ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 689 เสิ่นอวี้หลงฟื้นตัว
ตอนที่ 689 เสิ่นอวี้หลงฟื้นตัว
……….
ตอนที่ 689 เสิ่นอวี้หลงฟื้นตัว
เธอรู้จักนิสัยของโจวลี่หรงเป็นอย่างดี เรียกสั้นๆ ก็คือคนบ้างาน
เฉินเจียเหอเคยเล่าว่าตอนเด็กๆ แม่แทบจะไม่ใส่ใจพวกเขาสามคนพี่น้องเลย
เขาเติบโตมากับปู่ย่า ส่วนเฉินเจียซิ่งและเฉินเจียวั่งก็เติบโตมากับยาย
ให้หล่อนเกษียณอยู่บ้านเพื่อดูแลเธอและเลี้ยงหลาน หล่อนจะทำได้หรือ
หลินเซี่ยก็กังวลเช่นกันว่าจะอยู่ด้วยกันกับโจวลี่หรงได้ไหม
จริงๆ แล้วเธอเลี้ยงลูกเองได้หลังจากอยู่เดือนเสร็จ หากไม่ไหวก็ทำแค่หาพี่เลี้ยงเด็ก แล้วตอนทำงานก็พาพี่เลี้ยงเด็กและลูกไปด้วย
แต่ฟังจากคำพูดของโจวลี่หรง เหมือนหล่อนจะยื่นใบลาไปแล้ว
หลินเซี่ยจึงต้องตามเฉินเจิ้นเจียงกับโจวลี่หรงกลับไปยังบ้านพักสวัสดิการกองทัพ
หลังจากกลับถึงบ้าน เฉินเจียเหอก็สอบถามโจวลี่หรงถึงเรื่องการเกษียณโดยละเอียด
“แม่ ความจริงแล้วแม่ทำงานไปจนถึงเกษียณก็ได้นะ เดี๋ยวผมจะเป็นคนดูแลเซี่ยเซี่ยเอง”
เฉินเจียเหอก็มีความคิดแบบเดียวกันกับหลินเซี่ยในเรื่องที่จะหาพี่เลี้ยงเด็กมามีอายุหน่อยและน่าเชื่อถือได้คอยช่วยเลี้ยงหลาน
เขาเป็นห่วงบุคลิกภาพแม่ของตัวเอง หากมายุ่งกับการเลี้ยงหลาน ก็คงจะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้
หล่อนเคยชินกับการเป็นผู้นำ และด้วยนิสัยของหล่อนแล้ว เฉินเจียเหอทำได้เพียงปฏิบัติต่อหล่อนด้วยความเกรงใจ
บรรยากาศในครอบครัวของเขาไม่มีวันสบายใจและสนุกสนานแบบบ้านของหลินเซี่ยได้
หลินเซี่ยจะต้องอึดอัดแน่ๆ
“ไม่ต้องหรอก ฉันเองก็เหนื่อยอยากจะพักผ่อนแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้ทุ่มเทให้กับครอบครัวซะบ้าง สมัยสาวๆ มัวแต่ทำงานจนละเลยการเติบโตของพวกแก ตอนนี้พวกแกกำลังมีเรื่องเครียด ฉันก็ควรจะทำอะไรให้พวกแกบ้าง”
โจวลี่หรงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ซึ่งผู้เฒ่าเฉิน คุณย่าเฉิน รวมทั้งเฉินเจิ้นเจียงก็สนับสนุนการตัดสินใจของหล่อน
ส่วนบรรดาลูกชายไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นในเรื่องเหล่านี้เลย
หลังจากเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยกลับบ้าน หลินเซี่ยก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง กล่าวพลางถอนหายใจว่า “ฉันไม่สบายใจเลยค่ะที่คุณแม่ต้องเกษียณก่อนกำหนดเพื่อพวกเรา”
“แม่ตัดสินใจยื่นใบลาออกแล้ว เราเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้หรอก” เฉินเจียเหอกล่าวขณะยกน้ำล้างเท้ามาล้างเท้าให้เธอ “ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ผมจะพยายามอยู่บ้านให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้พวกคุณทะเลาะกัน”
