ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 357 เป็นปู่บุญธรรมที่สอนมาดี
ตอนที่ 357 เป็นปู่บุญธรรมที่สอนมาดี
ใช่แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นตั้งใจจะทําให้พื้นที่ของพวกเขาเป็นสีเขียวทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์มากมาย ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่มีเฉพาะพื้นที่ตรงนี้ในหมู่บ้านของเขาเท่านั้นที่เป็นสีเขียว
ที่สําคัญที่สุดคือ หากมีสวนผลไม้มากขึ้นในอนาคต พวกเขาก็สามารถทําสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น เช่นการพัฒนาพื้นที่ของพวกเขาให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว
แต่ในขณะนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงต้นแบบเล็ก ๆ และไม่ง่ายนักที่จะทำให้สำเร็จ
ต้าจวินถามเขาว่าต้องการม้ากี่ตัว
“ลองเลี้ยงสัก 5 ตัวดูก่อน” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
หากเลี้ยง 5 ตัวนี้ได้ดี อนาคตค่อยเลี้ยงเพิ่ม และมีแผนจะเปิดเป็นฟาร์มม้า
“ซื้อม้าตัวเล็กนะ ม้าตัวใหญ่ไม่เอา” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
“ได้” ต้าจวินตอบ
เรื่องที่เหลือก็ให้ต้าจวินช่วยติดต่อ ซึ่งก็ได้รับการติดต่อกลับในเวลาไม่นาน จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงวางแผนจะจัดการเรื่องที่เหลือต่อด้วยตนเอง
เขาต้องไปซื้อม้าถึงมณฑลมองโกเลียใน เนื่องจากละแวกใกล้ ๆ ในตอนนี้ไม่มีม้าขายเลยสักตัว
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงกลับมาพูดคุยกับซูตานหง “การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนเลยล่ะครับ”
“งั้นคุณไปรับแม่ฉันมาช่วยเถอะค่ะ” ซูตานหงพูดอย่างไม่สนใจในสิ่งที่สามีจะทำ
ช่วงนี้เธอยุ่งนิดหน่อย และใกล้จะถึงช่วงปลายฤดูของสตรอว์เบอร์รี่แล้ว ซึ่งสตรอว์เบอร์รี่ในช่วงปลายฤดูนั้นมีรสไม่ค่อยหวานและลูกไม่ใหญ่ เธอจึงสั่งให้จวี้จื่อกับต้าจื้อและคนอื่น ๆ ช่วยเก็บมาให้ ซึ่งสตรอว์เบอร์รี่ส่วนนี้ไม่ได้มีไว้ขาย แต่จะเอามาทำเป็นสตรอว์เบอร์รี่แช่อิ่มแทน
สตรอว์เบอร์รี่และน้ำผึ้งพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว จะขาดก็แต่แรงงานนิดหน่อย ดังนั้นเรียกแม่ของเธอมาก็ดีแล้ว
จี้เจี้ยนอวิ๋นรับคําเช่นกัน
ในวันนั้นเองเขาจึงไปรับแม่ยายมาอยู่ที่บ้าน แถมยังขนเสื้อผ้าของนางมาด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกสักระยะ
เมื่อเจี้ยนอวิ๋นออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น คุณแม่ซูจึงพูดกับซูตานหง “ทำไมเจี้ยนอวิ๋นถึงอยากซื้อม้าอีกล่ะ? นี่เขากะจะเปิดฟาร์มม้าเหรอ?”
“ฟาร์มม้าอะไรกันล่ะคะ เขาแค่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้จนต้องอยากหาอะไรทำเพิ่ม” ซูตานหงพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วแกว่ายังไง?” คุณแม่ซูถาม
“เขาบอกว่าบนภูเขามีวัว มีแกะแล้ว เหลือแค่ม้าที่ยังไม่มี เขาเลยอยากเลี้ยงม้า ฉันบอกแล้วเขาก็ไม่ฟัง ไม่ต้องสนใจเขาหรอกค่ะ” ซูตานหงกล่าว
คุณแม่ซูยิ้ม “เป็นพ่อของเด็กตั้งสามคนแล้ว ทําไมถึงยังทำตัวเป็นเด็กอยู่เลยล่ะ?”
“เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้แหละค่ะ อย่าไปสนใจเขาเลย แม่ทำผลไม้แช่อิ่มพวกนี้ให้ฉันหน่อยสิคะ ขายได้เงินเมื่อไหร่ ฉันจะแบ่งให้แม่ด้วย” ซูตานหงพูด
“เอาเถอะ เก็บเงินไว้ซื้อนมผงให้หลานชายฉันกลับมาดื่ม 2 ถึง 3 ขวดก็ดีเหมือนกัน” คุณแม่ซูไม่สนใจ เมื่อได้พูดคุยกับลูกสาวของตัวเองแล้ว แน่นอนว่านางไม่ได้กังวลอะไรมาก
ขณะทํางานอยู่ นางก็พูดถึงคุณแม่จี้ “ตอนนี้แม่สามีแกเป็นยังไงบ้าง ฉันได้ยินพี่ใหญ่ของแกบอกว่าตอนนี้กําลังกินนอนอยู่บนภูเขา ไม่ทําอะไร ไม่สนใจอะไรเลยเหรอ?”
“ก็ไม่ได้อดอยากอะไรหรอกค่ะ” ซูตานหงพูด
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่หล่อนก็ยังเรียกได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่จะไม่เคารพก็ไม่ได้แกรู้หรือเปล่า? แกน่ะซื่อตรงเกินไป ถ้าแกยังทำนิสัยแบบเดิม หล่อนคงไม่ได้กินอาหารของแกเลยด้วยซ้ำ!” คุณแม่ซูกล่าว
ซูตานหงยิ้ม
คุณแม่ซูพูดต่อ “แกต้องบอกหล่อนให้รู้สักหน่อย ให้หล่อนได้รู้สึกละอาย ไม่อย่างนั้นหล่อนคงไม่รู้สึกผิดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และจะไม่เอาความปรารถนาดีของแกมาใส่ใจเลย!”
“แม่คะ พ่อสามีของฉันก็ยังอยู่บนนั้น อีกอย่างเจี้ยนอวิ๋นก็ไม่สนใจเรื่องนี้ด้วย” ซูตานหงพูด
แม้เธอจะเป็นนายหญิงของบ้าน แต่คําว่ากตัญญูก็ยังอยู่ตรงนั้น ถึงคุณแม่จี้จะทําผิด แต่สิ่งที่นางทําผิดเป็นเรื่องของนาง คนนอกอาจจะตำหนิเอาได้ หากเธอเป็นลูกสะใภ้ที่ไม่ดี ความผิดของคุณแม่จี้ก็นับว่าเป็นความผิดของเธอเช่นกัน
ดังนั้นตราบใดที่คุณแม่จี้ไม่ทําร้ายครอบครัวของเธอ ซูตานหงก็จะทำเป็นปิดตาหนึ่งข้างกับการกระทําในตอนนี้ของนาง
แม้เธอจะไม่พูดอย่างชัดเจน แต่คุณแม่ซูก็เข้าใจ
ตอนนี้ลูกสาวเริ่มมีสติขึ้นเรื่อย ๆ และเติบโตขึ้นจริง ๆ นิสัยของเธอก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อน
หากเป็นในอดีต คนอื่นอย่าหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์จากเธอแม้แต่น้อย แม้แต่คุณแม่จี้ก็มีความคิดเห็นมากมายในตอนแรก แต่ไม่กล้าพูดอะไรมากไม่ใช่เหรอ?
ด้วยกลัวว่าลูกสาวของนางจะไปฉีกอกอีกฝ่าย
การทำเช่นนั้นช่างน่าชื่นใจจริง ๆ แต่เกรงว่าจะชี้ให้ผู้คนได้เห็นเรื่องราวเบื้องหลัง ตอนนี้หลาน ๆ ต่างก็โตขึ้นมากแล้ว พวกเขาสนใจเรื่องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของหมู่บ้าน เนื่องจากในครอบครัวมีธุรกิจมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้มาตรการบางอย่าง
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำเป็นมองไม่เห็นไปแล้วกัน” คุณแม่ซูกล่าว
“ตอนนี้ฉันไม่ค่อยได้ขึ้นไปบนภูเขาบ่อยมากนัก แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่อยู่บ้าน ฉันต้องออกไปเดินดู แม่คงต้องทำงานหนักขึ้นหน่อยแล้วล่ะค่ะ”
“ฉันรู้แล้วล่ะ” คุณแม่ซูกล่าว
จี้เจี้ยนอวิ๋นออกไปทําธุรกิจจนเกือบกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว บางครั้งเขาก็ต้องเดินทางไปทําธุรกิจ
แต่ถึงแม้จี้เจี้ยนอวิ๋นจะไม่อยู่ ทุกอย่างก็ดําเนินไปอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีใครในหมู่บ้านกล้าคิดร้ายกับตระกูลจี้เลยสักคน
จี้เจี้ยนกั๋วและจี้เจี้ยนเยี่ยสองพี่น้องก็อยู่ที่นั่น อีกทั้งยังมีคนงานอีกมาก แค่ตะโกนเรียกก็มาถึงแล้ว ใครจะกล้าทําตัวอวดดี?
