ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 704 เหนื่อยใจ
ตอนที่ 704 เหนื่อยใจ
…………….
ตอนที่ 704 เหนื่อยใจ
เฉินเจียเหอคุยกับแม่ไม่รู้เรื่อง เขาจึงหาข้ออ้างแล้วรีบหนีจากห้องผู้ป่วยไปยังแผนกอายุรกรรมที่เซี่ยหลานอยู่
หลังจากเซี่ยหลานตรวจผู้ป่วยในแผนกหมดแล้ว เขาจึงเข้าไปบอกข่าวดีกับหล่อน แล้วก็ไปซื้อของใช้จำเป็นที่โรงพยาบาล
ในตอนเที่ยง เซี่ยหลานก็มาถึง
หลินเซี่ยเห็นเซี่ยหลานมาแบบไม่ทันตั้งตัว เธอจึงพูดพร้อมรอยยิ้มดีใจ “แม่ มาได้ไงคะ”
เซี่ยหลานพูดด้วยรอยยิ้ม “เช้านี้เจียเหอมาบอกแม่ว่าเธอคลอดแล้ว แม่เลิกงานแล้วถึงได้มาดู ตอนแรกแม่ยังไม่รู้เรื่องเลยถ้าเจียเหอไม่มาบอก”
เซี่ยหลานดีใจมากที่เฉินเจียเหอมาบอกข่าวกับหล่อนด้วยตัวเอง
อีกทั้งยังเรียกหล่อนว่าแม่ตามหลินเซี่ย
เซี่ยหลานรู้สึกซาบซึ้งมาก
หลินเซี่ยกับเฉินเจียเหอเป็นเด็กดีทั้งคู่ ทั้งมีน้ำใจและซื่อสัตย์
ในช่วงเวลาที่หล่อนพบเจอแต่เรื่องเลวร้าย พวกเขาก็ยังดูแลหล่อนเหมือนเดิม ปฏิบัติกับหล่อนเหมือนผู้ใหญ่ในครอบครัว นับเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด
เซี่ยหลานมองหลินเซี่ยด้วยความเป็นห่วง แล้วถามว่า “คลอดนานไหม แล้วเจ็บมากหรือเปล่า”
หลินเซี่ยทำหน้าเศร้า พยักหน้าอย่างสุภาพ “ค่ะ เจ็บ เจ็บมาก”
ก่อนหน้านี้เธอได้ยินคนเล่าประสบการณ์ต่อความเจ็บปวดขณะคลอดลูกแล้วยังไม่เข้าใจ แต่พอได้ประสบด้วยตัวเอง จึงรู้ว่ามันเจ็บปวดและทรมานขนาดไหน
ถ้าไม่มีลูกในท้องคอยให้กำลังใจ คิดว่าเธอคงทนไม่ไหวแน่
หมอที่ทำคลอดให้เธอก็บอกว่าเธอคลอดเร็ว บางคนเจ็บท้องทั้งคืนก็ยังไม่คลอด
เซี่ยหลานลูบหัวเธอด้วยความสงสาร ถอนหายใจ “ลำบากแล้วนะ”
เซี่ยหลานและหลิวกุ้ยอิงต่างก็เคยคลอดลูกสองคน
หลินเซี่ยตั้งใจไว้แล้วว่าจะคลอดแค่คนเดียว
แน่นอนว่าตอนนี้มีนโยบายวางแผนครอบครัว ทำให้มีลูกได้แค่คนเดียว
โชคดีที่มีหู่จืออยู่
ครอบครัวเธอจึงเป็นครอบครัวที่มีลูกสองคนเช่นกัน
เซี่ยหลานปลอบหลินเซี่ยสักพักก็หันไปหาโจวหลี่หรง “ขออุ้มหลานหน่อยได้ไหมคะ”
โจวหลี่หรงอุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขน เซี่ยหลานลุกขึ้นเดินไปรับ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มา มาให้ยายอุ้มนะ”
โจวลี่หรงเผลอมองไปยังมือของเซี่ยหลาน
ขณะที่หล่อนกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง เฉินเจียเหอที่อยู่ข้าง ๆ ก็กระแอมไอเสียงดังสองสามครั้ง
เซี่ยหลานเห็นโจวลี่หรงไม่ยอมส่งเด็กให้สักที จึงถามด้วยรอยยิ้ม “แม่เจียเหอ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ แค่กลัวว่าเด็กจะร้องน่ะค่ะ”