บ่อยครั้งความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ก็ขึ้นอยู่กับลูกชาย
ตราบใดที่เขาแยกแยะได้ จัดการปัญหาอย่างมีเหตุมีผล และประสานงานทั้งสองฝ่าย ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันรู้สึกว่าการกระทำของแม่จะเสียสละมากเกินไปหรือเปล่า”
“แต่คิดอีกด้านหนึ่งอยู่ต่ออีกสองปีก่อนเกษียณก็ค่าเท่ากัน คุณย่าตอนนี้ก็มีสุขภาพไม่เหมือนก่อนแล้ว ที่บ้านก็ต้องมีคนดูแล แม่เกษียณมาก็ดีเหมือนกัน”
คุณปู่ของตระกูลเป็นทหารผ่านศึก ทำงานหนักอดทน ประหยัดอดออม เกษียณแล้วก็ยังไม่ยอมจ้างแม่บ้าน ทุกคนในบ้านทำงานกันเองหมด งานบ้านและอาหารจึงเป็นหน้าที่ของปู่ย่าตายาย
ตอนนี้คุณย่าแก่แล้ว แม่ของเขาก็เกษียณอยู่บ้าน ก็ดีเหมือนกันคนแก่จะได้มีคนดูแล
มีโจวลี่หรงกับคุณย่าเฉินมาดูแล งานของเฉินเจียเหอก็ไม่ตึงเครียดเหมือนแต่ก่อน เขาสามารถหาเวลามาอยู่กับภรรยาของเขาได้ และเฝ้ารอที่จะได้เห็นลูกน้อยที่เกิดมาจากความรักของพวกเขา
ส่วนเสิ่นอวี้หลงที่ได้รับการกายภาพบำบัดมานานกว่าสามเดือน กล้ามเนื้อที่ลีบก็ค่อยๆ ฟื้นฟู มีเรี่ยวแรงมากขึ้น
นอกจากนี้หลังจากที่ได้รับการกายภาพบำบัดมาสามเดือนแล้ว สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นกว่าตอนเพิ่งฟื้นมาก
ตอนนี้เขาเดินออกกำลังกายในลานบ้านได้ด้วยตัวเองแล้ว และดูแลตัวเองได้
ในวันนั้นเองหมอแผนจีนเย่ก็โทรบอกให้เซี่ยหลานมา อีกทั้งพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับอาการของเสิ่นอวี้หลง
“เสี่ยวเซี่ย อวี้หลงตอนนี้กลับบ้านได้แล้วนะ”
นี่คือคำวินิจฉัยของหมอแผนจีนเย่และเย่ไป๋ หลังจากตรวจประเมินสุขภาพของเสิ่นอวี้หลงจนถี่ถ้วนแล้ว
เสิ่นอวี้หลงขณะนี้ไม่จำเป็นต้องรับการฝังเข็มและรับประทานยาต่อแล้ว ระยะหลังสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เอง
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพักที่นี่ต่อไป
หมอแผนจีนเย่มีแผนจะบูรณะบ้าน เพราะที่ดินบริเวณนี้ล้วนเป็นของเขาเอง สามารถขยายพื้นที่และสร้างเป็นคลินิกแพทย์แผนจีน เพื่อรองรับคนไข้ได้มากขึ้นในอนาคต
หลังจากที่หมอแผนจีนเย่กลับไห่เฉิง ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดัง มีคนไข้จากเมืองรอบๆ มาหาเขา และเนื่องจากค่าที่พักที่โรงแรมและเกสต์เฮาส์แพง คนไข้ยากจนจำนวนมากจึงเลือกที่จะค้างคืนที่สวนสาธารณะใต้สะพานลอย จนหมอแผนจีนเย่รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากเมื่อรู้เรื่องนี้
เขาจึงตัดสินใจขยายห้องเพื่อรองรับคนไข้ ให้คนไข้ที่เดินทางมาหาหมอได้พักฟรี
เซี่ยหลานที่ได้ยินว่าเสิ่นอวี้หลงรักษาอาการจนหายดีแล้ว ไม่ต้องทนเจ็บ ฉีดยา กินยา เหมือนคนป่วยอีกต่อไป ในตอนนี้หล่อนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในใจบังเกิดความรู้สึกตื้นตันใจที่ไม่อาจบรรยายได้
