ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 410 เขาแพ้ทางตั้งนานแล้ว
ตอนที่ 410 เขาแพ้ทางตั้งนานแล้ว
ตอนที่ 410 เขาแพ้ทางตั้งนานแล้ว
หลังจากกินข้าวและถ่ายรูปแล้ว เซี่ยอวี่ก็บอกลาสมาชิกตระกูลเย่
หล่อนหยิบหนังสือที่มีลายเซ็นของเย่เจิ้งหัวเก็บลงกระเป๋า
สมาชิกครอบครัวเย่ต่างส่งหล่อนลงไปยังชั้นล่างด้วยความอาลัยอาวรณ์
“หลังจากนี้จะต้องมาที่บ้านบ่อยๆนะ อยากกินอะไรก็บอกกับเย่ไป๋เลย ฉันจะทำให้เธอเอง” หลี่เหม่ยเฟิ่งกล่าว
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณน้า”
เซี่ยอวี่โบกมือให้กับพวกเขา “ลาก่อนนะคะทุกคน”
หลังจากนั้นหล่อนก็สวมแว่นกันแดดและเดินออกจากประตูใหญ่ของชุมชน
เย่ไป๋ขี่มอเตอร์ไซค์หมายจะไปส่งหล่อน หล่อนไม่ได้ขึ้นมอเตอร์ไซค์ กลับมองหน้าเขาแทน และเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันว่าเจียงอวี่เฟยพักอาศัยอยู่กับครอบครัวของคุณ?”
พ่อของเขาเป็นนักเขียนชื่อดัง เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้หล่อนสามารถเข้าใจได้
แต่เขารู้ดีว่าหล่อนกับเจียงอวี่เฟยรู้จักกัน ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว และตั้งใจทำให้เจียงอวี่เฟยรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา
จากเนื้อความที่ได้ยินจากพ่อแม่ของเขา พวกเขาไม่ได้เร่งเร้าเรื่องแต่งงานเลย ส่วนเรื่องการคบหานั้น พวกเขาก็เคารพความต้องการของเขา
เขาไม่ได้ถูกคนภายในครอบครัวเร่งเร้า ไม่ได้ไร้ทางเลือกจนต้องพาแฟนสาวจอมปลอมกลับบ้านเช่นนี้
แม้เซี่ยอวี่จะสวมแว่นกันแดด แต่เย่ไป๋สัมผัสได้ว่าสายตาของหล่อนไม่เป็นมิตรอย่างมาก เขาจึงเอ่ยปากขอโทษ “ขอโทษด้วย ผมคิดว่าหล่อนกลับโรงเรียนไปแล้ว”
“ฉันทำตามเรื่องที่ตกลงกับคุณเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ระหว่างพวกเรานั้นไม่ติดค้างกันอีกแล้ว”
เซี่ยอวี่ตอบแทนน้ำใจของเขาแล้ว จึงรีบสะสางความสัมพันธ์ระหว่างเขา “หวังว่าทางด้านคุณจะสามารถรับมือกับผลลัพธ์ที่ตามมาได้”
เย่ไป๋ลดสายตาลงและส่งเสียงตอบรับ “คุณวางใจได้ คนภายในครอบครัวของผมไม่มีทางพูดไร้สาระออกไปแน่นอน”
“ฉันเชื่อ” เซี่ยอวี่กล่าว “พ่อของคุณคือนักเขียนที่ฉันชื่นชอบ พวกเขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่ดีและมีความคิด อันที่จริงคุณไม่ควรโกหกพวกเขาและให้ความหวังกับพวกเขา”
หล่อนมองเขาและกล่าวแนะนำอย่างหวังดี “คุณควรรีบหาแฟนตัวจริงโดยเร็ว อย่าปล่อยให้เรื่องนี้ทำให้พวกเขาผิดหวังเลยค่ะ”
ครอบครัวอบอุ่นขนาดนั้น ผู้คนภายในครอบครัวน่ารักขนาดนั้น หล่อนทนไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวัง
แม้จะมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าหล่อนอาจจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากับพวกเขาอีก
แฟนตัวจริง…….
เย่ไป๋ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อน มือที่อยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่นเนื่องจากความกังวล เขาครุ่นคิดชั่วขณะ จากนั้นมองหล่อนพลางรวบรวมความกล้าและเอ่ยถาม “เซี่ยอวี่ คุณไม่เคยคิดเรื่องการมีแฟนจริงๆเหรอ?”
