ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 288 จะทำอะไรได้(1)
ตอนที่ 288 จะทำอะไรได้(1)
ตอนที่ 288 จะทำอะไรได้(1)
เซี่ยเจ๋อหลี่กับเจี่ยงสือเหิงออกจากโรงพยาบาลและกลับบ้านพร้อมกัน หลังจากกลับถึงบ้าน เหยาจิ้งจือก็รีบเดินเข้ามาเอ่ยถามลูกชายคนเล็กทันที “อาหลี่ ขาของแกเป็นอย่างไรบ้าง ฉันได้ยินว่าต่อไปขาของแกจะใช้งานได้ไม่เต็มที่ นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้ ก็อดหันมองฉินมู่หลานไม่ได้
ก่อนหน้านี้ฉินมู่หลานรู้สึกได้ว่าเซี่ยเจ๋อหลี่อยากเปลี่ยนอาชีพ เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกคนทราบว่าขาของเขาจะมีผลข้างเคียงหลงเหลืออยู่ เธอจึงตัดสินใจบอกครอบครัวไปอย่างนั้น
แต่ในการพูดก็มีวาทศิลป์ เธอหันมองเหยาจิ้งจือพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ไม่ต้องกังวลค่ะ มีฉันอยู่ทั้งคน ถึงตอนนี้ขาเขาจะยังใช้งานได้ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าดูแลตัวเองดี ๆ อีกสักสองสามปี บางทีอาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ แถมตอนนี้อาหลี่ก็ไม่เป็นไรแล้ว อาการบาดเจ็บที่ขาทำให้เขาได้ย้ายไปทำงานที่สถาบันวิจัยของพ่อบุญธรรม จากนี้ไปก็จะได้กลับบ้านทุกวัน ใกล้ชิดครอบครัวได้มากกว่าเดิม”
ตอนแรกเหยาจิ้งจือกำลังกังวลเรื่องขาของลูกชายคนเล็ก เมื่อได้ยินลูกสะใภ้คนเล็กพูดอย่างนั้น จึงตอบสนอง
“เรื่องนี้มันก็จริง ก่อนหน้านี้อาหลี่ไปเข้าร่วมกองทัพ ในหนึ่งปีก็กลับบ้านได้แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่ถ้าไปทำงานที่สถาบันวิจัยก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาจะกลับบ้านได้บ่อยขึ้นเหมือนเจี่ยงสือเหิง และต่อไปทั้งสองคนก็จะได้ทำงานที่เดียวกัน ก็จะคอยดูแลกันและกันได้” ท้ายที่สุดแล้วหล่อนก็ยังรู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่ลูกชายได้รับบาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนงาน
เห็นเหยาจิ้งจือพูดอย่างนั้น ฉินมู่หลานก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ ต่อไปอาหลี่ก็จะกลับบ้านได้ทุกคืน”
เมื่อคิดเช่นนี้ หลายคนจึงรู้สึกว่าเซี่ยเจ๋อหลี่เปลี่ยนงานก็ดีแล้ว
ในตอนนี้ เซี่ยเหวินปิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น “สือเหิงกับอาหลี่เพิ่งกลับมา พวกเราอย่ามัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้เลย รีบไปกินข้าวที่ห้องอาหารกันก่อน หลังจากนั้นจะได้ให้ทั้งคู่ไปพักผ่อน”
เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ต่างพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ๆ กินข้าวก่อน”
ครอบครัวของเซี่ยเจ๋อเหว่ยก็อยู่ที่นี่ด้วย ทำให้มื้ออาหารนี้มีชีวิตชีวามาก