ลูกชายของหล่อนพ้นทุกข์แล้ว หล่อนเองก็พ้นทุกข์แล้ว
ทันใดนั้น เซี่ยหลานก็ถามคำถามที่เป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้ “หมอเย่คะ แล้วอวี้หลงจะยังไปโรงเรียนได้ตามปกติในเทอมหน้าอยู่ไหมคะ”
สุขภาพของเขาดีขึ้นมากแล้ว หล่อนต้องส่งเขาไปเรียน
เขาเสียเวลาไปเกือบสองปีแล้ว จะปล่อยให้เสียการเรียนต่อไปไม่ได้
หมอแผนจีนเย่ตอบว่า
“อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้สภาพร่างกายของเขาไม่มีปัญหาอะไรแล้ว อาจจะยังไม่แข็งแรงนัก ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูสุขภาพตามคำแนะนำที่บอกไปก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป อย่าใจร้อน เด็กคนนี้ถ้ากลับไปเรียนต่อจะเรียนในชั้นมัธยมใช่ไหม”
เซี่ยหลานพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ เขาหยุดเรียนช่วงปิดเทอมตอนอยู่ ม.5 ถ้าร่างกายเขาไหว ฉันก็ตั้งใจจะให้เขาเรียนต่อ ม.6 เลยค่ะ”
“เรียน ม.ปลายนี่หนักหน่วงนะ ร่างกายของเด็กจะไหวเหรอ เรื่องแบบนี้พวกคุณต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เด็กคนนี้เพิ่งฟื้นจากความตาย อนาคตทางการศึกษามันสำคัญก็จริง แต่คุณต้องแยกแยะให้ออก เรื่องสุขภาพร่างกายต้องมาก่อน ถ้าแข็งแรงแล้วจะทำอะไรต่อก็ไม่มีปัญหา”
ถ้าสุขภาพไม่ดี ก็ทำอะไรไม่ได้
เซี่ยหลานพยักหน้าอย่างจริงจัง “ฉันจะกลับไปคิดให้ดีค่ะหมอเย่”
หล่อนทั้งดีใจปนเศร้าโศกเมื่อคิดว่าเสิ่นอวี้หลงจะได้กลับบ้าน
เด็กคนนี้ฟื้นตัวดีและกำลังจะกลับบ้าน แต่บ้านที่เขาจะกลับ…ได้แตกฉานซ่านเซ็นไปนานแล้ว
เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างตั้งแต่เนิ่นๆ แต่สามเดือนมานี้กลับไม่ถามอะไรเลย ทุกวันเขาใช้ชีวิตด้วยการรักษาตัวและฟื้นฟูสภาพร่างกายอย่างสบายใจ และใช้ชีวิตราวกับหุ่นยนต์ ยามที่พ่อของหล่อนเอาหนังสือเรียนมัธยมมาให้เสิ่นอวี้หลงยามว่าง เขาก็จะเปิดหนังสือเรียนทบทวนความรู้เก่าๆ ที่เคยเรียนมา
ยิ่งลูกไม่ถาม เซี่ยหลานก็ยิ่งใจคอไม่ดี อาจจะกล่าวได้ว่าในสามเดือนนี้ หล่อนแทบไม่ได้หลับอย่างเป็นสุขเลย ฝันร้ายและนอนไม่หลับเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
หล่อนไม่รู้ว่าหากลูกชายรู้ถึงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้าน เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร จากสภาพร่างกายในตอนนี้ของเสิ่นอวี้หลง หล่อนไม่อยากให้เขาต้องมีความเครียดใดๆ เลย
แต่ว่า…
ลูกชายหายดีแล้ว คงจะเกาะติดหมอเย่อยู่แบบนี้ไปไม่ได้ตลอด
หลังจากที่หมอเย่พูดเรื่องออกจากโรงพยาบาล ผู้เฒ่าเซี่ยก็มีความรู้สึกซับซ้อน อาจจะกล่าวได้ว่าทั้งดีใจทั้งกังวล
เขาถามเซี่ยหลานว่า “เธอยังเตรียมใจไม่ได้หรือ?”
