ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 88 พวกโลภมากปรากฏ
บทที่ 88 พวกโลภมากปรากฏ
หลบ?
คำว่า ‘หลบ’ ไม่มีอยู่ในหัวของลู่เฉินด้วยซ้ำ
เพียงแค่เปิด ‘กำแพงพันชั้น’ ที่มาจากพลังปราณซึ่งเข้มข้นกว่าเดิมนับยี่สิบเท่าจากรากวิญญาณผกผัน รวมทั้งจุดตันเถียนที่ไม่เหมือนใคร เท่านี้มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ลู่เฉินสร้างกำแพงได้สิบชั้นได้ในคราวเดียว!
พลังต้านทานของกำแพงสิบชั้นไม่ใช่การซ้อนทับกันสิบเท่าธรรมดา ๆ
ดังนั้นเมื่อจางเชียนลงมือ มันก็แค่ทำลายกำแพงเหล่านี้ แต่ไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ ต่อลู่เฉิน
“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?!” ดวงตาของจางเชียนเบิกกว้าง
ไม่ใช่แค่จางเชียนเท่านั้น แต่หนานเหยาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
ตู๋ซานชิงพลันร้อนใจขึ้นมา “เหตุใดเจ้าจึงป้องกันได้?”
จางเชียนเองก็รู้สึกฉงนเช่นกัน “ไม่ใช่ข้าที่อ่อนแอ แต่เป็นเพราะเขาใช้สมบัติวิญญาณ!”
สมบัติวิญญาณ?
ลู่เฉินหัวเราะอย่างจนปัญญา
จางเชียนถลึงตาใส่ลู่เฉินด้วยความโกรธ “ไอ้หนู ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าก็มีสมบัติวิญญาณเหมือนกัน!”
หลังจากพูดจบ จางเชียนก็สวมถุงมือสีดำ และเมื่อเขากำมันไว้แน่น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณแข็งแกร่งที่กำลังโคจรไปมาบนกำปั้น
ลู่เฉินรู้ว่าเขาไม่สามารถจัดการมั่ว ๆ ได้ในยามนี้ ดังนั้นเขาจึงชักกระบี่สยบเก้าทิศออกมาทันที
ครู่ต่อมาปราณกระบี่สองพันสายก็ปรากฏขึ้น
”ขั้นสร้างรากฐาน สำแดงได้สองพันสายแล้ว!” ลู่เฉินหัวเราะอย่างชั่วร้ายทันทีที่เห็นสิ่งนี้
ทว่าลู่เฉินไม่หยุด
จากนั้นทุกคนจึงได้เห็นฉากที่น่าตกตะลึง
นั่นคือปราณกระบี่สองพันสายที่บีบอัดเป็นหนึ่งร้อยสาย แล้วหดเล็กลงยี่สิบเท่า!
ไม่เพียงแค่นั้น หนึ่งร้อยสายยังบีบอัดเล็กลงเหลือเพียงห้าสาย
การบีบอัดสองครั้งติดต่อกันนี้ ทำให้ยามที่ปราณกระบี่ทั้งห้าถูกยิงออกไป จางเชียนก็ถึงกับต้องตกใจจนปล่อยพลังปราณสีแดงเพลิงออกมา!
ปราณกระบี่เล่มแรกทะยานออกนำก่อนใคร จากนั้นตามมาด้วยปราณกระบี่เล่มที่สอง
ปัง ปัง ปัง!
เมื่อปราณกระบี่เหล่านั้นปะทะปราณสีเพลิงอย่างหนัก พลังปราณสีเพลิงก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่ปราณกระบี่เล่มที่สามจะโจมตีไปยังร่างของจางเชียน ซึ่งจางเชียนก็ไม่ทันได้หลบหลีกแม้แต่น้อย!
แขนข้างหนึ่งของจางเชียนพลันมีเลือดไหลพุ่งออกมา
จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าแขนอีกข้างของจางเชียนหายไปแล้ว
“มือ มือของข้า!” จางเชียนร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด
หนานเหยาตกตะลึง ส่วนตู๋ซานชิงก็ถึงกับโยนกระบี่บินทิ้ง จากนั้นก็เหยียบมันไว้แล้วพุ่งไปด้านข้างของจางเชียน และพาตัวเขาขึ้นไปกลางอากาศ
ไม่เพียงเท่านั้น ตู๋ซานชิงยังให้จางเชียนกลืนเม็ดยาที่ใช้ห้ามเลือดลงไป
“ฆ่า… ฆ่าไอ้เด็กบัดซบนั่น!” จางเชียนชี้ไปที่ลู่เฉินซึ่งอยู่ด้านล่าง
ทว่าตู๋ซานชิงกลับควบคุมกระบี่ให้ลอยนิ่ง จากนั้นจ้องเขม็งมองที่ลู่เฉินและพูดว่า “ไอ้หนู ถึงตาข้าแล้ว!”
