ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 681 พยายามมากเกินไป
ตอนที่ 681 พยายามมากเกินไป
……….
ตอนที่ 681 พยายามมากเกินไป
หลินจินซานมั่นใจมากว่าวันนี้ตัวเองดูดีมาก ตอนนี้เขาติดความเป็นการเป็นงานจนเป็นนิสัย ไม่ว่าจะไปไหนก็จะแต่งตัวให้ดูดีอยู่เสมอ
เฉินเจียวั่งที่ตอนนี้สวมชุดออกกำลังกายสีดำล้วน ยืนอยู่เฉยๆ หน้าตาราวกับยังไม่ตื่นดี กลับทำให้สาวๆ หลายคนหลงใหล หลินจินซานจึงสงสัยว่าหลินเซี่ยเข้าใจผิดหรือไม่ หรือว่าคนที่ต้องเลี่ยงไม่ใช่เฉินเจียวั่ง แต่ควรเป็นเขา
หลินเซี่ยสบตากับหลินจินซาน แล้วยิ้มเยาะ “พี่คิดอะไรอยู่? คิดว่าสาวๆ พวกนั้นมองพี่งั้นเหรอ?”
หลินจินซานลูบผม พลางเสยขึ้น “หรือไม่ใช่ล่ะ?”
หลินเซี่ยขี้เกียจจะคุยกับเขา เลยหันไปสั่งชุนฟาง “ชุนฟาง เธอเตะเขาสักสองสามทีสิ”
พอเห็นชุนฟางจ้องมองมาที่เขาราวกับกำลังพิจารณาว่าจะเตะที่ไหนดี หลินจินซานก็รีบอธิบายกับชุนฟาง “ชุนฟาง อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะโปรยเสน่ห์ใส่คนอื่น แต่ถ้าเสน่ห์มันถูกโปรยไปโดยไม่ตั้งใจ นั่นมันไม่ใช่ความผิดของผมนะ”
ชุนฟางมองเรือนผมเงาวับจนแมลงวันแทบลื่นหัวแตกของเขาแล้วก็กลั้นขำแทบไม่อยู่
ทรงผมตลกแบบนี้มันไม่น่าดึงดูดเลย ออกจะน่าขันเสียมากกว่า
หลินเซี่ยซ้ำเติมเขาอย่างไม่ไว้หน้า
“อย่าหลงตัวเองเลย ไม่มีใครสนใจพี่หรอก ทุกวันนี้ชุนฟางก็แค่แกล้งหลงพี่เท่านั้นแหละ ฮ่าๆ”
“เซี่ยเซี่ย หมายความว่ายังไง? นี่เธอด่าพี่เหรอ ทำไม พี่ไม่หล่อตรงไหน?”
หลินจินซานคิดว่าตัวเขาเองก็หล่อเหลาสง่างามแล้ว แต่ทำไมยังห่างชั้นกับเฉินเจียวั่งอยู่ล่ะ?
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกอับอาย เขาต้องดูแย่มากในสายตาของชุนฟางแน่ๆ
ที่เขาแต่งตัวแบบนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมนี้ ไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝง
แต่พอฟังหลินเซี่ยพูดจบ ความมั่นใจของเขาก็แทบมลายหายไปสิ้น
เขาดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ
ชุนฟางไม่ชอบเขาด้วยหรือเปล่า?
