ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 17 สงครามปะทะวาจา ณ หอหมิงเยว่ (2)
หลี่เสี่ยนยิ้มตอบ “แม้สองแคว้นจะเป็นพันธมิตรกันแล้ว ทว่าแคว้นท่านกลับมีคนที่ยังไม่ลืมความแค้นระหว่างสองแคว้นเช่นเดียวกับชินอ๋องไม่น้อย หากแคว้นข้าไม่ฝึกทัพเรือ เกรงว่าทัพใหญ่ของแคว้นท่านคงข้ามแม่น้ำมานานแล้ว เต๋อชินอ๋องนั่งบัญชาการอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำฉางเจียงมานาน จะไม่ทราบสถานการณ์นี้เชียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อแคว้นข้าเป็นพันธมิตรกับแคว้นท่านแล้ว อีกทั้งน้องฉางเล่อซึ่งเป็นธิดารักของเสด็จพ่อก็มาแต่งงานไกลถึงหนานฉู่ หลายปีมานี้ สองแคว้นไม่เพียงไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ทั้งยังเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการค้าและการแต่งงานอีกไม่น้อย มิได้ปิดกั้นเช่นแคว้นสู่ แคว้นข้าหารือทางการทหารกันมานานแล้ว เห็นพ้องว่าจะไม่โจมตีแคว้นสู่ด้วยตัวเองเพื่อเลี่ยงความแคลงใจกับมิตรสหาย เพื่อให้แผ่นดินใกล้เคียงหนานฉู่สงบสุข”
จ้าวเจวี๋ยยิ้มเย้ยหยัน “มีเหตุผลเช่นนั้นที่ไหนกัน สิบปีมานี้ หนานฉู่ส่งบรรณาการเป็นเงินทองสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่แคว้นท่านกลับไม่ยอมขายอาวุธและม้าศึกให้เรา หากมีใจคิดเป็นพันธมิตรอย่างแท้จริงจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร แม้พระมเหสีจะเป็นองค์หญิงแห่งต้ายง ทว่าเรื่องใหญ่ของแว่นแคว้นจะมัวพะว้าพะวังเรื่องสตรีได้อย่างไร ดั่งเช่นที่เจิ้งอู่กงให้บุตรีที่รักแต่งงานก่อนเข้าโจมตีแคว้นหู เรื่องเช่นนี้ข้ามิกล้าลืมจริงๆ”
คุณชายฉินกล่าวอย่างเดือดดาล “เต๋อชินอ๋องเหยียดหยามแคว้นเราถึงเพียงนี้ยังทนได้ จะมีเรื่องใดทนไม่ได้อีกเล่า ทว่าหากตรองดูให้ถี่ถ้วน ความกังวลของชินอ๋องใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เช่นนั้นโปรดอนุญาตให้ผู้น้อยอธิบายให้ท่านฟังหน่อยเถิด ที่แคว้นเราปฏิเสธการค้าขายอาวุธและม้าศึก มิได้หมายเพ่งเล็งมาที่แคว้นท่านโดยเฉพาะ ชายแดนทางเหนือของแคว้นเราไม่ค่อยสงบนัก เหล่าทหารขุนพลที่ชายแดนต้องหนุนอาวุธต่างหมอนทั้งวันคืน จะกล้าขายอาวุธและม้าศึกได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นท่านยึดครองเจียงหนานมานาน เจียงหนานเป็นดินแดนแห่งแม่น้ำและทะเลสาบ หากมิใช่ว่าแคว้นท่านคิดโจมตีต้ายง จะต้องการอาวุธและม้าศึกไปทำไมกัน คิดโจมตีแคว้นสู่หรืออย่างไร”
