ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 9 สถานะที่เปลี่ยนไป!
บทที่ 9 สถานะที่เปลี่ยนไป!
ครั้นได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จิ่วโหยวจึงมั่นใจมากขึ้นว่าคนตรงหน้าเขานั้น… ที่แท้ก็คือลู่เฉิน!
เสียงของจิ่วโหยวฟังดูสั่นเครือ “เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?”
“แน่นอน ข้ายังมีชีวิตอยู่!” ลู่เฉินยิ้มให้อีกฝ่าย ขณะที่จิ่วโหยวมีท่าทีคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ “เมื่อก่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้า…”
ลู่เฉินเห็นอีกฝ่ายยังดูสงสัย จึงอธิบายว่า “ตอนนั้นร่างกายข้าถูกทำลาย จิตวิญญาณของข้าแตกสลาย ทว่าตอนนี้… ข้ากลับมาแล้ว!”
“ดี เยี่ยมมาก…” แววตาที่ว่างเปล่าของจิ่วโหยวพลันวูบไหว ความตื่นเต้นฉายชัดออกมาทางสีหน้า
“แล้วเจ้าเล่า เกิดอะไรขึ้น?” ลู่เฉินสงสัยว่าเหตุใดจิ่วโหยวจึงอยู่ในสภาพ ‘ร่างจำแลงโลหิต’ เช่นนี้!
จิ่วโหยวชะงักไปครู่หนึ่ง คล้ายกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ไม่นานก็เริ่มเล่าออกมา
ปรากฏว่าเมื่อลู่เฉินไปยังดินแดนต้องห้ามแห่งแดนเซียนและเสียชีวิตลง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นจึงตกอยู่ในความโกลาหล
ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับลู่เฉินถูกคุมขังหรือไม่ก็ถูกทำให้พิการ แม้กระทั่งตัวจิ่วโหยวเอง… ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน!
ทว่ายังโชคดีนัก เพราะการที่เขาเคยฝึก ‘ร่างจำแลงโลหิต’ จึงช่วยให้รอดพ้นจากหายนะ และหนีมายังมหาทวีปจิ่วโหยว
“อะไรนะ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับข้า ถูกจำคุกกับถูกทำให้พิการงั้นหรือ?” ลู่เฉินถึงกับตกใจ
จิ่วโหยวเล่าต่ออีกว่า “หลายปีที่ผ่านมา ผู้คนในแดนเซียนต่างหวาดกลัว แต่คนลึกลับพวกนั้น… ทุกคราที่ปรากฏตัว ไม่มีใครสามารถจดจำใบหน้าของพวกเขาได้ คล้ายกับมีเงามืดบดบังอย่างไรอย่างนั้น และทันทีที่คนเหล่านั้นปรากฏตัว พวกมันก็จะแย่งชิงรากวิญญาณของผู้คนโดยรอบ!”
เมื่อเอ่ยถึงรากวิญญาณ ลู่เฉินยังคงจำกลุ่มคนที่วางอุบายทำร้ายเขาในตอนนั้นได้ พวกมันเองก็ได้ใช้วิธีที่น่าสะพรึงกลัวเพื่อแย่งชิงรากวิญญาณของผู้อื่น!
ในเวลานั้น ลู่เฉินคิดว่าอีกฝ่ายสนใจเพียงรากวิญญาณของเขาเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินว่าญาติพี่น้องและมิตรสหายของเขาก็โดนเช่นเดียวกัน สีหน้าก็พลันมืดมน “ดูท่าแล้ว ครั้งนี้มันคงมุ่งเป้ามาที่ข้าเป็นแน่!!”
”ใคร?” จิ่วโหยวสงสัย
แม้ลู่เฉินจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจไม่น้อย “ในมหาทวีปจิ่วโหยว ข้าเคยเห็นวิธีการแย่งชิงรากวิญญาณที่คล้ายกันนี้!”
ขณะนั้นเอง จิ่วโหยวก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “อันที่จริง… ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้คนในดินแดนแห่งนี้เองก็โดนแย่งชิงรากวิญญาณไปเช่นกัน!!”