“ไม่คิดว่าพี่แต่งตัวเยอะไปหน่อยเหรอ?” หลินเซี่ยอยากจะบ่นหลินจินซานตั้งแต่เช้าแล้วว่าชุดที่เขาใส่นั้นเป็นเสื้อผ้าแนวเดียวกับที่เขาใส่ไปทำงานที่ห้องเต้นรำ แถมยังอัดสเปรย์จัดทรงผมเสียจนเกินงาม
ไหนจะรองเท้าหนังหัวแหลมคู่นั้นที่ตอนนี้กำลังทำให้เขาเดินลำบากอีก
หน้าตาเขาก็ดูธรรมดากลาดเกลื่อนอยู่แล้ว พอแต่งตัวแบบนี้ก็ยิ่งดูแปลกเข้าไปใหญ่
“จริงเหรอ พี่กลัวเธอจะทำเธอขายหน้า พี่เลยตั้งใจแต่งตัวมาให้หล่อหน่อย แถมยังจัดทรงผมตามที่ชุนฟางบอกด้วยนะ หล่อนบอกว่าทรงนี้เหมาะกับพี่”
หลินจินซานอดสงสัยในรสนิยมด้านแฟชั่นของชุนฟางไม่ได้
เขาหันไปมองชุนฟาง แววตาของชุนฟางฉายวาบเป็นประกายราวกับจะบอกว่า ‘ฉันชอบคนเดียวพอแล้ว คุณหมายความว่ายังไง คิดจะหว่านเสน่ห์ใส่สาวน้อยคนอื่นอีกเหรอ’
หลินจินซานรีบปฏิเสธ “เปล่า อย่าเข้าใจผิดนะ คุณชอบอะไร ผมก็ชอบทั้งนั้นแหละครับ”
“เอาเถอะ รีบกลับไปกินข้าวซะ เจออีกทีบ่ายสองโมงตรงนะ”
หลินเซี่ยเห็นว่าคลาสฝึกอบรมไม่มีอะไรแล้ว อีกทั้งหลินจินซานยังต้องไปทำงานกะเย็นที่ห้องเต้นรำอีก เลยบอกกับเขาว่า “พี่ ตอนบ่ายพี่ไม่ต้องมาหรอก”
หลินจินซานพูด “ฉันต้องมาสิ พวกเธอเพิ่งเริ่มงานวันแรก หากฉันไม่มาคนที่บ้านก็เป็นห่วง ให้ฉันมาคอยดูแลนี่แหละ อีกอย่างฉันก็จะได้สบายใจด้วย”
ทุกคนปิดประตู และแยกย้ายกันกลับบ้าน
พอออกจากสำนักงานก็เห็นเฉินเจียเหอกับเฉินเจียซิ่งยืนอยู่หน้าประตู
หลินเซี่ยเห็นทั้งคู่แล้วก็ตาโตเล็กน้อย พี่น้องคู่นี้มาทำอะไรอยู่ที่นี่
หรือว่ารออยู่ข้างนอกตลอดทั้งเช้า?
เฉินเจียซิ่งกล่าวขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ หงเสีย พวกเรามารอรับพวกคุณน่ะ”
หยางหงเสียเห็นเฉินเจียซิ่งแล้วก็ถามด้วยความแปลกใจ “คุณยังไม่ได้กลับบ้านเหรอคะ?”
“ยังครับ ผมรออยู่ที่บ้านพี่ชาย”
ดวงตาของเฉินเจียเหอยังคงมีริ้วแดงก่ำ ชัดเจนว่ายังไม่ได้นอน
“ทำไมไม่นอนพักคะ มาที่นี่อีกทำไม?” หลินเซี่ยมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้น พลางถามด้วยความไม่พอใจ
เฉินเจียเหอคว้ากระเป๋าใบเล็กของหลินเซี่ยมาอย่างรู้งานและคว้ามือของเธอมาจับไว้ “มารับคุณไงครับ”
เฉินเจียซิ่งได้ทีรีบฟ้อง “พี่สะใภ้ ผมบอกเขาแล้วว่าผมจะมารับพวกคุณคนเดียว แต่เขาก็งอแงจะตามมาด้วย พี่ชายผมนี่ดูแลคุณดีจริงๆ มีพวกเราตั้งหลายคนอยู่ด้วยยังไม่สบายใจ”
หลินเซี่ยได้ฟังคำพูดของเฉินเจียซิ่ง ในใจก็รู้สึกซาบซึ้ง แต่อีกใจก็โกรธที่เฉินเจียเหอพูดไม่รู้ฟัง
เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้ว่าพี่ชายนายเขาเป็นห่วงฉันมาก ตัวนายเองเถอะ เรียนรู้ไว้เยอะๆ ล่ะ จะได้เอาไปใช้กับหงเสีย”
“แน่นอนครับ ภรรยาตัวเองไม่รักได้ไง ตอนนี้ผมเป็นสามีที่ดีมากเลยนะ”
ชุนฟางบอกว่าจะไปร้านตัดผมสักหน่อย หลินเยี่ยนก็เลยกลับบ้านกับหลินจินซาน
พอมาถึงชั้นล่าง เฉินเจียซิ่งก็พูดกับหยางหงเสียว่า “ไปบ้านพี่ใหญ่กันเถอะ ผมทำกับข้าวไว้แล้ว บ้านเราอยู่ไกลเกิน จะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา”
หยางหงเสียมองเฉินเจียซิ่งด้วยอาการอิดออด “กลับบ้านเราเถอะค่ะ”
หล่อนไม่อยากรบกวนเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ย
“บ้านเรามันไกล เดี๋ยวตอนบ่ายคุณก็ต้องรีบมาที่นี่แบบไม่มีเวลาพัก อยู่บ้านพี่ชายตัวเองมีอะไรต้องกลัวกันล่ะ”
พี่น้องกันแท้ๆ ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้นก็ได้
หลินเซี่ยรีบกล่าวเสริม “จริงด้วย เดี๋ยวบ่ายเราก็ต้องไปทำงานแล้ว ที่นี่ก็ถือเป็นบ้านของเธอเหมือนกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเองทั้งนั้น”
ไม่นานก็ถึงบ้านของเฉินเจียเหอ
เมื่อเดินเข้าบ้านมาไม่กี่ก้าวก็ได้กลิ่นอาหารทันที หลินเซี่ยหันไปทางเฉินเจียเหอ “ทำกับข้าวไว้แล้วเหรอคะเนี่ย?”