โจวลี่หรงถึงยอมส่งทารกในอ้อมแขนให้เซี่ยหลาน
เซี่ยหลานเป็นหมอ หมอย่อมรักษาความสะอาดมากกว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขา
“น่ารักจัง” เซี่ยหลานอุ้มเด็กไปมาพลางพูด “หน้าตาเหมือนเซี่ยเซี่ยเลย”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “ใช่ครับ เหมือนเซี่ยเซี่ยเลย”
เซี่ยหลานอยู่จนใกล้ถึงเวลาทำงานแล้วจึงออกไป บอกว่าตอนเที่ยงแวะมาหาโดยเฉพาะ ไม่ได้เตรียมอะไรมา เดี๋ยวเย็นนี้จะนำอาหารมาให้หลินเซี่ย
หลินเซี่ยพูดว่า “แม่ ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ เลิกงานแล้วรีบกลับไปดูแลอวี้หลงดีกว่า เขาอยู่บ้านคนเดียวแบบนั้นฉันไม่สบายใจเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณตาจะมาอยู่เป็นเพื่อนเขาในตอนกลางวัน”
เมื่อเซี่ยหลานออกไปแล้ว เฉินเจียซิ่งกับหยางหงเสียก็มา
ทั้งสองแวะร้านเสื้อผ้าเด็กโดยเฉพาะ เพื่อซื้อเสื้อผ้าตัวเล็กๆ ให้กับทารกน้อย
เข้าประตูมาก็เห็นหยางหงเสียกำลังอุ้มเด็ก มีเฉินเจียซิ่งยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขพลางเย้าแหย่ทารก
เฉินเจียซิ่งเห็นเด็กน้อยน่ารักเช่นนั้นก็หลงรักขึ้นมา
อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบมือเล็ก ๆ ของทารก พอดีกับที่โจวลี่หรงตักน้ำกลับมาเห็น หล่อนจึงรีบวางกาน้ำลงแล้วเดินไปหาพวกเขา หยุดยั้งการกระทำของเฉินเจียซิ่ง
“พวกเธอสองคนล้างมือหรือยัง เจียซิ่ง แกจะดูก็ดูไป แต่อย่าไปจับมือเด็ก”
เฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียกำลังเล่นกับเด็กอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็ถูกโจวลี่หรงซักไซ้ไล่เลียงเช่นนั้น ทั้งสองจึงหันมามองหล่อน
รอยยิ้มยังคงประดับค้างอยู่บนใบหน้า
เฉินเจียซิ่งถาม “แม่ อุ้มเด็กต้องล้างมือก่อนด้วยเหรอ?”
“แน่นอนสิ ไม่งั้นเด็กจะติดเชื้อโรคได้”
โจวลี่หรงรับเด็กมาจากหยางหงเสียทันที เร่งเร้าให้ทั้งสองไปล้างมือ และยังให้หยิบสบู่ที่วางอยู่มุมห้องไปด้วย
เฉินเจียซิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “จำเป็นต้องพิถีพิถันขนาดนี้เลยเหรอครับ ตอนเด็กๆ เราเล่นดินโคลนในลานบ้านกันทั้งวัน ก็ยังโตมาได้ดีเลยนี่”
เฉินเจียซิ่งมองโจวลี่หรงที่จู่ ๆ ก็พิถีพิถันขึ้นมา แล้วบ่นอย่างไม่พอใจ
“ผมจำได้ว่าตอนเจียวั่งยังเด็กแล้วชอบคลานไปคลานมาบนพื้น แม่ก็ไม่เห็นจะเป็นห่วงแบบนี้เลย แม่เอาแต่ทำงาน ไม่เคยสนใจเขาเลยด้วยซ้ำ”