จ้าวเจวี๋ยจนวาจา ซั่งเหวยจวินจึงรีบพูดประนีประนอม “องค์ชายและคุณชายฉินต่างพลั้งปากไปทั้งคู่ วันนี้พวกเรารวมตัวเพื่อร่วมหารือ มิใช่เพื่อปะทะคารม ท่านทั้งสองอย่าได้ถือโทษโกรธแค้นกันเลย”
จ้าวเจวี๋ยและคุณชายฉินยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง แสดงท่าทีว่ายอมทิ้งการโต้เถียงเพียงเท่านี้
คุณชายฉินถอนใจเฮือกหนึ่ง “ที่แคว้นเราเพ่งเล็งสู่ ย่อมเป็นเพราะแคว้นสู่ถือทิฐิดื้อรั้นไม่ยอมสวามิภักดิ์ แม้จะเป็นพันธมิตรแต่กลับสะบั้นคำสัญญา ที่น่าแค้นที่สุดก็คือการผลิตเกลือในแคว้นเราไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนที่ขาดจำต้องซื้อจากสู่จง แคว้นสู่ถึงกับขึ้นราคาครั้งแล้วครั้งเล่า สู่จงมีสินค้าอุดมสมบูรณ์ แคว้นสู่กลับใช้แดนสมบัติเช่นนี้ขูดรีดผลประโยชน์ เรื่องนี้มิอาจทานทนจริงๆ หากพวกเราสองแคว้นร่วมมือโจมตีแคว้นสู่ พวกเรายินดีแบ่งดินแดนและผู้คนในสู่จงกับแคว้นท่านอย่างยุติธรรม ต่อไปสองแคว้นใช้แม่น้ำเป็นพรมแดน ถึงตอนนั้นกองทัพหนานฉู่ยิ่งแข็งแกร่งเกรียงไกร ส่วนต้ายงของข้ายังมีปัญหาชายแดน หนานฉู่ได้ครองดินแดนลุ่มแม่น้ำฉางเจียงทั้งหมด แล้วยังมีสิ่งใดต้องกังวลอีกเล่า หากเช่นนี้แล้ว เต๋อชินอ๋องยังไม่วางใจ คิดว่ามิอาจรักษาสมดุลทหารกับต้ายงได้ มิสู้ปลดอาวุธยอมศิโรราบแต่แรกเลยเป็นอย่างไร หรือหนานฉู่คิดเพียงรักษาความสงบของเจียงหนาน ส่วนความเป็นความตายกลับปล่อยให้ผู้อื่นชี้นำ”
จ้าวเจวี๋ยนิ่งเงียบ ทำเพียงสั่นศีรษะเบาๆ เขารู้ดีแก่ใจว่า กำลังทหารของหนานฉู่อ่อนแอ หากโจมตีแคว้นสู่ เกรงว่าดินแดนและประชากรส่วนใหญ่คงตกไปอยู่ในมือของต้ายง แบ่งสินสงครามอย่างยุติธรรมอันใดกัน สุดท้ายมิใช่ว่าผู้ใดตีได้ก็เป็นของผู้นั้นหรือไร
ทุกคนมองหน้าสบตากัน ล้วนเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวบนใบหน้าจ้าวเจวี๋ย ดูแล้วไม่ว่าคำพูดจะสวยหรูน่าดึงดูดเพียงใดก็มิอาจเปลี่ยนความคิดเขาได้
หลี่เสี่ยนมีแววระทมทุกข์ปรากฏในดวงตา มองไปยังเหลียงหวั่นแวบหนึ่ง เหลียงหวั่นจึงลุกขึ้นกล่าวว่า “วันนี้ทุกท่านคงเหนื่อยกันแล้ว หากไม่รังเกียจเชิญทุกท่านไปร่วมรับประทานอาหารด้านล่างเถิด ผู้น้อยเตรียมน้ำแกงซวนเหมยสำหรับคลายร้อนไว้แล้ว เชิญทุกท่านไปลิ้มลองดูเสียหน่อย”
ซั่งเหวยจวินลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “งานเลี้ยงของคุณหนูเหลียงย่อมต้องเข้าร่วมแน่นอน เชิญๆ”
