ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - ตอนที่ 333 บ้านเกิด
บทที่ 333 บ้านเกิด
น้องชายสามตระกูลหลินถึงกับนิ่งอึ้งไป เนื่องจากเขาไม่เคยคิดไปถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย
“ตอนนี้ที่นายยังทำไหวเป็นเพราะอายุยังน้อย แต่นายต้องการจะขี่จักรยานแบบนี้ไปชั่วชีวิตเหรอ? ในเมืองหลวงมีคำพูดที่ว่า ‘ลองสู้ดูสักตั้ง จักรยานก็กลายเป็นมอเตอร์ไซค์ได้’ นายจะเชื่อคำพูดของพี่หรือไม่ นายกับภรรยาของนายต้องไปตัดสินใจกันเอาเอง”
น้องชายสามตระกูลหลินใคร่ครวญดูแล้วก็รู้ว่าพี่สาวของเขาพูดถูกจริง ๆ
ถ้ามีมอเตอร์ไซค์แล้วเขาจะสามารถไปรับของมาขายได้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็จะหาเงินมากได้ขึ้นตามไปด้วย
ตอนนี้เขาเดินทางขนของโดยใช้จักรยาน ซึ่งของที่เอามามีไม่พอขาย ของหนึ่งคันรถขายได้จนหมดเกลี้ยงในช่วงก่อนบ่ายเท่านั้นเอง ช่วงเวลาที่เหลือมีลูกค้าเข้าร้าน แต่พวกเขาก็ไม่มีอะไรเหลือจะให้ขายอีกแล้ว
ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้และผักจากชนบท หรือจะเป็นพวกไก่ เป็ด ปลาและไข่ เขาก็จะสามารถขนพวกมันกลับมาขายได้เยอะขึ้น
“ผมแค่กังวลว่ามอเตอร์ไซค์ไม่ได้หาซื้อกันมาได้ง่าย ๆ จะทำให้พี่ต้องลำบากมากเกินไปหรือเปล่าครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินมองหน้าพี่สาว
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลย แต่ปีนี้นายคงต้องทำแบบนี้ไปก่อนนะ อาจจะงานหนักสักหน่อยสำหรับนาย จะต้องรอจนถึงช่วงนี้ของปีหน้าเสียก่อน” หลินชิงเหอพยักหน้า
เธอพอใจมากที่น้องชายของเธอเป็นคนที่มีหัวคิดก้าวหน้าเช่นนี้ ถ้าเขายังเป็นแบบนี้ ต่อไปวันหน้าเขาจะมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน
เธอหันไปหาน้องสะใภ้สามตระกูลหลิน “อย่ามัวแต่ประหยัดเงินมากจนเกินไปนะจ๊ะ คอยหาอาหารดี ๆ มาให้เขากินให้มาก ทำงานหนักขนาดนี้ถ้าไม่บำรุงร่างกายแล้วละก็อีกไม่นานร่างกายจะรับไม่ไหวแน่ ๆ พอถึงเวลานั้นต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะต้องเสียเงินไปอีกตั้งมากเท่าไหร่ มันไม่คุ้มกันหรอกนะกับสุขภาพที่แย่ลง”
“ฉันก็ทำอย่างนั้นค่ะ ตอนนี้ทำไข่กินทุกวันและก็กินเนื้อวันเว้นวันด้วยค่ะ” สะใภ้สามตระกูลหลินตอบ
“เธอต้องหมั่นเชือดไก่มาให้เขากินบำรุงร่างกายด้วย” หลินชิงเหอพูดแทรกขึ้น
ตอนนี้ร้านแห่งนี้ไม่ได้ทำกำไรน้อยไปกว่าร้านเกี๊ยวของครอบครัวเธอเลย พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องมาประหยัดกับเงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้หรอก ไก่ตัวหนึ่งราคาแค่ประมาณหยวนเดียวเท่านั้น อย่างครอบครัวของเธอจะต้องตุ๋นไก่ทุก ๆ 3 วันให้ทุกคนในครอบครัวได้กินเพื่อบำรุงร่างกาย
ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรจะต้องบอกเพิ่มอีกแล้ว
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋บอกลาพวกเขาและไปที่บ้านของซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยต่อ
ตอนที่ไปถึงซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยอยู่ที่บ้านพอดี ทั้งครอบครัวกำลังนั่งกินแตงโมกันอยู่
“พี่สี่ พี่สะใภ้สี่!”