โจวลี่หรงเถียงกลับ “ยุคสมัยมันต่างกันแล้วนะ สมัยนี้ต้องเลี้ยงลูกตามตำราเป๊ะ ๆ ไม่งั้นเด็กจะมีภูมิต้านทานต่ำ”
โจวลี่หรงเป็นคนหัวแข็งมาก หล่อนอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมา แล้วก็ทำตามหนังสือเป๊ะๆ
เฉินเจียซิ่งได้ยินมาว่าแม่ของเขาเป็นพวกหัวรั้น ชอบหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ จนสามารถพาตัวเองออกจากชนบทมาได้
ยิ่งแก่ก็ยิ่งหัวดื้อ ยิ่งเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิด ไม่ฟังคำทัดทานของใคร
ในสายตาของหล่อน หนังสือก็เหมือนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
เฉินเจียซิ่งพยายามพูดให้หล่อนเข้าใจ “ตัวเราเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อโรคอยู่แล้ว มันจะเป็นไปได้เหรอที่แม่จะไม่ให้เด็กได้สัมผัสเชื้อโรคเลย? นอกจากว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมปลอดเชื้อเท่านั้นแหละ”
“ไม่ไปก็คือไม่ไป”
เฉินเจียซิ่งดื้อแพ่งใส่ ไม่ยอมไปล้างมือ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงนั้น
เขาหันไปถามหลินเซี่ย “พี่สะใภ้ พี่อุ้มลูกก็ต้องล้างมือฆ่าเชื้อด้วยสิ”
“ใช่แล้วล่ะ พี่ใหญ่กับแม่จะเตรียมผ้าขนหนูสะอาดมาให้ฉันก่อน แล้วเช็ดให้สะอาดถึงจะอุ้มได้”
หลินเซี่ยตอบด้วยน้ำเสียงเอือมระอาสุดขีด
เจอแม่สามีแบบนี้ คิดแล้วก็เหนื่อยใจไปหมด
หยางหงเสียขี้ขลาด ขณะเดียวกันก็มีความเคารพต่อแม่สามีที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
ตั้งแต่แต่งงานมา หล่อนแทบจะไม่เคยขัดคำสั่งของโจวลี่หรงเลย กระทั่งความคิดเห็นต่างๆ ก็ไม่เคยแย้ง
ดังนั้นเมื่อโจวลี่หรงบอกให้ล้างมือ หล่อนก็หยิบสบู่ไปล้างอย่างเชื่อฟัง
หยางหงเสียใส่ใจในอาชีพของโจวลี่หรงมาก ในสายตาของหล่อน แม่สามีเป็นถึงอดีตเจ้าหน้าที่รัฐ คำพูดของหล่อนย่อมไม่มีผิด
หล่อนเดินเข้าไปหาเฉินเจียซิ่งเพื่อจะให้เขาไปล้างด้วยกัน แต่เฉินเจียซิ่งดื้อดึงไม่ยอมไป
เฉินเจียซิ่งมองโจวลี่หรงแล้วก็แค่ส่ายหัว “ถ้าผมมีลูกเมื่อไหร่ แม่ก็อย่ามาเรื่องมากกับเราแบบนี้ ผมมันคนหยาบๆ ลูกของผมก็ต้องเลี้ยงให้หยาบ ๆ ”
โจวลี่หรงยังคงยืนกอดหลานอยู่ น้ำเสียงเรียบเฉย “นั่นไม่ใช่เรื่องที่แกจะต้องตัดสินใจ”
เฉินเจียซิ่งมองท่าทางเอาแต่ใจของโจวลี่หรงก็นึกหัวเสียอยู่ในใจ “งั้นผมก็จะไม่ให้แม่เลี้ยงลูก”
โจวลี่หรงได้ฟังคำขู่ของเฉินเจียซิ่งก็ยังคงพูดเสียงเรียบ “แกจะไม่ให้ฉันเลี้ยงก็ได้ ถ้าพวกแกทั้งสองไม่ลาออกจากงาน แล้วก็เลี้ยงดูตัวเองได้”
เฉินเจียซิ่ง “!”
