ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 53 มังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณ
พอโลหิตโดนลมก็กลายเป็นกลุ่มหมอกเลือดทะทวงเข้ามาในเรือไม้
พอมีเสียงดังขึ้น
ความเร็วของเรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
เซียวเฟิงสงบจิตยังไม่สามารถสงบจิตใจได้ หลังของเขากลิ้งไปชนกับขอบเรือเหาะอย่างรุนแรง เขารู้สึกเจ็บจนร้องออกมา
หลิ่วหมิงออกแรงที่แขนทั้งสองค่อยๆ นั่งลงตรงที่เดิมอย่างมั่นคง
จูชื่อที่แสดงพลังได้อย่างสมบูรณ์แบบนั่งลงตรงดาดฟ้าเรือด้วยสีหน้าซีดขาว
นักพรตจงเก็บมือทั้งสอง มองไปยังด้านหลังด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
ผ่านไปชั่วครู่ เรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็เหาะออกมาได้ไกลสิบกว่าลี้ ทะเลเพลิงที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ ลับหายไป และตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่สิ่งใดๆ ตามมา
จูชื่อและนักพรตจงเห็นเช่นนี้ถึงได้มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น
“ดูเหมือนเจ้ามารผจญนั้นเพิ่งจะตื่นฟื้น และไม่ยอมเสียพลังเพื่อตามฆ่าพวกเรา พวกเราทั้งสี่นับว่าโชคดีที่รอดมาได้” นักพรตจงถอนหายใจเบาๆ กล่าวออกมา
หลังจากกลับไป จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับศิษย์พี่ท่านประมุข จะต้องให้คนไปกำจัดมันให้สิ้นซาก ดูจากท่าทีของเจ้ามารผจญนี้เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับผลึกจิตวิญญาณได้ไม่นาน ถ้าผ่านไปอีกร้อยปีแล้วพลังของมันถึงระดับที่เสถียรภาพแล้ว เกรงว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับนิกายแต่ละนิกายแล้ว” จูชื่อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ปีนั้นใครๆ ก็รู้ว่าข้างกายของนักพรตสยบมังกรมีมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณระดับของเหลวจิตวิญญาณอยู่ตนหนึ่ง แต่หลายปีที่เขาบำเพ็ญเพียรอยู่นั้นเจ้ามังกรแดงตัวนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนั้นใครก็คิดว่านักพรตสยบมังกรยอมสังหารมันด้วยตนเองอย่างเจ็บปวดเพื่อป้องกันไม่ให้มันทำเรื่องเลวร้ายในโลกมนุษย์ ใครจะไปคิดว่าเจ้ามังกรตัวนี้กลับซุ่มซ่อนฝึกฝนอยู่ภายใต้ไฟพิภพบนเกาะแห่งนี้ ทั้งยังบรรลุสู่ระดับผลึกจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ และยังแอบฝึกอาวุธจิตวิญญาณหลายชิ้นที่นักพรตสยบมังกรได้ทิ้งไว้
“โชคดีที่ตอนพวกเราไป เจ้ามังกรตัวนี้ยังครึ่งหลับครึ่งตื่น ยังประจวบเหมาะกับที่มันกำลังฝึกกระบี่สยบมังกร เลยถูกบีบให้ระเบิดกระบี่นั้นออกมาเพื่อป้องกันตัว มิเช่นนั้นถ้าปล่อยให้มันฝึกกระบี่จิตวิญญาณนี้สำเร็จคงจะยิ่งรับมือกับมันได้ยากขึ้น” จูชื่อฝืนยิ้มกล่าวอย่างขมขื่น
“แต่เฉิงเอ๋อร์กลับหนีเคราะห์นี้ไม่พ้นนี้ กลับไปยังไม่รู้เลยว่าจะอธิบายกับศิษย์พี่อย่างไร” นักพรตจงกล่าวสีหน้าเศร้าหมอง
“เรื่องเฉิงเอ๋อร์นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เจ้ามังกรตัวนี้กำลังรวบรวมพลังอยู่ ยังมีพลังเหลือในการระเบิดกระบี่สยบมังกรออกมาได้ สิ่งที่มันระเบิดออกมาไม่เพียงแต่พวกเราที่สูญเสีย ทางด้านหุบเขาเก้าช่องก็เหมือนจะสูญเสียเยอะกว่าพวกเรา ศิษย์ที่ต้าจื้อเตรียมให้เข้าสู่เส้นทางการฝึกร่างผู้นั้น ดูเหมือนจะหนีเคราะห์นี้ไม่พ้นเช่นกัน” จูชื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ตอนนี้หลิ่วหมิงกับเซียวเฟิงเพิ่งจะเข้าใจเรื่องราวอย่างคร่าวๆ
ดูเหมือนว่าหลังจากที่จูชื่อและคนอื่นๆ เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนที่นั้นแล้ว ไม่เพียงจะหาสมบัติล้ำค่าไม่เจอ แต่กลับไปประสบกับมังกรอันน่ากลัวตนหนึ่ง และอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสี่ต่างก็รีบร้อนหนีออกมา
และพอหลิ่วหมิงได้ยินทั้งสองพูดถึง ‘ของเหลวจิตวิญญาณ’ ‘ผลึกจิตวิญญาณ’ และประโยคอื่นๆ ก็ทำให้เขาใจเต้นอย่างไม่รู้ตัว
หรือว่าระดับการฝึกฝนไม่ได้มีแค่ศิษย์จิตวิญญาณ อาจารย์จิตวิญญาณ แต่ยังมีระดับขั้นที่สูงขึ้นไปอีก!