ตอนที่เฉินเจียซิ่งบอกว่าทำกับข้าวไว้แล้ว หลินเซี่ยยังไม่ปักใจเชื่อ
เฉินเจียเหอบอกว่า “ผมไม่ได้ทำ เจียซิ่งทำ”
เขาที่ทำงานกลางคืน เลิกงานมาก็เหนื่อยแทบขาลากแล้ว หลังจากที่กลับมาจากสถาบันฝึกอบรมอาชีพของหลินเซี่ย เขาก็ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอนเที่ยงก่อนจะหลับไป
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้ชิมฝีมือผมหน่อยนะครับ”
เฉินเจียซิ่งล้างมือ เดินไปที่ห้องครัวเพื่อจัดเตรียมอาหารอย่างเป็นธรรมชาติ เขาหุงข้าวสวย ผัดกับข้าว และจัดเตรียมอาหารว่าง ดูเหมือนว่าเขาจะทำได้ดีทีเดียว
หยางหงเสียเดินตามเขาไป เมื่อเห็นอาหารสี่อย่างในจาน หล่อนก็ต้องประหลาดใจ
หลังจากแต่งงานกัน เฉินเจียซิ่งไม่เคยทำอาหารเลย
เฉินเจียซิ่งจัดเตรียมอาหารบนโต๊ะ เมื่อหันมาก็เห็นภรรยาของเขายืนมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาจึงดีดหน้าผากหล่อนเบาๆ “เป็นอะไรไป ทำไมถึงเหม่อลอยแบบนั้นล่ะ?”
“คุณหัดทำอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” หยางหงเสียมองเฉินเจียซิ่งที่กำลังวุ่นวายอยู่ด้วยความประหลาดใจแกมยินดี ราวกับว่าเพิ่งค้นพบโลกใบใหม่
ชายคนนี้มีเรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่หล่อนยังไม่รู้อีกบ้าง?
เฉินเจียซิ่งวางอาหารไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องครัวเพื่อตักข้าว “ผมทำอาหารเป็นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ แม่บอกว่าอาหารที่ผมทำมันไม่อร่อยเลยไม่ให้เข้าครัว แต่ผมว่าอาหารฝีมือผมรสชาติดีอยู่นะ ลองชิมดูสิ”
หลินเซี่ยรู้สึกประทับใจกับเฉินเจียซิ่งในวันนี้เช่นกัน
คนที่ดูเหลาะแหละ ไม่เอาไหน พอมีคู่ครองที่คอยชี้แนะ คอยช่วยเหลือ ก็ดูจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง
“มาๆ พวกเราเริ่มกินกันได้แล้ว”
เฉินเจียเหอลงมือชิมก่อนเป็นคนแรก คีบเนื้อผัดพริกเข้าปาก
พออาหารเข้าปาก สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เมื่อหลินเซี่ยเห็นสีหน้าของเขา เธอก็อดถามไม่ได้ “รสชาติเป็นไง อร่อยไหม?”
