรับ ก่อนละสายตากลับมา
เซี่ยเชียนรับของที่ตัวเองพกติดตัวมาจากทหารประจำจวนที่อยู่ข้างกาย นั่นคือสัมภาระใบหนึ่ง ที่ทั้งเล็กและเบามาก
หลินเหราจึงเอ่ยถามว่า “ท่านน้าต้องการพักในจวนตรวจการหรือไม่ขอรับ?”
กลับเห็นเซี่ยเชียนส่ายหน้า “ทหารที่ฝ่าบาทส่งมาได้พากันกลับเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เราจะไปยังหมู่บ้านตระกูลหลิน ตกกลางคืนข้าจะพักอ้างแรมในศาลาพักม้า*[1]”
[1] ในสมัยโบราณมีความสำคัญอย่างมาก ไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาลาพักม้า แต่มีความสำคัญด้านการส่งข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทำศึกสงคราม
คราวที่แล้วที่เข้าพักห้องรับรองของจวนตรวจการ ในหน่วยมีแต่ทหารที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น จึงมักจะมีคนเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องรับรองเสมอ
เซี่ยเชียนมักจะคุ้นชินกับความเงียบสงบ ไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดโดยไม่จำเป็น การเดินทางมาเมืองชิงถงในคราวนี้จึงตั้งใจจะไปพักในโรงเตี๊ยม
หลินเหราพยักหน้า ไม่ได้ประหลาดใจกับแผนการของเขา
เมื่อคนสองคนที่ไม่ชอบพูดคุยมาอยู่ด้วยกัน ผลลัพธ์ก็คือต่อให้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปนานเพียงใด ก็เหมือนกับตนเองเดินอยู่บนถนนเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
ไม่แปลกใจที่ทั้งสองคนจะเป็นน้าหลานกัน หลินเหราและเซี่ยเชียนต่างก็คุ้นชินกับบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบสงัดเช่นนี้
หลินเหราจูงม้าสองตัวออกมาจากลานด้านหลัง เขาเป็นผู้นำทางอยู่ด้านหน้า ทั้งสองคนขี่ม้ากันคนละตัว จากนั้นก็ตรงไปยังหมู่บ้านตระกูลหลิน
หมู่บ้านตระกูลหลินอยู่ไม่ไกลจากในเมืองนัก พวกเขาสองคนเร่งฝีเท้าม้าให้เร็วขึ้น ไม่นานก็มาถึงหน้าหมู่บ้าน หลินเหราไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใด เขาพาเซี่ยเชียนตรงไปยังภูเขาด้านหลังทันที
ในระหว่างที่กำลังควบม้าเดินอยู่บนทางขึ้นเขานั้น เนื่องจากเมื่อคืนมีฝนตกเล็กน้อย ทำให้ดินโคลนริมทางเกิดการแตกตัวจากก้อนดินเป็นจำนวนมาก แม้ว่าพวกเขาจะควบม้าในระดับที่รวดเร็วแต่ก็ไม่เกิดฝุ่นละอองฟุ้งไปทั่ว
หลังจากหักเลี้ยวตรงหัวมุมสองรอบ หลินเหราก็ดึงเชือกบังเหียนและพูดกับเซี่ยเชียนว่า “ถึงแล้วขอรับ”
เซี่ยเชียนจึงลงจากม้า และเดินตามหลินเหราไปบนเส้นทางเล็ก ๆ ที่มีไว้สำหรับคนเดินเส้นหนึ่งอย่างช้า ๆ
ต้นไม้ใบหญ้าทั้งสองข้างทางนั้นเขียวชอุ่ม แผ่กิ่งก้านสาขาอย่างมีชีวิตชีวาในช่วงฤดูวสันต์ คล้ายกับว่าที่นี่ไม่เคยมีการฝังคนตายอย่างไรอย่างนั้น อันเนื่องมาจากพลังชีพที่สดใสชัดเจน
ครั้นเห็นหลินเหราหยุดก้าวเดิน เซี่ยเชียนจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ที่นี่งั้นหรีอ?”
หลินเหราพาเขามายังข้างเนินดินแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านหน้าของเนินดินนั้นมีร่องรอยการเผากระดาษ เห็นได้ชัดว่ามีลูกหลานเข้ามากราบไหว้เมื่อไม่นานมานี้
เพียงแต่ดินที่อยู่ตรงหน้าของเซี่ยเชียนไม่มีรัศมีความโค้งแต่อย่างใด แม้แต่หญ้าป่าก็พากันขึ้นสูง ไม่เคยมีใครเข้ามาตัดแต่ง ไม่ต่างอะไรกับหญ้าที่ขึ้นอยู่โดยรอบ
……………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาเหรากับพี่เฉาจะเข้าเมืองหลวงแล้ว จะมีอะไรเกิดขึ้นในวันข้างหน้ากันนะ
ฮวงซุ้ยนี้เป็นของแม่แท้ๆ ของอาเหราแน่เลย
ไหหม่า(海馬)