เรื่องนี้เขาไม่เคยได้ยินคนกล่าวถึงมาก่อน และยังไม่เคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณ
ตอนนี้ดูเหมือนจูชื่อและนักพรตจงไม่มีความสนใจที่จะคุยต่อแล้ว คนหนึ่งกระตุ้นเรือเหาะจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ อีกคนนั่งขัดสมาธิลงไปเพื่อพักผ่อน
สิบกว่าวันผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงนิกายปีศาจ
พอกลับไปถึงเขาเก้าทารก จูชื่อให้ทุกคนกลับไปยังที่พักก่อนส่วนเขาและนักพรตจงมุ่งหน้าไปหานักปราชญ์กุยบนยอดเขา
และเวลาผ่านไปสักครู่ นักปราชญ์กุยก็พาทั้งสองออกไปจากเขาเก้าทารกอย่างรีบร้อน
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หัวหน้าแต่ละสาขาที่อยู่บนหอบูรพาจารย์ของนิกายปีศาจต่างก็คุยกันเสียงกันดังก้อง
อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละสาขา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่หรือถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์อยู่ ต่างก็ว่างงานในมือขี่เมฆเหาะมายังยอดเขาหลัก
ศิษย์นิกายสายนอกคนอื่นๆ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาด้วยความตกใจ
ขณะเดียวกันหลิ่วหมิงที่กลับถึงที่พัก ก็กำลังเอาหน้าซุกนอนหลับอยู่บนที่นอน หน้าต่างตรงข้ามมีเสียงระฆังดังมาแว่วๆ แต่เขาเหมือนกับไม่ได้ยินมัน
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ศิษย์นิกายสายนอกคนหนึ่งยืนรออย่างเรียบร้อยอยู่ด้านนอกแล้ว และแจ้งเรื่องที่นักปราชญ์และคนอื่นๆ เรียกตัวเขาไปพบ
หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณกับศิษย์ผู้นั้น แล้วก็ขี่เมฆเหาะไปยังปลายยอดเขาทันที
พอเข้าไปในหอใหญ่แล้ว นักปราชญ์ จูชื่อ นักพรตจง ทั้งสามรออยู่ที่นั่นนานแล้ว ทั้งยังดูเหมือนเพิ่งพูดเรื่องบางอย่างเสร็จ แต่ละคนมีสีหน้าที่ดูกังวลเป็นอย่างยิ่ง
“คารวะอาจารย์กุย อาจารย์อาจู อาจารย์อาจง!” หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โค้งตัวคำนับ
“ลุกขึ้นเถอะ ชงเทียน การแสดงของเจ้าที่เกาะสยบมังกรในครั้งนี้ ข้าได้ยินอาจารย์อาทั้งสองของเจ้าเล่าให้ฟังหมดแล้ว เจ้านับว่าสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับสาขาของเรา” พอนักปราชญ์เห็นหลิ่วหมิงก็โบกมือบอกให้เขาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“มิกล้า นี่เป็นเรื่องที่ศิษย์ควรทำ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน
“เจ้าไม่ต้องกล่าวเช่นนี้หรอก ถึงแม้สาขาเก้าทารกของเราจะอ่อนแอที่สุดในนิกาย แต่การปูนบำเหน็จความดีความชอบและการลงโทษชัดแจ้งและยุติธรรม และข้าได้ยินศิษย์น้องจูกล่าวว่าก่อนการประลองสำคัญรอบสุดท้าย ทั้งสองรับปากแบ่งผลประโยชน์ที่ได้รับหนึ่งในสิบให้เจ้า ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ข้าเองก็ย่อมไม่คัดค้าน ศิษย์น้องจู เจ้านำของออกมาเถอะ” นักปราชญ์ยิ้มแล้วหันหน้าไปบอกกับจูชื่อ
จูชื่อพยักหน้า มือข้างหนึ่งคว้าไปจับถุงหนังบนเอว และหยิบสิ่งของหลายอย่างออกมาจากในนั้นแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะข้างๆ
มันคือกล่องไม้สีแดงที่บรรจุผลหยกเขียวกลมๆ สามผล กับโลหะสีดำที่เปล่งประกายแสงอันเย็นสะท้านสามแท่ง