ช่วงนี้เจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยเจ๋อหลี่ต้องกินอาหารรสอ่อน อาหารในวันนี้จึงมีค่อนข้างเยอะ ขณะที่ทั้งสองกำลังจะลงมือกินอาหารมื้อใหญ่ ฉินมู่หลานก็เหลือบมองพวกเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ทั้งพ่อกับอาหลี่ยังต้องกินอาหารรสอ่อนอยู่นะคะ”
“มู่หลาน พวกเราต้องกินแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ปากพ่อแทบจะไม่ได้รสชาติแล้ว” เจี่ยงสือเหิงนึกถึงอาหารมื้อล่าสุดแล้วก็รู้สึกกินไม่ลง
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ปรายตามองเจี่ยงสือเหิง แล้วกล่าวขึ้น “พ่อคะ ตัวพ่อเองนี่แหละต้องใส่ใจให้มาก เพราะเคยโดนพิษ มันทำลายร่างกาย พ่อต้องใส่ใจเรื่องดูแลตัวเองให้ดีไปอีกนานเลยค่ะ”
ลุงเจี่ยงที่อยู่ข้าง ๆ ก็แนะนำด้วยทันที “ใช่ครับนายน้อย คุณหนูน้อยพูดไม่ผิดเลย เพราะฉะนั้นฟังหล่อนเถอะครับ”
แม้แต่ซูหว่านอี๋กับเหยาจิ้งจือต่างก็เกลี้ยกล่อมพวกเขาด้วยเช่นกัน
เจี่ยงสือเหิงจึงรีบโบกมือแล้วพูดขึ้น “ได้ ๆ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะหักห้ามใจตัวเอง ทุกคนรีบกินกันเถอะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เช่นเดียวกัน สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจกินอาหารรสอ่อน ยังดีที่ได้ซดน้ำแกงกระดูกหมูกลิ่นหอมน่ารับประทานมากไปชามใหญ่
หลังจากกินเสร็จ เจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง ตอนแรกฉินมู่หลานคิดจะอยู่ช่วยทำความสะอาด แต่เหยาจิ้งจือกลับขอให้เธอไปพักผ่อนด้วยเหมือนกัน “มู่หลาน ช่วงนี้เธอไปดูแลอาหลี่กับสือเหิงที่โรงพยาบาลมา เธอก็คงเหนื่อยเหมือนกัน ไปพักด้วยเถอะ เดี๋ยวฉันกับเสวี่ยเยี่ยนจัดการทางครัวเอง ส่วนหว่านอี๋ก็ช่วยดูแลเจ้าหนูสองคนให้อยู่ เพราะฉะนั้นเธอกลับไปพักที่ห้องเถอะ”
ซูหว่านอี๋ก็ยิ้มและพยักหน้าให้ลูกสาว “ใช่แล้วมู่หลาน ลูกรีบไปพักผ่อนเถอะ”
ช่วงนี้ฉินมู่หลานคอยดูแลเจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยเจ๋อหลี่ที่โรงพยาบาลตลอด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จึงพยักหน้าแล้วบอกกล่าวว่า “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอไปพักสักหน่อยนะคะ”
แต่เพิ่งเดินไปถึงลานหลังบ้าน ก็โดนฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยรั้งเอาไว้เสียก่อน
“มู่หลาน พวกเราอยากจะถามอะไรเธอสักหน่อยน่ะ”
เมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคน ฉินมู่หลานก็เอ่ยถามทันที “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกพี่มีอะไรเหรอคะ?”
“มู่หลาน พวกเราแค่อยากจะถามว่าพอจะมีบ้านเช่าที่อยู่ใกล้กับบ้านสี่ประสานของเธอไหม พวกเราอยากหาเช่าบ้าน ควรจะไปลองหาเองดูดีไหม หรือว่าให้คุณลุงช่วยหาให้ดี?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็อดหันมองแล้วเอ่ยถามพวกเขาเสียไม่ได้ “พวกพี่จะเช่าบ้านกันเหรอ? หรือว่าพวกลุงกับคนอื่นจะมาเมืองหลวงกัน?”