“ไม่เคยคิดค่ะ” เซี่ยอวี่ตอบอย่างเด็ดเดี่ยวและไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“งั้น…….ตั้งแต่ตอนนี้คุณจะเริ่มพิจารณาเรื่องนี้ได้หรือเปล่า?” เขาจ้องหล่อนด้วยสีหน้าและแววตาที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก บริเวณหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเล็กน้อยเนื่องจากความประหม่า
“คุณหมายความว่ายังไงคะ?”
เซี่ยอวี่สังเกตเห็นความลำบากใจภายในสีหน้าของชายคนนั้น รวมถึงความคาดหวังภายในก้นบึ้งของสายตา หัวใจของหล่อนก็คล้ายกับเต้นผิดจังหวะและหยุดนิ่งไปสองวินาที หล่อนถอยหลังหนึ่งก้าวพลางมองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกเราแค่แสดงละครกันเท่านั้น คุณอย่าได้คิดจริงจังเลยค่ะ”
การถอยหลังครึ่งก้าวของหล่อนทำให้นัยน์ตาของเย่ไป๋หม่นแสงลง
และไม่รู้ว่าเขาเอาความกล้ามาจากไหน ทันทีที่หล่อนถอยหลังครึ่งก้าว เขาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและเข้าใกล้หล่อนมากยิ่งขึ้น น้ำเสียงคลุมเครือและแหบพร่า “แล้วถ้าผมคิดจริงจังล่ะ?”
เมื่อเขากล่าวคำพูดนี้ ไอร้อนก็พลันกระทบใบหูของหล่อน เซี่ยอวี่รู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้หล่อนทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างมาก ยังคงถอยหลังอยู่อย่างนั้นและเว้นระยะห่าง “ฉันต้องกลับแล้ว”
“ขึ้นรถเถอะ”
เซี่ยอวี่กลับหลบเลี่ยงรถมอเตอร์ไซค์ของเขา “ไม่ต้องส่งหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้”
“ตอนนี้คุณเป็นคนมีชื่อเสียงแห่งเมืองไห่เฉิงแล้ว นั่งรถเองคงไม่สะดวกหรอก ผมต้องไปส่งคุณ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะโทรหาหลินเซี่ยและให้หล่อนมารับฉัน”
เย่ไป๋ขวางกั้นด้านหน้าของหล่อน ใบหน้าอ่อนโยนของเขาเต็มไปด้วยความเหงา เขาจ้องมองหล่อนและกล่าว
“เซี่ยอวี่ แม้ว่าเราจะไม่ติดค้างกันแล้ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์กันหรอกใช่ไหม เรายังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอ?”
ฝีเท้าของเซี่ยอวี่หยุดชะงัก
เย่ไป๋มองชุดกระโปรงยาวบนร่างของหล่อน เขาถอดเสื้อสูทของตนเองออกและสวมทับบนเรือนร่างของหล่อน
“อากาศค่อนข้างหนาว คุณสวมไว้เถอะ ผมจะไปส่งคุณเอง”
“ไม่ต้อง ฉันไม่หนาว”
เซี่ยอวี่ต้องการถอดเสื้อนั้นออก แต่กลับถูกเย่ไป๋ห้ามไว้ “ผมคิดว่าคุณกำลังหนาวนะ ผู้หญิงเป็นหวัดแล้วมันไม่ดีต่อสุขภาพ รีบสวมให้ดีเถอะ”
แม้เขาจะดูอ่อนโยนและสุภาพ แต่พอจริงจังขึ้นมากลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เซี่ยอวี่ทำได้เพียงแค่สวมชุดสูทของเขาเท่านั้น
“ขึ้นรถเถอะ”
ตลอดระยะทางเย่ไป๋ขับช้ามาก เพราะว่าถนนบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ เมื่อรถกระแทก เซี่ยอวี่พลันจับเอวของเขาไว้แน่นโดยไม่ทันรู้ตัว เขาสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตบางๆเท่านั้น มืออ่อนนุ่มของหล่อนจับเอวบางของเขาโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกถึงกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง ทำให้มือสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงมือกลับโดยไม่รู้ตัว
หล่อนสัมผัสได้ว่าการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจของตนทำให้แผ่นหลังของชายคนนั้นเกร็งขึ้นมา