โจวเสี่ยวเหมยตาเป็นประกายเมื่อเห็นพวกเขามา หล่อนตะโกนเรียกออกไปในทันที
ซูต้าหลินรินน้ำให้พวกเขาแล้วไปตัดแตงโมมาให้เพิ่ม
โจวชิงไป๋และหลินชิงเหอไม่เกรงใจหยิบแตงโมขึ้นมาและพูดว่า “มีความสุขกันจริงๆ นะครอบครัวของเธอเนี่ย”
“วันนี้เฉิงเฉิงพูดขึ้นมาว่าอยากกินแตงโมน่ะค่ะ ต้าหลินก็ตามใจเขา เลยซื้อมาให้กิน” โจวเสี่ยวเหมยเล่า
แม้ว่าซูต้าหลินจะเป็นคุณพ่อ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากไม่มีพี่น้องแท้ ๆ เลยสักคน เขาจึงตามใจลูก ๆ ทั้งสี่คนของตัวเองมาก
ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาจนเกินไป เขาจะทำให้ลูก ๆ ได้สมหวัง
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วกลับเป็นโจวเสี่ยวเหมยที่กลายเป็นคุณแม่ที่เข้มงวด
“คุณลุง คุณป้าสะใภ้ จะมาพาพวกเราไปเมืองหลวงใช่ไหมครับ?” แววตาของซูเฉิงเป็นประกายวิบวับ
“ใช่จ้ะ ป้ามาพาหนูไปเมืองหลวง ญาติผู้พี่ของหนูก็อยู่ที่นั่นกันด้วยนะ” หลินชิงเหอตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
โจวชิงไป๋ลูบหัวของเขา หลานชายตัวน้อยคนนี้เติบโตขึ้นมาในบ้านของเขา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ครับ?” ซูเฉิงถาม
“พวกเธอเก็บของกันเสร็จหรือยัง?” หลินชิงเหอมองไปที่ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมย
“เก็บ…เก็บ…ทั้งหมดแล้วครับ” ซูต้าหลินพยักหน้า
“เก็บทุกอย่างเสร็จไปนานแล้วค่ะ ต้าหลินก็ลาออกตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว แค่รอเวลาให้พี่สี่กับพี่สะใภ้มารับเท่านั้นค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบ
หลินชิงเหอผงกศีรษะและเอ่ยว่า “งั้นก็ไม่มีเรื่องให้ต้องล่าช้าอีก ไปถึงที่โน่นเร็วจะได้ตั้งหลักได้เร็วขึ้น คืนนี้พวกเธอพักผ่อนกันก่อน วันพรุ่งนี้พวกเราค่อยไปขึ้นรถไฟกันที่เทศบาลมณฑล”
“ตกลงค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยส่งเสียงอย่างดีใจ
เพื่อนบ้านทั้งหมดต่างก็รู้กันแล้วว่าครอบครัวของเธอกำลังจะย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง และรู้ด้วยว่าซูต้าหลินได้ลาออกจากงานแล้วและวางแผนจะไปทำธุรกิจของตัวเองที่เมืองหลวง
นี่ก่อให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาลับหลังกันมากมาย ต่างก็พากันประหลาดใจว่าทำไมเขาถึงได้ยอมละทิ้งเงินเดือนที่สูงลิ่วแล้วไปทำธุรกิจเองที่เมืองหลวง?
นี่เขาป่วยเป็นไข้สมองกลับไปหรือเปล่า?
โจวเสี่ยวเหมยไม่อยากจะพูดเรื่องไร้สาระกับคนอื่นอีก เธอจึงอยากจะไปเมืองหลวงให้เร็วที่สุด
“คืนนี้…คืนนี้…”
เมื่อซูต้าหลินเอ่ยออกมาได้ครึ่งทาง โจวเสี่ยวเหมยก็ช่วยเขาพูดต่อ “พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ คืนนี้พวกพี่กินข้าวเย็นกันที่นี่นะคะ กินเสร็จแล้วค่อยกลับ”
“ตกลงจ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
ซูต้าหลินจึงออกไปซื้อของ
โจวเสี่ยวเหมยพูดว่า “พี่สะใภ้สี่คะ พวกเราไปที่นั่นกันตั้งหลายคน จะมีที่พอให้อยู่กันได้หมดทุกคนหรือคะ?”
