ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 179 โจ๊กเนื้อวัวมังกรพเนจรมงกุฎเลือด
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 179 โจ๊กเนื้อวัวมังกรพเนจรมงกุฎเลือด
“ท่าน… ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หยูเฟิ่งยังมีทางรอดจริงหรือเจ้าคะ” หลังจากที่เหม่อไปครู่หนึ่ง มนุษย์อสรพิษสตรีรูปงามก็น้ำตาอาบสองแก้ม นางปิดปากตนเองแล้วเริ่มสะอื้นไห้
สามีของนางยังมีหวังอยู่จริงๆ เสียด้วย นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งเผ่ามนุษย์อสรพิษกำลังจะกลับมาแล้ว
“เม็ดบัวของดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งจะต้องช่วยชีวิตหยูเฟิ่งได้อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสสูงสุดตอบขณะมองหน้านาง
ปู้ฟางและอู๋อวิ๋นไป่ยืนมองอยู่รอบนอกเงียบๆ
ผู้อาวุโสสูงสุดยกฝักบัวขึ้น ทันทีที่เขาปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ผ่านฝ่ามือเข้าไปในฝักบัว เม็ดบัวที่หน้าตาเหมือนหินอ่อนก็หลุดออกจากฝัก เม็ดบัวนั้นใสแจ๋วไร้มลทินราวกับสลักมาจากหยกล้ำค่า
ทุกคนในห้องต่างพากันตื่นตะลึงกับพลังปราณเที่ยงแท้ปริมาณมหาศาล และกลิ่นของสมุนไพรที่พลันไหลเข้าท่วมห้องทั้งห้อง
ปู้ฟางสูดหายใจเอากลิ่นเข้าปอด ดวงตาเป็นประกายสว่างเจิดจ้า ดูจากแค่ระดับพลังปราณและกลิ่นแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งนี้คู่ควรที่จะนำไปใช้กับสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงและผลไม้ตื่นรู้ทางสามสายอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสสูงสุดถือเม็ดบัวไว้ในมือ จากนั้นก็กำหมัดเข้าหากันแน่น เขาส่งพลังปราณเที่ยงแท้ไปที่ฝ่ามือ ทันใดนั้นเม็ดบัวในมือก็แหลกสลายกลายเป็นผง ผู้อาวุโสสูงสุดแบมือออก เผยให้เห็นผงจากเม็ดบัวที่ลอยอยู่บนฝ่ามือ
จากนั้นเขาก็โบกมือเบาๆ เพื่อส่งผงเม็ดบัวเข้าไปในปากของมนุษย์อสรพิษชายที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่
ดวงตาของหยูฟู่เป็นประกายด้วยความหวังขณะมองไปที่บิดา ผู้ซึ่งได้รับผงเม็ดบัวเข้าไป
เมื่อได้รับผงเม็ดบัวเข้าปาก ใบหน้าของมนุษย์อสรพิษชายก็สว่างเรืองขึ้นทันที ลำแสงสีฟ้าอ่อนวาบผ่าน… จากนั้นก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีก
อะไรกัน แค่นี้เองหรือ
ปู้ฟางชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุด อีกฝ่ายใช้เม็ดบัวไปหนึ่งเม็ด… แต่ดูเหมือนว่าแผนการรักษาจะไม่ได้ผลเสียอย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ได้มีแต่ปู้ฟางเท่านั้นที่ประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่ตัวผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ประหลาดใจเช่นกัน จากการคาดคะเนของเขา หัวหน้าเผ่าต้องตื่นขึ้นหลังจากรับเม็ดบัวของดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งเข้าไปสิ
ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ยอมแพ้ เขาบดเม็ดบัวอีกเม็ดหนึ่งแล้วส่งผงนั้นเข้าไปในปากของมนุษย์อสรพิษชาย แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนครั้งแรก มีเพียงลำแสงสีฟ้ากะพริบผ่านใบหน้าของหัวหน้าเผ่าเท่านั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