“ในนี้มีผลหยกสวรรค์สามผลกับเหล็กบริสุทธิ์ชั้นดีสามแท่งที่หนักรวมกันสิบชั่ง มันเท่ากับหนึ่งในสิบของผลประโยชน์ที่ได้รับในครั้งนี้พอดี ตอนนี้พวกมันเป็นของเจ้าแล้วแต่ว่าตอนนี้ข้ามีข้อเสนอให้เจ้าสองข้อ เจ้าอยากจะฟังดูก่อนไหม?” นักปราชญ์ค่อยๆ กล่าวออกมา
“เชิญอาจารย์กุยชี้แนะ!” หลิ่วหมิงระงับความดีใจไว้แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม
“ข้อเสนอแรกคือ เจ้าสามารถนำผลหยกสวรรค์ทั้งสามผลกับเหล็กบริสุทธิ์ทั้งสามแท่งขายให้พวกข้าทั้งสาม ซึ่งจะแลกหินจิตวิญญาณได้ประมาณหกเจ็ดพันก้อน มีหินจิตวิญญาณเยอะขนาดนี้เพียงพอสำหรับให้เจ้าใช้จ่ายในนิกายได้ถึงสิบปี ด้วยเหตุนี้เจ้าจะสามารถมุ่งมั่นฝึกฝนได้โดยไม่ต้องไปวิ่งหาหินจิตวิญญาณอีก ข้อเสนอที่สองข้าสามารถช่วยเจ้าส่งผลหยกสวรรค์ทั้งสามผลนี้ไปให้นักปรุงโอสถที่เก่งที่สุดในนิกาย ให้เขาช่วยเสริมวัตถุดิบให้แล้วปรุงเป็นน้ำจิตวิญญาณล้างไขกระดูกให้เจ้า แต่ว่าเหล็กบริสุทธิ์ทั้งสามแท่งนี้ต้องให้พวกเราเป็นข้อแลกเปลี่ยน ชงเทียน เจ้าคิดว่าอย่างไร?” นักปราชญ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์เลือกข้อเสนอที่สอง!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบตัดสินใจโดยไม่ต้องคิด
“เจ้าจะไม่คิดดูให้ดีก่อนหรือ” กุยหรูฉวนเห็นหลิ่วหมิงตอบกลับมารวดเร็วเช่นนี้ก็ถามกลับไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ไม่ต้องแล้ว ศิษย์ทราบว่าตนเองมีความสามารถต่ำต้อย ในเมื่อน้ำจิตวิญญาณนี้สามารถล้างไขกระดูกได้ศิษย์ย่อมไม่ละทิ้งโอกาสอันดีนี้อย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างแน่วแน่
“ดี ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ สิบวันให้หลังเจ้าค่อยมาเอาน้ำจิตวิญญาณล้างไขกระดูกที่นี่เถอะ” นักปราชญ์พยักหน้าแล้วไม่กล่าวแนะนำอะไรต่ออีก
หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
ต่อมานักปราชญ์ถามเรื่องการฝึกฝนของหลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้วก็ให้เขากลับไปก่อน
“ศิษย์พี่ ตอนนี้เฉิงเอ๋อร์ก็ไม่อยู่แล้ว ท่านไม่คิดจะรับศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์ติดตามจริงๆ หรือ!” พอร่างหลิ่วหมิงหายลับไปกับประตูใหญ่นักพรตจงก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ถึงแม้ตอนที่อยู่เกาะสยบมังกรศิษย์ผู้นี้จะแสดงออกมาได้ไม่เลว แต่อย่างไรก็เป็นแค่ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ และยังทานโอสถเพิ่มพลังเวทย์เข้าไปอีก เกรงว่าต่อไปจะไม่สามารถดึงพลังศักยภาพออกมาได้ ต่อให้เขาจะใช้น้ำยาจิตวิญญาณล้างไขกระดูก ชาตินี้ก็คงเป็นได้สูงสุดศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น มันไม่คุ้มค่ากับการทุ่มแรงฝึกฝนเขา และทรัพยากรสาขาเราก็มีจำกัดควรทุ่มมันให้กับเฟิงเอ๋อร์ และศิษย์คนอื่นที่มีคุณสมบัติดีกว่าจะดีกว่า แบบนี้สาขาเก้าทารกของเราถึงจะมีความหวังผุดขึ้นมาได้อีกครั้ง อย่างไรความแข็งแกร่งของนิกายก็วัดจากจำนวนของอาจารย์จิตวิญญาณที่แต่ละสาขามี” นักปราชญ์ส่ายหน้ากล่าวออกมา
“แต่ทำแบบนี้ก็น่าเสียดายไปสักหน่อยนะ การต่อสู้ของศิษย์ผู้นี้น่าอัศจรรย์มากถ้าหากเขาสามารถบรรลุเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้จริงๆ ล่ะก็ ไม่แน่พวกเราอาจมีความหวังที่เขาจะช่วงชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาได้” จูชื่อกล่าว