“โชคดีที่บ้านที่พี่เช่าเอาไว้ให้มีทั้งหมด 3 ห้อง 1 ห้องสำหรับคุณพ่อคุณแม่ อีก 2 ห้องสำหรับครอบครัวของเธอ แล้วยังมีห้องทำงานเล็ก ๆ อีกหนึ่งห้องด้วย ถึงห้องจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่เธอสามารถเอาเตียงเข้าไปในห้องทำงานแล้วทำเป็นห้องนอนเพิ่มอีกห้องหนึ่งได้นะ” หลินชิงเหอบอก
บ้านของเธอนั้นดีมากจริง ๆ นอกจากจะมีห้องตามที่บอกไปแล้ว ยังมีห้องน้ำ ห้องครัวและห้องนั่งเล่นอีกต่างหาก
พูดได้ว่ามีพื้นที่กว้างขวางมาก
นอกจากนั้นด้านนอกยังมีบริเวณสวน ซึ่งมีรั้วล้อมรอบไว้ด้วย และราคาที่ขายมาให้เธอในราคา 7,000 หยวนนั้นไม่ใช่ราคาที่ถูกเลย
แต่เมื่อมาคิดคำนวณดูแล้วก็ไม่นับว่าเป็นราคาที่แพงจนเกินไป สรุปได้ว่ามันคุ้มค่าราคามาก อีกทั้งในอนาคตเงิน 7,000 หยวนนี่ไม่พอแม้แต่จะเอาไปซื้อพื้นที่ 1 ใน 10 ของตารางเมตรด้วยซ้ำไป
โจวเสี่ยวเหมยค่อยรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินพี่สะใภ้สี่บอกมาอย่างนั้น
“ไม่ต้องกังวลอะไรให้มากนัก พี่สี่ของเธอหาคนมาทำไฟ วางสายไฟและเรื่องอื่น ๆ ในร้านไว้ให้หมดแล้ว เอ้อร์นีกับคนอื่นก็ไปทำความสะอาดไว้ให้แล้ว เธอไปถึงก็จัดเตรียมแบบคร่าว ๆ ไปก่อนแล้วเริ่มทำธุรกิจได้ทันทีเลย” หลินชิงเหอพูดให้ความมั่นใจ
การต้องย้ายที่อยู่ไปไกลเช่นนี้คงไม่มีใครสามารถวางใจได้ง่าย ๆ แน่
“ฉันไม่กังวลหรอกค่ะ มีพวกพี่อยู่ที่เมืองหลวงด้วยกันนี่คะ” โจวเสี่ยวเหมยพูดยิ้ม ๆ
หลินชิงเหอพยักหน้า
ซูต้าหลินซื้อของมามากมาย มีปลาตัวใหญ่ ๆ 2 ตัวและไก่อีก 1 ตัว นับเป็นอาหารเย็นมื้อที่อุดมสมบูรณ์มาก
หลังจากกินเสร็จแล้ว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็กล่าวลาแล้วเดินทางไปที่บ้านเกิดต่อ
ตอนที่ทั้งคู่มาถึง ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเพิ่งจะกินอาหารเสร็จ
พวกเขาได้ยินเสียงพูดของหลินชิงเหอกับเพื่อนบ้านที่ด้านนอก
“ตาเฒ่า ทำไมเหมือนฉันจะได้ยินเสียงเมียของอาสี่เลยล่ะ?” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง
ท่านพ่อโจวก็ได้ยินเหมือนกัน เขาจึงลุกขึ้นออกไปดูโดยมีท่านแม่โจวเดินตามออกไป
ครั้นแล้วพวกเขาจึงเห็นลูกชายคนเล็กและสะใภ้กลับมาด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาต่างก็ดีใจมาก “แม่กำลังพูดอยู่เลยว่าลูกน่าจะใกล้มาถึงแล้ว นี่คงจะหิวกันมาแน่เลย เข้ามาข้างในกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน แม่จะไปทำอาหารมาให้กินรองท้อง”
“คุณแม่คะ พวกเรากินกันมาแล้วค่ะ” หลินชิงเหอบอก
“กินมาแล้วเหรอ? นี่มาจากบ้านเสี่ยวเหมยกันเหรอ?” ท่านแม่โจวถาม
“ค่ะ พวกเรามาจากบ้านอาเขยเล็กค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า จากนั้นก็หันไปบอกโจวชิงไป๋ “คุณและคุณแม่ เข้าไปเก็บของกันก่อนเถอะค่ะ”
“ได้ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า
หลินชิงเหอหันไปคุยกับเพื่อนบ้านต่อ เธอยังเปิดเผยข่าวคราวต่าง ๆ ในเมืองหลวงให้ฟังด้วย เธอกล่าวว่าประเทศกำลังพัฒนาดีขึ้นไปเรื่อยๆ ในอนาคต ในเมืองหลวงมีพวกโจรขโมยอยู่มาก พวกเขาควรจะต้องคอยระมัดระวังกันให้มาก
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครดีกับแม่ แม่ก็ดีตอบแบบนี้แหละค่ะ เสี่ยวเหมยกับครอบครัวได้ย้ายเข้าเมืองหลวงกันแล้ว
ไม่มีอะไรแค่พูดลอย ๆ บ้านไหนฟังแล้วร้อนตัวก็ถือว่าไม่เกี่ยวกับผู้แปลนะคะ
ไหหม่า(海馬)