เม็ดบัวทุกเม็ดของดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งมีคุณสมบัติและมูลค่าสูงลิ่ว หลังจากที่กินเม็ดบัวเข้าไปสองเม็ดติดต่อกัน ชายผู้นี้ควรจะตื่นได้แล้ว…
ผู้อาวุโสสูงสุดกัดฟันแล้วบดเม็ดบัวอีกเม็ดด้วยมือสั่นเทา
ทั้งฝักมีเม็ดบัวอยู่แปดเม็ดด้วยกัน การใช้เม็ดบัวสามเม็ดติดนั้นเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเป็นอันมาก
กระนั้น… หัวหน้าเผ่ามนุษย์อสรพิษก็ยังคงหลับไหลอยู่
มาถึงจุดนี้ริมฝีปากของผู้อาวุโสสูงสุดก็เริ่มสั่นเทา เขาตั้งใจจะบดอีกเม็ด แต่อู๋อวิ๋นไป่ที่ยืนมองอยู่กลับทนไม่ไหวจนต้องเข้าไปหยุดเอาไว้
“อย่าใช้อีก หากการรักษาเช่นนี้ได้ผลเขาก็ควรจะตื่นตั้งแต่เม็ดแรก สามเม็ดนั้นมากเกินไปแล้ว ใช้มากกว่านี้… จะเสียของเปล่าๆ” อู๋อวิ๋นไป่พูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเล็กน้อย
ผู้อาวุโสสูงสุดลดมือที่ถือเม็ดบัวลง ใบหน้าของเขาขาวซีดจากความหวังที่พังทลายลงต่อหน้าต่อตา
ส่วนมนุษย์อสรพิษสตรีรูปงามและหยูฟู่ก็แทบคลั่ง ความหวังที่เพิ่มขึ้นจนเต็มเปี่ยมก่อนหน้านี้ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
อู๋อวิ๋นไป่เดินไปหาชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง นางปล่อยกลุ่มพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากมือเข้าห่อหุ้มหน้าอกของอีกฝ่ายไว้ จากนั้นก็หลับตาลงราวกับกำลังตรวจสอบสภาพร่างกายของชายผู้นี้
“เขายังไม่ได้สติเพราะสูญเสียพลังชีวิตไปปริมาณมหาศาล ไม่ว่าจะใช้เม็ดบัวอีกกี่เม็ดก็เสียเปล่า ถึงเม็ดบัวเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพลังปราณให้เขาได้และช่วยทำให้อัตราการฟื้นตัวเพิ่มเร็วขึ้น แต่ก็ไม่สามารถนำพลังชีวิตกลับมาได้ ทำเช่นนี้จะเป็นการเสียสมุนไพรชั้นดีไปโดยเปล่าประโยชน์” อู๋อวิ๋นไป่พูดอย่างตรงไปตรงมา
นางถอนมือออกแล้วหันไปมองคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้อง
ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจ ดวงตาที่จับจ้องไปยังบุตรสาวและภรรยาของหัวหน้าเผ่านั้นแดงก่ำ ความหวังของพวกเขาพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี แค่ไม่ระเบิดร้องไห้โฮออกมาตอนนี้ก็ถือว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว
พลังชีวิตเช่นนั้นหรือ ปู้ฟางหรี่ตา ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในหัว
ชายหนุ่มก้าวออกมาข้างหน้า แล้วค่อยๆ เดินไปหามนุษย์อสรพิษที่นอนอยู่บนเตียง เขาหยุดลงข้างเตียงจากนั้นก็จ้องใบหน้าของชายผู้นั้นอยู่นานสองนาน
หลังจากที่มองอยู่พักใหญ่ ปู้ฟางก็หันไปหาอู๋อวิ๋นไป่แล้วถาม “เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเขายังไม่ได้สติเพราะสูญเสียพลังชีวิต”
อู๋อวิ๋นไป่พลันจนด้วยคำพูด เมื่อเห็นปู้ฟางไปยืนสังเกตอาการของชายผู้นี้อยู่นานสองนาน นางก็คิดว่าเขาจะค้นพบอะไรใหม่ แต่ท้ายที่สุดหมอนี่กลับต้องมาถามนาง แล้วไปยืนมองอยู่ทำบ้าอะไรตั้งนาน!