“ที่แห่งนี้ก็ด้วยรึ?” ลู่เฉินประหลาดใจ
จิ่วโหยวจึงกล่าวเสริมว่า “ตามรายงานจากกาลก่อน ในดินแดนนี้มีอัจฉริยะบางคนที่ถูกแย่งชิงรากวิญญาณไป!”
หลังจากที่ลู่เฉินได้ยินเรื่องนี้ ก็พลันสงสัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่แย่งชิงรากวิญญาณในดินแดนนี้ กับผู้แย่งชิงรากวิญญาณในแดนเซียน คนเหล่านี้ต้องการจะแย่งชิงรากวิญญาณไปเพื่อการณ์ใด?
จิ่วโหยวไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าด้วยความไม่อาจวางใจ เขาจึงร้องขอกับอีกฝ่ายว่า “พี่ลู่ ข้าขอร้องท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
“พูดมา!”
สายตาเช่นนั้นทำให้จิ่วโหยวรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “สำนักเก้าสุขสงบของข้าอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป …สำนักของข้าก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง!”
“เช่นนั้นก็จงบอกข้ามา ว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำอันใด?” ลู่เฉินรู้ดีว่าสำนักเก้าสุขสงบสำคัญกับจิ่วโหยวเพียงใด เขาจึงเต็มใจที่จะช่วย! อีกทั้งจิ่วโหยวยังถูกกลุ่มคนลึกลับจากแดนเซียนทำให้กลายเป็นเช่นนี้ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเขา!
ครั้นได้ยินเช่นนั้น จิ่วโหยวก็สบายใจขึ้น “ช่วยสำนักเก้าสุขสงบของข้าเถิด รับสมัครศิษย์ที่เก่งกาจหรือมากพรสวรรค์ จากนั้นก็ทำให้สำนักนี้ค่อย ๆ เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง!”
ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวซึ่งกำลังหมดสติ และเอ่ยด้วยอารมณ์ขุ่นมัวว่า “สำนักเก้าสุขสงบ ควรเปิดรับคนที่มีความสามารถมากกว่านี้จริง ๆ!”
“เจ้าเองก็เห็นด้วย?” จิ่วโหยวตื่นเต้นขึ้นมา
ลู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น และถามกลับไปว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะบอกปัดหรือไร?”
“ขอบคุณ!” จิ่วโหยวกำลังจะคำนับลู่เฉิน ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มแล้วกล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน “เหตุใดเจ้าจึงต้องสุภาพกับข้านักเล่า?”
จิ่วโหยวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง ปิงหลิวหลีคล้ายกำลังได้สติขึ้นมา จิ่วโหยวจึงกล่าวว่า “ข้าออกมานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องจากกันเสียที!”
”ไปเถอะ!”
หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ จิ่วโหยวพลันหายไปในทันที เพราะท้ายที่สุด เคล็ดอัญเชิญก็จำต้องใช้พลังของผู้ร่าย และเมื่อปิงหลิวหลีบาดเจ็บไม่น้อย จึงส่งผลให้จิ่วโหยวไม่อาจอยู่ได้นานนัก
แต่ก่อนที่ร่างกำลังเลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง จิ่วโหยวก็พลันกล่าวสำทับมาอีกครา “ฝากด้วยนะ!”
ลู่เฉินพยักหน้า และแม้จะไม่ได้เอ่ยคำใดตอบรับ ทว่าท่าทีของเขาก็จริงจังไม่น้อย “ชายชุดดำนั่นคงไม่ได้มีแค่ในสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!”
ในกาลก่อน ชายหนุ่มเข้าใจว่าชายชุดดำที่ว่านั้นมีอยู่เพียงแค่ในสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อจิ่วโหยวบอกว่าทั่วทั้งดินแดน มักมีอัจฉริยะบางคนที่ถูกพรากรากวิญญาณไป มันก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ และเริ่มวางแผนใหม่ทันที!