นอกจากนี้หัวหน้าหมู่บ้านกับจี้เจี้ยนอวิ๋นก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่มีใครกล้าที่จะเพิกเฉยกับเรื่องนี้
ตอนนี้ซูตานหงคุ้นเคยกับทุกอย่างในครอบครัวมากแล้ว เธอคำนวณสมุดบัญชีที่ถูกส่งกลับมาทุกวันได้อย่างแม่นยำ แล้วยังเรียกเหรินเหรินมาช่วยบันทึกตัวเลขด้วย
อันที่จริงซูตานหงทำบัญชีแค่เพียงสองวัน ส่วนที่เหลือก็สอนให้เหรินเหรินแล้ว เหรินเหรินมักจะเรียนรู้ทักษะการทำบัญชีจากพ่อของเขา เนื่องจากจี้เจี้ยนอวิ๋นมีความอดทน ลูกถามเขาว่าอะไร เขาก็มักจะตอบ
เหรินเหรินเห็นเขาทําบัญชีจึงเข้าไปดู ไม่เข้าใจก็ถาม สงสัยก็ถาม จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ใจร้อน จึงตอบไปทีละอย่าง
ดังนั้นซูตานหงจึงให้คําแนะนําเล็กน้อย เหรินเหรินก็สามารถทําบัญชีได้ด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นหลานชายเป็นเช่นนี้ คุณแม่ซูก็รู้สึกพอใจมาก และพูดขึ้น “ดูจากลายมือหลานชายคนโตของยายแล้ว ยายก็รู้ว่าหลานชายคนโตคนนี้จะต้องมีอนาคตที่ดีแน่!”
“เป็นปู่บุญธรรมที่สอนผมมาดีครับ” เหรินเหรินใช้เวลาครู่หนึ่งจึงพูดออกมา
ซูตานหงยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
ลายมือของเหรินเหรินเป็นลายมือที่บริสุทธิ์และซื่อตรง หลังได้รับคําชี้แนะจากเหล่าจางแล้ว ลายมือของเขาในตอนนี้จึงถูกต้องและงดงามมาก
ไม่เพียงแต่ลายมือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฝีพู่กันของเขาด้วย ต่อให้เขาจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ฝีมือของเขาก็ก้าวหน้ามากกว่าเดิม
ทุกวันนี้เขาฝึกเขียนพู่กันบ่อย ๆ จนใช้พู่กันขนาดเล็กและขนาดกลางได้อย่างเชี่ยวชาญ มันสิ้นเปลืองกระดาษไปมาก และใช้เงินเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
ทว่าเหล่าจางไม่ยอมให้ใครเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ เขาเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหมึก พู่กัน หรือแม้แต่กระดาษ ล้วนแล้วแต่เป็นการดูแลของเหล่าจางทั้งสิ้น
ในตอนแรกซูตานหงคิดว่าเป็นเรื่องไม่ค่อยดีนัก แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับไม่สนใจ หากชายชราอยากซื้อก็ปล่อยให้เขาซื้อไปเถอะ ถึงอย่างไรก็มีเงินอยู่ไม่น้อย และยิ่งไม่ต้องกังวลถึงเงินบำนาญ แน่นอนว่าต้องใช้เงินในมือออกไปบ้างไม่ใช่หรือ?
ปล่อยให้ชายชราจัดการไป เขาไม่สนใจ ซูตานหงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไม่สนใจเช่นกัน แต่ทำอาหารให้กินที่บ้านเป็นอย่างดี
ตอนนี้ผมของเหล่าจางดกดําขึ้นมาก แถมผิวพรรณและร่างกายยังดูแข็งแรง ดีกว่าตอนที่เพิ่งมาครั้งแรกมากนัก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่จี้เดินทางไกลอีกแล้ว คราวนี้ไปถึงมองโกเลียในเลย
ส่วนเหรินเหรินก็เติบโตขึ้นมาอย่างดี สมกับที่ปู่บุญธรรมสอนจริงๆ ค่ะ
ไหหม่า(海馬)