“ศิษย์แห่งตำหนักเมฆาขาวต้องศึกษาเล่าเรียนหลายต่อหลายทักษะ ทักษะการรักษาเยียวยาก็เป็นหนึ่งในวิชาหลักที่เราต้องศึกษา ด้วยเหตุนี้คำวินิจฉัยของข้าจึงถูกต้องอย่างแน่นอน” นางพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ปู้ฟางพยักหน้า เขาเมินอู๋อวิ๋นไป่ที่กำลังทำอกผายไหล่ผึ่งด้วยความภาคภูมิใจ แล้วหันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดพร้อมยื่นมือออกมา “ในเมื่อเม็ดบัวไม่มีประโยชน์แล้ว จงเอาที่เหลือมาให้ข้า”
ผู้อาวุโสสูงสุดส่งฝักบัวให้ชายหนุ่มโดยไม่พูดอะไรอีก ปู้ฟางเก็บฝักบัวเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เก็บของเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หันไปหามารดาของหยูฟู่ที่กำลังร้องไห้อยู่แล้วเอ่ยถาม “มีเตาทำอาหารหรือไม่”
มนุษย์อสรพิษหญิงผู้นั้นมองปู้ฟางด้วยสายตางุนงง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ด้านหลังของห้องตามความเคยชิน
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินไปหาเตาทำครัวสภาพทรุดโทรมที่มุมห้อง
ข้างๆ เตานั้นมีถังเก็บข้าวอยู่ ชายหนุ่มเปิดฝาถังแล้วพบว่าภายในไม่มีข้าวแม้แต่เมล็ดเดียว สภาพความเป็นอยู่ของเผ่ามนุษย์อสรพิษนั้นยากลำบากจริงๆ เสียด้วย
หลังจากที่ทำความสะอาดหม้อเสร็จเรียบร้อย ปู้ฟางก็ก่อไฟแล้วเริ่มสาละวนทำโน่นทำนี่อยู่ข้างๆ เตาทำอาหาร
ตอนแรกอู๋อวิ๋นไป่รู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของปู้ฟาง แต่จู่ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างทอแสงกล้า
“เขาจะทำอาหารโอสถทิพย์เพื่อรักษามนุษย์อสรพิษผู้นี้หรือ แต่ว่า… เป็นไปได้หรือที่จะฟื้นฟูพลังชีวิตด้วยอาหารโอสถทิพย์น่ะ” นางพึมพำกับตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ
การสูญเสียพลังชีวิตนั้นเป็นปัญหาที่พบเจอได้ค่อนข้างบ่อย โดยปกติแล้วพลังชีวิตของคนที่ร่างกายไม่แข็งแรงนักจะลดลงเรื่อยๆ อยู่แล้ว และเมื่อพลังชีวิตลดไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะเกิดปัญหาใหญ่หลวงอย่างที่เห็นกันอยู่ตรงหน้านี้
ปู้ฟางหยิบข้าวออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ นี่เป็นข้าวชนิดเดียวกับที่ใช้ทำข้าวผัดไข่ที่ร้าน ข้าวทุกเมล็ดอ้วนกลม ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้ข้าวนี้ทำอาหารกินเอง แต่ขณะอยู่ในหนองน้ำปราณมายาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้เสียที ดูเหมือนว่านี่จะเป็นโอกาสเหมาะที่จะนำมาใช้ประโยชน์แล้ว
พอซาวข้าวเสร็จเขาก็นำไปใส่ในหม้อเพื่อหุงให้สุก
ปู้ฟางรวบรวมพลังปราณที่เพิ่งฟื้นฟูกลับมาได้ แล้วเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมา จากนั้นมงกุฎเลือดก็ปรากฏขึ้นในมืออีกข้างพร้อมแสงสว่างวาบ
“นี่มัน… มงกุฎเลือดของงูเหลือมทมิฬมิใช่รึ” อู๋อวิ๋นไป่เอามือปิดปาก สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ “เมื่อครู่…ไอ้หมอนี่มันไปได้สิ่งนี้มาหรือ”
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงดูเหมือนว่าป่านนี้งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬคงจะกำลังหดหู่ถึงขีดสุด เนื่องจากมันไม่ได้อะไรเลย แถมยังสูญเสียมงกุฎเลือดของตนเองไปอีก!