แผนใหม่ที่ว่านั้นคือการแอบสนับสนุนให้สำนักเก้าสุขสงบเติบโตยิ่งใหญ่ จากนั้นก็ล่อให้ผู้ที่แย่งชิงรากวิญญาณปรากฏตัว แล้วตรวจสอบที่มาที่ไปของคนผู้นั้นเสีย!
หลังจากที่ลู่เฉินวางแผนเสร็จสรรพ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ปิงหลิวหลีฟื้นคืนสติแล้วลืมตาขึ้น
เดิมทีปิงหลิวหลีคิดว่าลู่เฉินต้องถูกจัดการแล้วเป็นแน่ ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายเต็มสองตา ความตกใจก็ทำให้นางไม่อาจเก็บเสียงไว้ได้ “ไม่จริง… เป็นไปไม่ได้!”
“เจ้าเคยคุยกับบรรพชนของเจ้าหรือไม่?” ลู่เฉินถามนางด้วยรอยยิ้ม
ปิงหลิวหลีไม่รู้ว่าลู่เฉินหมายถึงอะไร
ทว่าในขณะนั้น รูปปั้นหินในวังพลันสั่นสะเทือน
รูปปั้นหินนี้เป็นที่สถิตของจิ่วโหยว และเมื่อปิงหลิวหลีเห็นการสั่นไหวนั้น ก็พลันเดินเข้าไปใกล้ด้วยอารามตกใจปนสงสัย “ท่านบรรพชน?”
“จากนี้ไป เจ้าจะต้องทำทุกอย่างที่เขาขอให้ทำโดยปราศจากสงสัยใด… เข้าใจหรือไม่?” น้ำเสียงอันเย็นชาของจิ่วโหยวดังขึ้นจากรูปปั้นหิน
“อันใดนะเจ้าคะ?!” ปิงหลิวหลีถึงกับตกใจ ก่อนจะหันไปมองลู่เฉินด้วยสีหน้าประหลาดใจยิ่ง
ทว่าลู่เฉินเพียงยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ทันทีที่นางเห็นรอยยิ้มของลู่เฉิน ก็พลันสังหรณ์ใจไม่ดีนัก “ท่านบรรพชน เหตุใดกัน…?”
“นี่คือคำสั่ง!” หลังจากที่จิ่วโหยวเอ่ยจบ รูปปั้นหินก็หยุดสั่น เช่นเดียวกับที่เสียงของจิ่วโหยวได้หายไปโดยสมบูรณ์
ปิงหลิวหลีมีความสงสัยอยู่เต็มอก
ลู่เฉินจ้องมองนางและสั่งว่า “เตรียมตัวให้พร้อม!”
“เตรียมตัว? …เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?” ปิงหลิวหลียังคงสับสน
“ข้าจะไปที่หุบเขาเมฆาอสูร ส่วนเจ้า! …จงมากับข้าเสีย!”
หุบเขาเมฆาอสูรเป็นเทือกเขาสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงในบริเวณใกล้เคียงนี้
หากเป็นเมื่อก่อน ปิงหลิวหลีคงเข้าออกมันได้ตามใจชอบ แต่ตอนนี้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงรีบแย้งขึ้นว่า “ข้าจะไปที่นั่นได้อย่างไร… ในเมื่อข้าเป็นเช่นนี้?”
“ถ้าอยากหายจากอาการบาดเจ็บ เช่นนั้นก็จงตามข้ามา!” ลู่เฉินกล่าว ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เมื่อเห็นดังนั้น ปิงหลิวหลีก็รีบร้อนติดตามไป ขณะที่ในใจก็ได้แต่สงสัย และพึมพำเสียงเบาว่า “ข้าเป็นถึงเจ้าสำนัก แล้วเหตุใด…”
นางไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากอัญเชิญ ‘ท่านบรรพชน’ ออกมา กลับกลายเป็นว่านางต้องมาทำตามคำสั่งของชายผู้นี้!
ทำไมกัน? เหตุใดข้าจึงต้องฟังคำของเขาด้วย?