จ้าวเจวี๋ยลุกขึ้น มองไปยังคุณชายฉิน ถามว่า “มิทราบว่าท่านผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามอันใด มีฐานะตำแหน่งใดในต้ายง”
คุณชายฉินจัดแจงอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนเอ่ยตอบ “ผู้น้อยฉินเจิง เป็นผู้ใต้บัญชาของฉีอ๋อง”
จ้าวเจวี๋ยยิ้ม “คุณชายฉินวาจาคมคายดุจกระบี่ จ้าวเจวี๋ยเลื่อมใสยิ่ง เพียงแต่บางเรื่อง แม้กล่าวดิบดีเพียงใด ก็มิพ้นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ หนานฉู่ของข้ารู้ตัวว่าไม่มีคุณสมบัติอันใดไปต่อต้านและแยกตัวเป็นอิสระจากต้ายง แต่หากต้ายงเข้าโจมตีแคว้นสู่ หนานฉู่ย่อมชุบเลี้ยงม้าศึกและสั่งสมกำลังทหารตามสมควรเพื่อปกป้องตัวเอง”
คุณชายฉินเห็นจ้าวเจวี๋ยเด็ดเดี่ยวมั่นคงเพียงนี้จึงทำได้เพียงยิ้มเจื่อน “เต๋อชินอ๋องเด็ดเดี่ยวแข็งกร้าวโดยแท้ ไม่มีวาจาใดทำให้หวั่นไหวได้เลย ฉินเจิงบุ่มบ่ามแล้ว องค์ชายโปรดละเว้นโทษด้วยเถิด”
จ้าวเจวี๋ยผงกศีรษะเล็กน้อย “ข้ายังมีหน้าที่ทางการทหารต้องจัดการ คงต้องขอตัวก่อน ทุกท่านโปรดอภัย”
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าจ้าวเจวี๋ยจะดื้อรั้นเพียงนี้ เดิมทีคิดใช้วาจาสวยหรูพูดเกลี้ยกล่อมอีกครั้งหลังจิบสุราเมามายจนหูอ่อน ทว่ายามนี้กลับทำได้เพียงยืนส่งอย่างอับจนหนทาง หลายคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ข้าใจสั่น รีบลุกขึ้นทันควัน “ทุกท่านคงเหนื่อยล้ากันหมดแล้วกระมัง เช่นนั้นผู้น้อยขออาสาไปส่งองค์ชายเองขอรับ”
ฉีอ๋องและคนอื่นๆ ไม่มีอารมณ์มาสนใจ มีเพียงซั่งเหวยจวินที่กล่าวอย่างเฝื่อนฝาด “ก็ดี เช่นนั้นก็ดี”
ข้าเดินตามจ้าวเจวี๋ยออกไป จ้าวเจวี๋ยมีท่าทีเหนื่อยล้าเล็กน้อย ข้าสำรวจชินอ๋องวัยใกล้สามสิบท่านนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน หลายปีมานี้ เขาต้องได้รับความกดดันมากมายเป็นแน่ ไม่พบกันสามปี จอนผมของเขาปรากฏสีขาวเล็กน้อยแล้ว ทว่ายังคงมีกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวหนักแน่นแผ่ออกมาจากร่าง คนผู้นี้คือเสาหลักที่คอยค้ำจุนหนานฉู่ ข้ารู้สึกนับถือนัก ทั้งยังทุกข์ตรมแทนเขาที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความพยายามอันขมขื่นของเขาเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดคนเราจึงมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ได้ จ้าวเจวี๋ยสังเกตเห็นแววตาของข้า จึงถามอย่างนิ่งเรียบ “เจ้าคือผู้ใด”