กระนั้นหากใช้มงกุฎเลือดนี้… อาจจะได้ผลก็เป็นได้ สารัตถะของงูเหลือมทมิฬรวมถึงพลังชีวิตส่วนมากของมันอัดแน่นอยู่ในมงกุฎเลือด อาหารโอสถทิพย์ที่ทำจากมงกุฎเลือดนี้ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผล
ปู้ฟางเฉือนเนื้อชิ้นเล็กๆ ออกจากมงกุฎเลือดอย่างระมัดระวังด้วยมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง พอได้ปริมาณเท่าที่จะใช้เรียบร้อย เขาก็เก็บมงกุฎเลือดกลับที่เดิม จากนั้นชิ้นเนื้ออ้วนท้วนอ่อนนุ่มของวัวมังกรพเนจรก็ปรากฏขึ้นในมือ
ชายหนุ่มหั่นเนื้อวัวให้เป็นลูกเต๋า แล้วผสมเนื้อทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันใส่เข้าไปในหม้อ
เมื่อเปิดฝาหม้อ ทุกคนในห้องก็ต้องตกใจกับกลิ่นข้าวหอมสดชื่นที่มาพร้อมไอน้ำขาวลอยฟุ้ง
หยูฟู่และมารดาของนางหันมามองปู้ฟาง ทั้งสองงุนงงไม่น้อยเมื่อเห็นว่าที่จริงแล้วชายหนุ่มกำลังทำโจ๊กอยู่
หยูฟู่เข้าใจปู้ฟางมากกว่ามารดาของนาง เมื่อตระหนักได้ว่าชายหนุ่มอาจจะทำอาหารโอสถทิพย์อยู่ ดวงตาของนางก็กลับมาเป็นประกายด้วยความหวังอีกครั้ง
บิดาของนางอาจจะยังมีทางรอดอยู่ก็เป็นได้!
เมื่อฟองขาวในหม้อเริ่มเดือดปุด เมล็ดข้าวอวบอ้วนก็เริ่มส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
หลังจากที่ใส่ส่วนผสมของมงกุฎเลือดและเนื้อวัวมังกรพเนจรเข้าไปในหม้อเรียบร้อย สีหน้าของปู้ฟางก็เริ่มจริงจังขึ้นเช่นกัน เขายังฟื้นฟูพลังปราณกลับมาได้ไม่สมบูรณ์ จึงไม่มั่นใจว่าตนเองจะยังมีพลังปราณเหลือพอทำอาหารโอสถทิพย์เสร็จหรือไม่
โชคดีที่กระบวนการทำโจ๊กนั้นเรียบง่ายกว่าอาหารโอสถทิพย์ชนิดอื่นมาก ระดับพลังปราณที่เขามีอยู่จึงอาจพอทำจนเสร็จก็เป็นได้
“ดูเหมือนว่าคราวหน้าข้าจะต้องเตรียมของขบเคี้ยวเอาไว้ฟื้นฟูพลังปราณตัวเองแล้ว… จะปล่อยให้พลังหมดเรื่อยๆ อย่างนี้คงไม่ได้” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจากความเหนื่อยล้า
แต่ท้ายที่สุดอาหารโอสถทิพย์ก็สำเร็จจนได้
เมล็ดข้าวสีขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย พร้อมด้วยชิ้นเนื้อวัวสีแดงเข้มที่ลอยอยู่ด้านบน กลิ่นหอมเข้มและพลังชีวิตก็ลอยอยู่เหนือโจ๊กในหม้อเช่นกัน
โจ๊กที่ทำมาจากเนื้อของอสูรเวทระดับเจ็ดทั้งสองชนิดย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ปู้ฟางใช้ทัพพีตักโจ๊กขึ้นมาใส่ชามกระเบื้องใบเก่า ปริมาณที่เขาทำเท่ากับหนึ่งชามพอดี ชายหนุ่มเดินถือชามโจ๊กที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตตรงไปยังคนอื่นๆ ในห้องซึ่งกำลังตื่นตกใจ