พอเห็นสีหน้าของเฉินเจียเหอที่ดูแปลกๆ เธอก็ยิ่งอยากรู้ เลยกะจะคีบเนื้อผัดพริกมาชิม แต่เฉินเจียเหอก็ห้ามไว้
“นายใส่อะไรลงไป ทำไมมันหวานแบบนี้” เฉินเจียเหอถามเฉินเจียซิ่ง
เฉินเจียซิ่งทำหน้างงๆ พลางคีบมาชิมดูหนึ่งคำ
“ฉันน่าจะเข้าใจผิดคิดว่าน้ำตาลเป็นเกลือน่ะ” เขาเอ่ยอย่างเก้อเขิน “โถ่ ก็โหลเครื่องปรุงพวกนั้นที่บ้านพี่มันดูเหมือนกันไปหมด ฉันรีบไปหน่อย ก็เลยหยิบผิดน่ะ”
หลินเซี่ยที่เคยมองเฉินเจียซิ่งด้วยความชื่นชมพลันมีสีหน้าแปลกไป
ไม่แปลกใจเลยที่แม่สามีของเธอไม่ยอมให้เฉินเจียซิ่งเข้าครัว เพราะกลัวว่าคุณเขาจะใส่เครื่องปรุงสลับกันแน่ๆ
หยางหงเสียลองคีบมาชิมบ้าง แม้สีหน้าหล่อนจะไม่สู้ดีนัก แต่ก็พยายามชมออกมาว่า “ฉันว่ารสชาติดีนะ แค่ใส่เครื่องปรุงผิดเท่านั้นเอง สีสันของพริกผัดก็สวยน่ากิน แสดงว่าคุณเองก็มีฝีมือนะเนี่ย ครั้งหน้าถ้าไม่ใส่เครื่องปรุงผิดรับรองได้ว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ”
เฉินเจียซิ่งใจชื้นขึ้นบ้างจากคำพูดสนับสนุนอย่างเต็มที่ของภรรยา “ก็ยังมีแต่หงเสียของผมนี่แหละที่พูดดี ลองมันฝรั่งทอดจานนี้ดูอีกซิจ๊ะ ผมรับรองว่าจานนี้รสชาติเยี่ยมมากๆ”
เฉินเจียซิ่งคีบมันฝรั่งวางลงในจานของหยางหงเสียอย่างเอาใจ หยางหงเสียที่คีบมาชิมแล้วก็พลันมีสีหน้าไม่ต่างจากเฉินเจียเหอเมื่อครู่และไม่เอ่ยอะไรสักคำ
หล่อนหันไปทางหลินเซี่ยอย่างอึดอัดใจ “พี่สะใภ้ ลองใส่น้ำตาลลงไปคลุกกับข้าวดูไหมคะ แล้วพี่ลองกินเป็นข้าวหวานแทน”
อาหารที่เฉินเจียซิ่งทำมาล้วนมีรสชาติเต็มกลืน เฉินเจียเหอลองชิมอาหารจานอื่นๆ เหมือนกับกำลังทดสอบยาพิษ จะมีก็แต่มะเขือเทศผัดไข่ที่น่าจะกินได้มากที่สุด
ซึ่งรสชาติใกล้เคียงกับคำว่าพอกินได้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวทำเป็นซุปมะเขือเทศก็น่าจะอร่อยแล้ว”
มีอาหารปรุงสำเร็จให้กินตอนกลับมาก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังจะเรื่องมากอีกหรือ?
หยางหงเสียพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจียซิ่งทำได้ขนาดนี้ก็เก่งมากแล้ว อาจเพราะไม่คุ้นเคยกับห้องครัวที่นี่ ฉันเชื่อว่ามื้อหน้าเขาจะทำได้อร่อยกว่านี้ วันไหนว่างก็มาที่บ้านเราสิคะ จะได้ให้เขาทำให้กินอีก”
คนอย่างเฉินเจียซิ่งแค่เดินเข้ามาในห้องครัวได้ก็เก่งแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำออกมาเป็นอย่างไร ตราบใดที่ไม่เผาห้องครัว ก็ควรจะให้กำลังใจเขา
คนอย่างเขา ถ้ายอมตามใจเขา ใจทั้งใจเขาก็ให้เราได้
หยางหงเสียดูเหมือนจะเป็นคนเรียบง่าย แต่สามารถดึงดูดความสนใจของเฉินเจียซิ่งและคบหากับเขาได้ แสดงว่าหล่อนต้องมีอะไรที่ทำให้คนอย่างเฉินเจียซิ่งมองเห็น
หล่อนเข้าใจนิสัยใจคอของเฉินเจียซิ่งเป็นอย่างดี และรู้วิธีที่จะเอาชนะใจเขา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มื้อนี้จะรอดไหมเนี่ย แต่นายก็เก่งมากแล้วล่ะนะเจียซิ่ง ถือว่ามีความพยายามที่ดี สู้ต่อไปนะ
ไหหม่า(海馬)
……….