ทั้งสองคนต่างเงียบงันใส่กันตลอดทาง มอเตอร์ไซค์แล่นไปตามทางของถนน มีเพียงสายลมบางเบาของฤดูร้อนที่พัดผ่านใบหน้า ระยะห่างที่ใกล้กันมากของทั้งสองทำให้เซี่ยอวี่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนร่างกายของเขา จนความคิดในขณะนี้ของหล่อนเริ่มฟุ้งซ่าน
หลังจากนั้นเย่ไป๋ก็ยิ่งขับช้ามากยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าถนนจะยาวมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วก็ต้องถึงจุดหมายปลายทาง
มอเตอร์ไซค์จอดนิ่งหน้าประตูบ้านของตระกูลเซี่ย
เซี่ยอวี่ลงจากรถ ความคิดที่ไม่สามารถอธิบายได้เมื่อสักครู่นี้ทำให้หล่อนไม่กล้าสบสายตากับเขา ทำได้เพียงแค่เอ่ยขอบคุณอย่างขอไปที
“ขอบคุณนะ”
เย่ไป๋ดูราวกับกำลังระงับอารมณ์บางอย่าง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เข้าไปเถอะ”
“อือ คุณเองก็รีบกลับเถอะ”
เซี่ยอวี่กล่าวจบก็หันหลังกลับและเดินไปยังประตูใหญ่
เย่ไป๋ยืนอยู่ด้านข้างมอเตอร์ไซค์และจ้องมองหล่อนอย่างเงียบงัน จนกระทั่งหล่อนปิดประตูใหญ่
เขายืนท่ามกลางสายลมและแหงนหน้าดูดวงดาวบนท้องฟ้า จากนั้นก็ทอดถอนหายใจ หันหลังกลับและขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
เซี่ยอวี่เตะรองเท้าส้นสูงออกทันทีเมื่อเข้าไปภายในบ้าน เมื่อเตรียมจะถอดเสื้อผ้าก็พบว่าเสื้อสูทของเย่ไป๋ยังคงอยู่บนร่างกายของตน
ตลอดระยะทางที่กลับมารู้สึกหนาวเล็กน้อยเพราะลมพัดผ่าน แต่ก็ลืมไปว่ายังคงสวมเสื้อของเขาอยู่บนกาย
หล่อนถอดเสื้อสูทออกและนำไปแขวน ก่อนเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้าด้วยอาการเหม่อลอย จากนั้นเอนกายนอนลงบนเตียง ไม่รู้ว่าทำไมความคิดถึงฟุ้งซ่านมากขนาดนี้
ขณะนอนอยู่บนเตียงและมองไปยังชุดสูทที่แขวนอยู่บนไม้แขวนเสื้อ อารมณ์พลันหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
ภายในความคิดปรากฏใบหน้าหล่อเหลาอันอ่อนโยนราวกับหยกนั้น
แถมยังมีคำถามของเขา คุณไม่เคยคิดจะมีแฟนเลยเหรอ?
หล่อนเคยคิดหรือเปล่า?
อันที่จริงแล้วก็เคยคิด เมื่อหลายปีก่อน หล่อนเองก็เป็นเด็กผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและโหยหาความรัก
หล่อนเองก็เคยมีเจ้าชายขี่ม้าขาวของตนเองเช่นกัน
สุดท้ายกลับถูกอีกฝ่ายหักหลังและพยายามจะมอบหล่อนให้กับเถ้าแก่ใหญ่เพื่อแลกกับเงินทองและตำแหน่ง
หลังจากนั้นเป็นต้นมาหัวใจของหล่อนก็ตายด้าน คิดถึงพ่อของตนเอง คิดถึงชีวิตที่แสนขมขื่นในวัยเด็กและผู้ชายสารเลวที่ทรยศหล่อน รวมถึงคนเลวทรามทุกประเภทภายในบทละคร ทำให้หล่อนไม่ได้คาดหวังและโหยหาสิ่งที่เรียกว่าความรักและการแต่งงานอีกแล้ว
ชีวิตก็เหมือนละคร ละครก็เหมือนชีวิต
จิตใจของเซี่ยอวี่ฟุ้งซ่านเกินกว่าจะนอนหลับได้ หล่อนลุกขึ้นและหยิบสูทตัวนั้นยัดเข้าไปภายในตู้เสื้อผ้า
หล่อนไม่ใช่สาวน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาในปีนั้นอีกแล้ว หล่อนจะไม่มีทางตกหลุมพรางเพียงเพราะการกระทำที่คลุมเครือและคำพูดอันหอมหวานเหล่านั้นอีกแล้ว
……..
……..
เมื่อเย่ไป๋กลับมาถึงบ้านหลังจากส่งเซี่ยอวี่เสร็จก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว ทุกคนภายในครอบครัวต่างก็กำลังนั่งรอเขาอยู่บนโซฟา
เมื่อเห็นเย่ไป๋เดินเข้ามา หลี่เหม่ยเฟิงก็เดินเข้าไปหาอย่างปีติยินดี “ลูกชาย แกกลับมาแล้ว ไปส่งหล่อนที่บ้านแล้วใช่ไหม?”