“ใช่แล้ว พวกพ่อกับแม่ก็อยากมา เพราะพวกเราสองคนทำงานที่นี่ คงไม่ได้กลับไปสักช่วงหนึ่งเลย ถ้าครอบครัวมาหาที่นี่ก็จะดีมาก”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้า แล้วเอ่ยขึ้น “อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันให้คนช่วยหาดูให้ ถ้าเจอบ้านที่เหมาะให้เช่าอยู่แล้วจะมาบอกพวกพี่ค่ะ”
ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยรีบกล่าวขอบคุณทันที
“มู่หลาน ขอบคุณเธอมากนะ”
“พี่ใหญ่ พี่รอง ตอนนี้พวกพี่อยู่ข้างนอก พวกเราไม่ต้องสุภาพกันขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”
ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยยิ้มและพยักหน้า แล้วพูดขึ้น “ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่พูดแล้ว ต่อไปถ้ามีโอกาส พวกเราคงจะได้อยู่ด้วยกัน”
พวกเขาทราบดีว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงเก่งกาจมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่เคอวั่งที่เป็นน้องชายพวกเขาก็ยังเทียบไม่ติด เพราะทั้งสองพี่น้องสอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว ต่อไปข้างหน้าก็จะเก่งกาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองก็ควรทำงานหารายได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองเช่นกัน หากเป็นไปได้พวกเขาก็อยากจะทำงานหารายได้แล้วลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหลวง
หลังจากสองพี่น้องบอกลาฉินมู่หลาน ก็ตรงไปที่ห้องรับแขก
ส่วนฉินมู่หลานกลับไปที่ห้องตัวเอง เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อลี่ยังไม่พักผ่อน ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “ทำไมถึงยังไม่พักผ่อน สองวันมานี้ฉันเห็นขอบตาคุณคล้ำมาก คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ นี่คิดจะดื้อกว่าพ่อบุญธรรมของฉันอีกเหรอ ถึงได้ไม่ยอมเชื่อฟังแล้วพักผ่อนให้เต็มที่”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็รีบบอกกล่าวทันที “มู่หลาน ผมเชื่อฟังคุณอยู่แล้ว ผมกำลังจะพักผ่อนอยู่พอดีเลย”
แต่ถึงอย่างนั้นฉินมู่หลานก็ไม่ยอมเชื่อ แล้วยังเอ่ยถามสิ่งที่เธอกำลังสงสัย
“คุณตั้งใจเปลี่ยนอาชีพมาทำงานที่สถาบันวิจัยจริงๆ ใช่ไหม ฉันบอกคุณไปแล้วว่ายังไงขาของคุณก็จะหายดี แต่คุณก็ยังยืนกรานที่จะเปลี่ยนอาชีพให้ได้ คุณมีแผนจะทำอะไรคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “มู่หลาน ทำไมคุณถึงรู้ได้”
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ ก็เชิดหน้าแล้วพูดขึ้น “คนฉลาดมองเพียงแวบเดียวก็ดูออกแล้ว ฉันมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของคุณจะหายขาดแน่นอน แต่คนอื่นเขาไม่คิดอย่างนั้น เพราะพวกเขาเชื่อไปก่อนแล้วว่าขาขวาของคุณจะพิการ เพราะฉะนั้นการที่คุณจะเปลี่ยนงานมันก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น”
“ใช่ มู่หลานของเรายอดเยี่ยมมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็เหลือบมองเซี่ยเจ๋อหลี่ แล้วพูดขึ้น “เอาล่ะ ฉันก็จะไม่ถามมากแล้ว ฉันรู้ดีว่าพวกคุณต้องเก็บความลับเยอะมาก แต่ก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วย คุณควรคิดถึงฉันและลูกให้มาก ๆ”
หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็รู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อย หากครั้งนี้เธอไปไม่ทันเวลา เจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยเจ๋อหลี่คงตกอยู่ในอันตรายกันทั้งคู่ คนหนึ่งอาจล้างพิษได้ไม่ทันเวลา ส่วนอีกคนคงจะได้มีผลข้างเคียงที่ขาตามมา
เมื่อเห็นฉินมู่หลานเป็นกังวลใจเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รีบปลอบ “มู่หลาน คุณไม่ต้องห่วง ผมจะใส่ใจให้มากขึ้น และจะไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเชื่อคุณค่ะ”
ทั้งสองจับเข่าพูดคุยกัน หลังจากพูดกันต่ออีกสองสามคำ ก็พักผ่อนด้วยกัน
ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ตื่นขึ้นอีกครั้งก็เห็นว่าฟ้ามืดแล้ว ทั้งสองจึงเดินไปที่ลานหน้าบ้าน พบว่าตอนนี้เจี่ยงสือเหิงตื่นแล้วและกำลังเล่นกับเด็กทั้งสองคน ส่วนซูหว่านอี๋ก็กำลังยุ่งอยู่กับงานในครัว โดยมีฉินเจี้ยนเซ่อกับฉินเคอวั่งสองพ่อลูกคอยช่วยอยู่ข้างใน ส่วนฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยก็ช่วยกันนำจานและตะเกียบมาวาง
“มู่หลาน อาหลี่ พวกเธอมาแล้วเหรอ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หรือว่าพี่หลี่ลาออกจากกองทัพเพื่อมาเป็นสปายให้กองทัพงั้นเหรอ?
ไหหม่า(海馬)