ข้าตอบอย่างนอบน้อม “กระหม่อมเจียงเจ๋อ ซือตู๋แห่งสำนักฮั่นหลิน เป็นขุนนางตามเสด็จของท่านเจ้าแคว้นในตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเจวี๋ยตะลึงพรึงเพริด “เจ้าก็คือเจียงเจ๋อนี่เอง เหตุใดจึงไปนั่งกับฉีอ๋องเล่า”
ข้ารีบร้อนอธิบาย “กระหม่อมได้รับราชโองการจากท่านเจ้าแคว้นให้ตามรับใช้ฉีอ๋อง วันนี้ฉีอ๋องต้องการให้กระหม่อมอยู่ร่วมงานเสียให้ได้ กระหม่อมจึงมีบุญได้ฟังคำชี้แนะจากองค์ชาย นับเป็นวาสนาสามชาติของกระหม่อมแล้ว”
แม้จ้าวเจวี๋ยจะรู้สึกสงสัย แต่มิได้ไต่ถามให้ลึกซึ้ง ทำเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงฝาดเฝื่อน “ข้าเคยฟังบทกวีของเจ้ามาบ้าง เขียนได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ‘ชูตะเกียงยลดาบยามเมามาย เสียงแตรศึกพานให้นึกหวนสู่ทัพกล้า สุราอาหารแบ่งปันแจกจ่าย เสียงดนตรีแซ่ซ้องดังก้องเกรียงไกร รบทัพจับศึกยามสารท อาชาทะยานก้าวราวเหาะเหิน เสียงเกาทัณฑ์ดังก้องส่องสะเทือน หวังทวงคืนดินแดนกู้บัลลังก์ ชัยชนะนำชื่อเสียงเกริกก้อง สืบทอดตราบชั่วลูกชั่วหลาน หากเมื่อสะดุ้งตื่นอีกครา เห็นเพียงเกศาขาวของตน’”
เขาคล้ายจมดิ่งมัวเมาไปกับภวังค์ฝันตามความหมายของกวีบท ‘แตกสลายเพียงครู่’ ที่ข้าเขียนยามอยู่เจียงเซี่ย ลูบจอนผมของตนอย่างเหม่อลอยขณะหนึ่ง ผ่านไปนานจึงค่อยเอ่ยอย่างเฉยเมย “เจ้าคิดว่าพวกเราควรโจมตีแคว้นสู่หรือไม่”
ข้ามองไปรอบด้าน เมื่อแน่ชัดแล้วว่าไม่มีผู้อื่นอยู่จึงตอบไปว่า “ก่อนกระหม่อมแสดงความเห็น ขอทูลถามท่านสามคำถามได้หรือไม่”
จ้าวเจวี๋ยมองข้าอย่างนึกฉงน “ถามมาเถิด”
ดวงตาข้าฉายแววอาดูรชั่วขณะ เอ่ยถามไปว่า “ข้อแรก ขอทูลถามองค์ชาย หนานฉู่ของพวกเรา ตั้งแต่ราษฎรเบื้องล่างจนถึงเจ้าแคว้นเบื้องบน มีผู้ใดกระจ่างแจ้งในความทะเยอทะยานอันโหดเหี้ยมของต้ายงเช่นองค์ชายบ้าง”
จ้าวเจวี๋ยเงียบไปนาน “มีไม่กี่คน กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของข้ายังโน้มน้าวให้ข้าโจมตีแคว้นสู่”
ข้าถามอีกครั้ง “ข้อสอง ขอทูลถามองค์ชาย หากต้ายงโจมตีแคว้นสู่ด้วยตัวเองแล้วแคว้นสู่ขอให้พวกเราส่งทหารไปช่วย หนานฉู่จะกล้าส่งทหารออกไปหรือไม่”
จ้าวเจวี๋ยตอบอย่างโศกเศร้า “ไม่กล้า ทั้งเจ้าแคว้นและขุนนางต้องนั่งดูแคว้นสู่ล่มสลายเป็นแน่”