ต้องการพูดเรื่องที่เขากับหยางหงเสียเงินน้อยใช่ไหมล่ะ
เขาไม่ยอมแพ้หรอก
“ถ้าลาออกไม่ได้ก็ให้แม่ยายผมเลี้ยงแทนสิ แม่ทำแบบนี้มันไม่เท่ากับบอกให้ที่บ้านต้องพ่นยาฆ่าเชื้อทั้งบ้านเลยเหรอ ลูกผมไม่ต้องเลี้ยงแบบไข่ในหินขนาดนั้นหรอก เขาจะโตมาเหมือนกับผม แบบผมตอนเด็กๆ ที่โตมาในหลุมโคลนและแข็งแรงสมบูรณ์”
โจวลี่หรงทำหน้าบึ้ง ไม่พูดอะไรกับเฉินเจียซิ่ง
หยางหงเสียล้างมือเสร็จก็เดินเข้ามาเพื่อจะอุ้มหลาน โจวลี่หรงยื่นหลานให้พร้อมกับบอกให้ระวังซ้ำ ๆ โดยสาธิตท่าทางอุ้มเด็กที่ถูกวิธีให้หล่อนดู
เมื่อก่อนพวกเขารู้แต่ว่าโจวลี่หรงอยู่บ้านค่อนข้างจะเคร่งเครียด ไม่ค่อยพูด และไม่เคยเล่นมุกตลกกับใครเลย พอมาอยู่ใกล้ชิดกันนานๆ ก็ได้รู้จักนิสัยของหล่อนจริงๆ
และยังรู้ด้วยว่าหล่อนมีบุคลิกแบบใดตอนอยู่ในหน้าที่ นั่นก็คือตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา
เมื่ออยู่กับแม่สามี บางครั้งหล่อนเองก็เผลอเครียดไปด้วย เหมือนไม่มีเวลาให้ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด
ช่วงสามเดือนที่หลินเซี่ยตั้งท้องและเลี้ยงดูลูก เธอรู้สึกเหนื่อยใจมากเพราะกฎระเบียบต่าง ๆ นานาของโจวลี่หรง
เช่นช่วงเวลาไหนควรทำอะไร หล่อนจะควบคุมอย่างเคร่งครัด อย่างเช่นเวลาที่ควรออกกำลังกาย ต่อให้หลินเซี่ยจะหลับอยู่ โจวลี่หรงก็จะปลุกเธอจากห้วงนิทรา
แม้กระทั่งเรื่องอาหารการกินก็ยังรัดกุมมาก ซึ่งล้วนผ่านคำแนะนำจากนักโภชนาการ
ตัวหลินเซี่ยเองเป็นคนง่ายๆ ไม่เคยเป็นผู้นำ และไม่เคยทำงานประจำ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ เวลาตื่นนอนและเวลาเข้านอนของเธอล้วนตามใจตัวเอง
แต่พอตั้งท้อง กลับกลายเป็นว่าใช้ชีวิตแบบกึ่งทหาร
ถึงอย่างนั้นเธอก็เข้าใจแม่สามีเธอหวังดี อยากดูแลเธอ ดังนั้นต่อให้เธอจะมีความกังวลใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังอดทน
เดิมคิดว่าพอคลอดลูกแล้วคงจะได้มีอิสระ
ไม่คิดว่าหลังจากมีลูกแล้ว แม่สามีเธอจะยิ่งควบคุมมากยิ่งขึ้น
เรื่องรักษาสุขอนามัยก็เป็นเรื่องดี แต่เธอก็กลัวว่าคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเธอกับลูกจะเกรงใจที่จะมาหอมแก้มลูกหรืออะไรประมาณนั้น
ก็เพราะโจวลี่หรงถึงกับเอาสบู่มาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา บอกให้ล้างมือฆ่าเชื้อถึงจะอุ้มได้ มันดูจะเกินไปแล้ว
คนในครอบครัวยังพอรับได้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง เวลาทำแบบนี้มันจะทำให้คนอื่นเสียหน้า
เหมือนกับว่าบังคับให้คนอื่นต้องอุ้มยังไงยังงั้น
ก็เหมือนอย่างที่เฉินเจียซิ่งเพิ่งพูดไป ลูกไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมปลอดเชื้อสักหน่อย ที่จริงไม่จำเป็นต้องระมัดระวังขนาดนั้น
ต้องปล่อยให้เขาปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมบ้าง ไม่งั้นภูมิต้านทานจะยิ่งแย่ลงไปอีก
เฉินเจียซิ่งทนนิสัยเคร่งขรึมเจ้าระเบียบไปทุกเรื่องของแม่ตัวเองไม่ไหวแล้ว มันทำให้เขารู้สึกอึดอัด
หลังจากโจวลี่หรงกล่อมเด็กจนหลับแล้วออกไป เฉินเจียซิ่งก็ถามหลินเซี่ยที่นั่งหน้านิ่งอยู่
“พี่สะใภ้ครับ แม่ผมเป็นแบบนี้ พี่ไม่โกรธเหรอครับ!”
หลินเซี่ยได้ยินเฉินเจียซิ่งพูด ก็หัวเราะขึ้นมา
“ก็ไม่ถึงกับโกรธหรอก แค่รู้สึกว่าจนปัญญาน่ะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหนื่อยใจแทนหลินเซี่ยจริง ๆ มีแม่สามีระเบียบจัดแถมยังอีโก้สูงแบบนี้ /กุมขมับ/
ไหหม่า(海馬)
…………….