เย่ไป๋เอ่ยตอบ “แม่ ผมส่งหล่อนถึงบ้านแล้วครับ”
“ลูกชาย ไหนแกบอกมาสิว่าทำไมแกถึงได้เก่งขนาดนี้? แกโดดเด่นมากจริงๆ ตอนแกสอบเข้าเรียนปริญญาเอก ฉันยังไม่มีความสุขอย่างเช่นวันนี้เลย” ใบหน้าของหลี่เหม่ยเฟิ่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ตอนนี้บรรยากาศภายในบ้านคึกคักราวกับวันฉลองปีใหม่
“ใช่แล้วเซี่ยอวี่ แกบอกมาหน่อยว่าทำไมแกถึงมีความสามารถขนาดนี้ ถึงได้จีบหล่อนติดจริงๆ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งดีใจจนแทบร้องไห้พลางมองลูกชายที่อยู่ตรงหน้าและรู้สึกว่าร่างกายของเขาดูเปล่งประกาย
เย่เจิ้งหัวกลับสงบเป็นอย่างมาก เขาให้เย่ไป๋นั่งลงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แกคิดดีแล้วใช่ไหม? พวกแกพัฒนาความสัมพันธ์ถึงระดับไหนกันแล้ว? คิดว่าแกควบคุมหล่อนได้หรือเปล่า?”
เมื่อเผชิญกับคำถามเชิงจิตวิทยาสามข้อของพ่อ เย่ไป๋พลันร้อนตัวและสับสน ไม่สามารถให้คำตอบแก่เขาได้ “ผมไม่รู้”
หลี่เหม่ยเฟิ่งกล่าว “ทำไมถึงจะควบคุมไม่ได้ล่ะ? คนหนึ่งอยู่ภายในโลกวรรณกรรมและศิลปะ คนหนึ่งอยู่ภายในวงการแวดวงวิชาการ คนหนึ่งทำงานด้านการแพทย์ คนหนึ่งทำงานด้านศิลปิน เหมาะสมกันซะขนาดนี้”
สายตาเฉียบแหลมของเย่เจิ้งหัวจ้องมองสีหน้าละเอียดอ่อนของลูกชาย
หลังจากครุ่นคิดถึงการควบคุมราชินีภาพยนตร์คนนั้น ก็เกรงว่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น
แม้เย่เจิ้งหัวจะยังไม่แน่ใจว่าทำไมจู่ๆ ลูกชายถึงได้คบหากับหล่อนและยังพาหล่อนมาที่บ้าน แต่เขาก็มองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังไม่มีสถานะมั่นคง
เขาตบไหล่เย่ไป๋ “พยายามเข้านะ”
เมื่อเอ่ยจบก็ลุกขึ้นกลับไปยังห้องหนังสือเพื่อสร้างสรรค์ผลงานของเขาต่อ
เย่เชี่ยนใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ของเย่ไป๋พลางยกนิ้วโป้งให้กับเขา “พี่ ฉันขอคารวะพี่เลยที่คบกับเซี่ยอวี่ได้ พวกพี่เหมาะสมกันเป็นกิ่งทองใบหยกเลย พี่จะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้และรีบแต่งงานกับหล่อนเร็วๆ นะ”
เย่ไป๋ปัดมือของเย่เชี่ยนออก จากนั้นมองดูพวกหล่อนพลางเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง “หล่อนเป็นบุคคลสาธารณะ ช่วงนี้เริ่มมีชื่อเสียงภายในเมืองไห่เฉิงแล้ว เรื่องระหว่างผมกับหล่อนจะต้องเก็บเป็นความลับ พวกแม่อย่าได้ดีใจเนื้อเต้นจนเผลอหลุดปากพูดออกไปเชียว”
หลี่เหม่ยเฟิ่งพยักหน้า “วางใจเถอะ พวกเราเข้าใจ ไม่มีทางพูดส่งเดชหรอก”
“ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน”
เย่ไป๋นอนอยู่บนเตียงพลางหนุนแขนทั้งสองข้างไว้หลังศีรษะ เงยหน้ามองเพดานอันมืดมิดพลางถอนหายใจแผ่วเบา
เขาคิดว่าการใช้วิธีเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสองคนสานสัมพันธ์กันต่อไปได้เสียอีก
ทว่าหล่อนดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ไม่อืดอาดยืดยาด เมื่อชดใช้บุญคุณน้ำใจเสร็จก็จากไปโดยไม่เหลือโอกาสให้กับเขาแม้แต่น้อย
ใช่แล้ว เขาแพ้ทาง เขาแพ้ทางตั้งนานแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หมอเย่จะรักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่งไหมหนอ รักข้างเดียวขึ้นมาจริงนี่เจ็บเลยนะ
ไหหม่า(海馬)