เซี่ยหลานก็รู้ว่าความหมายของบิดาคืออะไร
หล่อนก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนพร้อมหรือยัง หล่อนเจ็บปวดใจจนหัวใจมีแต่รอยแผล ทั้งร่างไร้ความรู้สึกและมีชีวิตอยู่อย่างผีดิบไร้วิญญาณ
เรื่องอื่นหล่อนยอมรับได้ทุกอย่าง แต่ลูกชายคือชีวิตของหล่อน หล่อนเพิ่งจะยื้อเขากลับมาจากความตาย จึงไม่สามารถปล่อยให้เขามีอันตรายใดๆ ได้อีก
ตอนนี้หล่อนไม่รู้เลยว่าจะอธิบายเรื่องของเสิ่นเถี่ยจวินกับเสิ่นอวี้หลงอย่างไร อีกทั้งเสิ่นอวี้หลงยังไม่รู้จักเสิ่นอวี้อิ๋งผู้เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขาเสียด้วยซ้ำ
หล่อนจะบอกลูกชายอย่างไรว่าหลินเซี่ยไม่ใช่พี่สาวแท้ๆของเขา พี่สาวแท้ๆ ของเขาเป็นคนที่ฆ่าหลินเซี่ย จับตัวลูกชายหลินเซี่ยเป็นตัวประกัน ทั้งยังพยายามวางยาฆ่าเขา จนตอนนี้ยังติดคุกอยู่
หากมีแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งก็คงพอรับไหว แต่นี่เกิดเรื่องแล้วเรื่องเล่ารวมกันไม่เว้นจนแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยากที่จะรับไหว แล้วเสิ่นอวี้หลงผู้สลบไสลมานานขนาดนี้จะแบกรับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?
หมอเย่เฝ้ามองพ่อกับลูกที่นั่งกังวลใจ แล้วก็พูดขึ้น “ช่างเถอะ ลองเชื่อมั่นในตัวเด็กดู เขาเป็นหนุ่มน้อยที่แข็งแกร่งมาก ขนาดความยากลำบากใหญ่หลวงขนาดนี้ ยังอดทนผ่านพ้นมาได้ แล้วจะมีเรื่องใดที่เขาจะรับไม่ได้อีกเล่า ยิ่งไปกว่านั้นคนตระกูลเสิ่นก็ยังมีชีวิตอยู่กันหมดไม่ใช่หรอ”
หมอเย่มองเซี่ยหลานด้วยความสงสาร ปลอบโยนว่า “ในบรรดาเรื่องราวทั้งหมดนี้ เธอคือผู้ที่ได้รับความลำบากมากที่สุด เธอจงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกของคุณฟังตามลำดับเถอะ แล้วเขาจะต้องรู้สึกสงสารเธอมากยิ่งกว่านี้เป็นแน่”
หมอเย่ถอนหายใจ แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เซี่ยหลาน เธอไม่ควรนำความผิดพลาดของผู้อื่นมาลงโทษตัวเองนะ เธอต้องเข้าใจว่าตัวเองไม่ได้ทำสิ่งใดผิด อย่ากดดันตัวเองสิ ดูสิว่าสีหน้าของเธออิดโรยมากขนาดไหน ผมก็หงอกขาวโพลนไปหมดแล้ว พวกเราเห็นแล้วรู้สึกสงสารมาก จงก้าวออกมาเถอะ ลูกชายของเธอหายดีแล้ว ลูกสาวเธอก็ไม่ได้เกลียดเธอ ในแง่หนึ่ง ชีวิตเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักหรอก จงปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างลงแล้วก้าวต่อไปเถอะ”
“ได้ยินที่หมอเย่พูดแล้วหรือยัง? สิ่งที่เขาพูดล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น แกไม่ควรนำความผิดพลาดของผู้อื่นมาลงโทษตัวเอง แกต้องก้าวออกมาจากความเจ็บปวดเหล่านี้ อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดอีกต่อไป แกไม่ได้ทำอะไรผิด”
เมื่อหมอเย่และพ่อช่วยกันปลอบโยน เซี่ยหลานก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยหลานไม่ผิดเลยนะคะ รวบรวมความกล้าแล้วบอกในสิ่งที่ลูกชายควรรู้เถอะค่ะ
ไหหม่า(海馬)
……….