“แค่ตำแหน่งศิษย์แกนนำมันจะมีประโยชน์อันใด เทียบกันแล้วถ้าหากว่าสาขาของเรามีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคนล่ะก็ ชื่อเสียงและอิทธิพลของสาขาเราก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน” กุยหรูฉวนได้ยินแล้วก็ยังคงยืนกรานความคิดเดิม
ได้ยินนักปราชญ์กล่าวเช่นนี้ จูชื่อและนักพรตจงต่างก็มองหน้ากันแต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“ใช่สิ! เรื่องตลาดเผ่าเจ้าสมุทรจะทำอย่างไร มอบผลจิตวิญญาณให้ชงเทียนไปสามผลแล้วในมือของพวกเรายังมีอีกสามสิบผล คงจะเพียงพอสำหรับเข้าไปเลือกหาสิ่งของในตลาดเผ่าเจ้าสมุทรแล้ว” จูชื่อตาเป็นประกายแล้วเปลี่ยนหัวข้อถามออกไป
“อือ! ตลาดเผ่าเจ้าสมุทรเปิดแล้วนับว่าเป็นโอสกาสอันดีที่สวรรค์ประทานให้ ไม่แน่อาจจะสามารถแลกสิ่งของที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าผลหยกสวรรค์สิบเท่าร้อยเท่า แต่พวกเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นแต่ละคนก็ปลิ้นปล้อนเป็นพิเศษ หลายปีมานี้มีคนน้อยมากที่ได้ผลพวงอันดีจากที่นั่น เอาอย่างนี้เถอะ กลับไปข้าจะเชิญสหายที่มีจักษุจิตวิญญาณผู้หนึ่งเดินทางไปด้วยกัน แบบนี้เราก็พอจะมีความมั่นใจมากขึ้น” นักปราชญ์คิดไปคิดมาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมา
จูชื่อและนักพรตจงรับฟังแล้ว ย่อมไม่มีความคิดเห็นใดๆ
“ศิษย์พี่กุย ได้ยินมาว่าอาจารย์อาออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว และรีบไปเกาะสยบมังกรในคืนนั้นทันที?” คุยกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วนักพรตจงก็ถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ มังกรแดงเดิมทีก็เป็นอสูรชั่วร้ายที่พบเจอได้น้อยมาก ทุกส่วนของมันเป็นของล้ำค่าทั้งยังเป็นมังกรแดงที่บรรลุเข้าสู่ระดับผลึกจิตวิญาณ ถ้าหากว่าอาจารย์ได้โลหิตของมังกรตัวนี้มาแล้วหานักปรุงโอสถมาปรุงให้เป็นโอสถที่เล่าลือกัน ไม่แน่อาจฝึกฝนบรรลุขึ้นไปอีกระดับได้ แต่ตอนนี้ยังมีหุบเขาเก้าช่องที่รู้เรื่องมังกรตัวนี้เกรงว่าผู้อาวุโสหลิงอวี้ผู้นั้นก็คงจะไปรีบไปทันทีที่ได้ทราบเรื่อง” นักปราชญ์ได้ยินก็ตอบกลับไปช้าๆ
“ในเมื่อผู้อาวุโสระดับผลึกจิตวิญญาณทั้งสองออกโรงเอง เจ้ามังกรร้ายนั่นก็อย่าหวังจะหนีรอดไปได้” นักพรตจงกลับถอนหายใจยาวออกมา
“ฮึ! ศิษย์น้องเจ้าอาจจะดีใจเร็วไปหน่อย เมื่อเทียบกับระดับเดียวกันแล้ว อสูรร้ายขั้นสูงเดิมทีก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างเรา และเจ้ามังกรร้ายตัวนั้นมันติดตามนักพรตสยบมังกรมานานขนาดนั้น คิดว่าคงจะคงได้เรียนรู้ความสามารถอื่นๆ ไปไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ฟังพวกเจ้าเล่ามาอาวุธจิตวิญญาณติดตัวของนักพรตสยบมังกรก็ตกอยู่ในมือของมังกรตัวนี้ และถูกมันฝึกฝนไปไม่น้อยแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ถึงแม้อาจารย์อากับผู้อาวุโสหลิงอวี้จะออกโรงพร้อมกัน ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถสังหารมังกรตัวนี้ได้” นักปราชญ์ทำเสียงฮึดฮัดกล่าวออกมา
……………………………………….