แต่ท่านบรรพชนสั่งไว้แล้ว แม้จะไม่เต็มใจ ปิงหลิวหลีก็ทำได้เพียงรีบติดตามไปไม่ห่าง
ทว่าเมื่อพวกเขาไปถึงหน้าประตูหิน ลู่เฉินกลับหยุดและเอ่ยขึ้นว่า “อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องในวันนี้!”
ปิงหลิวหลีเป็นผู้ที่ใส่ใจภาพลักษณ์ตัวเองไม่น้อย และยิ่งนางเป็นถึงเจ้าสำนักด้วยแล้ว หากคนอื่นในสำนักรู้เรื่องนี้เข้า แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ดังนั้นหลังจากที่ลู่เฉินกล่าวเช่นนั้น ปิงหลิวหลีเองก็พึงพอใจ ทว่านางไม่ได้แสดงสีหน้าอันใด เพียงกล่าวอย่างเฉยชาว่า “เข้าใจแล้ว!”
”ส่วนเรื่องตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ เอาไว้ข้าจะคัดเลือกคนให้เจ้าใหม่ เอาคนที่พอจะติดในสิบอันดับแรกของงานประลองสิบสำนักไปลงแข่งแทน” ลู่เฉินกล่าวขณะเดินต่อไปข้างหน้า
“เจ้าจะให้คนอื่นไปงั้นรึ?” ปิงหลิวหลีไม่เข้าใจว่าลู่เฉินคิดจะทำอะไรกันแน่?
ทว่าลู่เฉินก็ไม่ได้อธิบายอะไร เขาเอาแต่เดินตรงไปข้างหน้า
การกระทำดังกล่าวทำให้ปิงหลิวหลีนึกสงสัย “ผู้ชายคนนี้ กำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่นะ?”
…
ด้านนอกถ้ำ
ผู้เฒ่าเหยาพลันวิตกกังวลขึ้นมาเมื่อเห็นว่าลู่เฉินยังไม่ออกมาเสียที
ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าเหยาเท่านั้น ฉินหลินเองก็กังวลเช่นกัน! “ผู้เฒ่าเหยา ท่านว่าภายในนั้นจะเกิดปัญหาใดขึ้นหรือไม่?”
ผู้เฒ่าเหยากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “พูดยาก!”
ทว่ายังไม่ทันสิ้นคำพูดนั้น ผู้อาวุโสเฮยก็ปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่คาดคิด และเอ่ยเยาะเย้ยว่า “เจ้าสำนักย่อมไม่ชอบศิษย์ที่ทำให้สำนักต้องอับอาย”
“ผู้อาวุโสเฮย ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ฉินหลินเริ่มวิตกกังวลและสับสนยิ่งขึ้น
ผู้อาวุโสเฮยแสยะยิ้ม “เขาเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่ชอบตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ เช่นนี้แล้วเจ้าคิดว่าท่านเจ้าสำนักจะคิดอย่างไร?”
ฉินหลินตกใจ ส่วนผู้เฒ่าเหยาถึงกับกังวลขึ้นมา
ผู้อาวุโสเฮยคลี่ยิ้มพึงพอใจ ในขณะที่เหล่าศิษย์โดยรอบพากันซุบซิบนินทาถึงเรื่องนี้
“นานแล้วนะ แต่เขายังไม่ได้ออกมาเลย… ไม่ใช่ว่าถูกเจ้าสำนักจัดการไปแล้วหรือ?”
“แน่นอน เจ้าสำนักของเราเกลียดศิษย์ที่ไม่ภักดีต่อสำนักมากที่สุด!”
“ไม่แน่นะ เพราะครั้งที่มีศิษย์ผู้หนึ่งบอกว่าสำนักของเราตกต่ำ จุดจบของคนผู้นั้นก็คือความตาย!”
เห็นได้ชัดว่าทุกคนคาดเดาชะตากรรมของลู่เฉินเอาไว้แล้ว และพวกเขาก็พูดถึงเรื่องนี้กันไม่หยุด