ข้าทราบดีว่าเขาเจ็บปวดใจ แต่ยังคงถามคำถามที่สามต่อไป “ข้อสาม หากองค์ชายต่อต้านการโจมตีสู่ แต่ท่านเจ้าแคว้นทรงมีพระประสงค์ออกราชโองการหนักแน่น จึงได้แต่เลือกแม่ทัพท่านอื่น ไม่ทราบว่าหนานฉู่ของพวกเรามีแม่ทัพท่านใดนำทัพสู้ศึกได้บ้าง”
ข้าถามคำถามทั้งสามต่อเนื่อง ทุกคำถามคมกริบขึ้นเรื่อยๆ จ้าวเจวี๋ยฟังจนเหงื่อไหลพราก จ้องมองข้าเขม็ง
ข้าก้มหน้าเอ่ย “ยามนี้แคว้นเรามิอาจกระทำการตามใจอิสระ หากองค์ชายดื้อรั้นไม่ยินยอม ท่านเจ้าแคว้นย่อมส่งแม่ทัพท่านอื่นเข้าโจมตีแคว้นสู่ เดิมทีกองทัพแคว้นเราก็มิอาจเทียบกองทัพของแคว้นสู่กับต้ายงได้อยู่แล้ว หากกองทัพเสียหายไปกับการโจมตีแคว้นสู่มากเกินไป ถึงตอนนั้นต้ายงปรารถนาทำลายหนานฉู่ จะมิง่ายเหมือนหักต้นไผ่หรอกหรือ หากองค์ชายนำทัพด้วยตนเอง เช่นนั้นท่านสามารถเข้ายึดยุทธศาสตร์สำคัญ ใช้ปาสู่เป็นรากฐาน ยึดด่านหลงโย่วเป็นกันชน รักษาเซียงฝานให้มั่นคง เช่นนั้นต้ายงย่อมถูกสถานการณ์บีบบังคับ อย่างน้อยยังรักษาแผ่นดินหนานฉู่ไว้ได้อีกสิบปี ต่อไปหากหนานฉู่พยายามให้มาก ก็มิใช่ว่าจะคว้าใต้หล้าไม่ได้”
บนใบหน้าของจ้าวเจวี๋ยปรากฏความโศกเศร้า จากนั้นจึงค่อยกลับคืนสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง ในดวงตาฉายประกายเด็ดเดี่ยวหนักแน่น “ใต้เท้าเจียงนับเป็นยอดคนแห่งแคว้น มีหนึ่งไม่มีสองจริงๆ หากข้านำทัพโจมตีแคว้นสู่ ใต้เท้าเจียงยินดีมาเป็นที่เสนาธิการของข้าหรือไม่”
ล้อเล่นอันใดกัน ข้าไม่อยากไปที่สนามรบหรอกนะ ดังนั้นจึงตอบไปอย่างเรียบเฉย “กระหม่อมไม่คุ้นเคยเรื่องกลยุทธ์ทางการศึก ย่อมมิกล้าชี้แนะอันใด แต่หากองค์ชายมีเรื่องปรึกษากระหม่อมย่อมกล่าวตอบตามความรู้โดยไม่ปิดบังอำพราง”
จ้าวเจวี๋ยมองข้าอย่างตะลึงพรึงเพริด คล้ายไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าจึงปฏิเสธเส้นทางอันโชติช่วงเช่นนี้ เขาเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องความเป็นความตายของแว่นแคว้น เป็นความรับผิดชอบของคนทุกผู้ ทุกชนชั้น ใต้เท้าเจียงเป็นขุนนางหนานฉู่ เหตุใดจึงไม่พยายามเพื่อหนานฉู่เล่า ท่านลองตรองดูให้ดีเถิด” กล่าวจบก็พาผู้ใต้บัญชาจากไป
ข้ามองแผ่นหลังของจ้าวเจวี๋ยอย่างขุ่นเคือง ทำคุณบูชาโทษโดยแท้ ข้าเพิ่งชี้แนะท่าน ท่านกลับตอบแทนข้าเช่นนี้ คิดดึงข้าเข้าร่วมศึกสงครามเสียให้ได้ ช่างไร้เหตุผลเสียจริง จะทำเช่นไรดี ผู้ใดจะช่วยไม่ให้ข้าร่วมเดินทัพจับศึกได้บ้าง ข้าขบคิดอย่างขื่นขม
ตอนต่อไป