หลังจากพูดจบ ตู๋ซานชิงก็ปล่อยเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปในอากาศ
เข็มบินเหล่านี้เปล่งแสงสีทองออกมา และเป้าหมายก็คือลู่เฉินและฮวาหลิงมู่!
ลู่เฉินใช้กระบี่ของเขากวาดไปทั่ว จากนั้นปราณกระบี่เหล่านี้ก็โจมตีเข็มบินจนกระเด็นออกไปทีละเล่ม แต่ลู่เฉินรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หนทาง!
ชายหนุ่มจึงโจมตีไปพลางเด็ดใบไม้ไปพลาง
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มและฮวาหลิงมู่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วนและวิ่งไปรอบ ๆ
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของตู๋ซานชิงเบิกกว้าง “นี่… นี่มันเรื่องอันใดกัน!”
จางเชียนเองก็ตกตะลึง “นี่… นี่มันคืออะไร?”
ลู่เฉินเคยใช้เคล็ดลวงตามาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หนานเหยาและทั้งสองคนได้เห็น ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางเชียนที่เมื่อเห็นกลุ่มของ ‘ลู่เฉิน’ และ ‘ฮวาหลิงมู่’ วิ่งไปมา พวกเขาก็ได้แต่กระวนกระวายใจ
“ต้องไล่ตามตัวไหน?” ตู๋ซานชิงถามอย่างกังวลใจ
จางเชียนพลันหงุดหงิดขึ้นมา “เลือกมาสักคน!”
ตู๋ซานชิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากควบคุมกระบี่และบินไปทิศทางหนึ่ง
ทว่าจะทำอย่างไรได้เล่า? ตัวจริงของลู่เฉินและฮวาหลิงมู่นั้นได้ไปที่อื่นเสียแล้ว!
ไม่นานนักร่างจำแลงเหล่านั้นก็หายเข้าไปในป่าทึบ
ฮวาหลิงมู่มีท่าทีละอายใจ นางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ประหลาด ล้วนเป็นข้าที่เป็นตัวถ่วงเจ้า!”
“พูดอะไรเนี่ย!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าก็เพิกเฉยต่อการโจมตีของพวกเขาได้ แต่พอมีข้า เจ้าต้องปกป้องข้า ดังนั้น…” ฮวาหลิงมู่พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
ลู่เฉินมองนางด้วยรอยยิ้ม “ขั้นหลอมแก่นแท้นั้นบินขึ้นไปบนฟ้าได้ในพริบตา เจ้าคิดว่าข้าจะจัดการกับพวกมันได้ง่ายดายหรือ?”
“ข้าว่าท่านต้องมีทางแก้ไข” ฮวาหลิงมู่อธิบาย
”มันก็มี แต่เจ้าต้องการธนู ทว่าตอนนี้เจ้าไม่มี เช่นนั้นก็ไปที่เขตที่หกก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เฉินปลอบโยน
ฮวาหลิงมู่ยังคงลังเล “ถ้าไปที่เขตที่หก ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่?”
”แน่นอน!” ลู่เฉินยิ้มอย่างมั่นใจ จากนั้นจึงพาฮวาหลิงมู่เดินทางไปทันที
แต่หนานเหยากลับตื๊อลู่เฉินไม่เลิก นางเอาแต่ถามว่าเมื่อครู่คือความสามารถอะไร แต่ลู่เฉินกลับไม่เปิดเผยสักคำ และปล่อยให้นางกลัดกลุ้มอยู่เช่นนั้น
…
คนสองคนที่ไล่ตามมาค่อย ๆ ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตู๋ซานชิงจึงรีบยิงเข็มบินอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา เงาร่างของทั้งสองก็กลายเป็นใบไม้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จางเชียนพลันกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
ส่วนตู๋ซานชิงเงียบขรึม ก่อนจะเอ่ยว่า “เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดมีเคล็ดวิชาแปลก ๆ เยอะนัก!!”
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน!”
จางเชียนโกรธจนถึงขีดสุด
ส่วนตู๋ซานชิงก็ทำได้เพียงมองไปที่จางเชียน “พวกเราลองหาบนอากาศ หรือไม่ก็ใช้แมลงออกไปค้นหา”
”ไป!” จางเชียนอยากหาลู่เฉินและสังหารเขาจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงออกปากทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด
ตู๋ซานชิงพลันควบคุมกระบี่บินอีกครั้งและพาทั้งสองออกจากที่นี่
…
สองวันต่อมา ลู่เฉินได้พาฮวาหลิงมู่ไปแถว ๆ เขตที่หก
ลู่เฉินและฮวาหลิงมู่เห็นแมลงที่เปล่งแสงสีเขียวบินอยู่บนต้นไม้เหล่านั้น
“พี่ใหญ่ประหลาด ดูสิ แมลงพวกนี้น่าจะเป็นแมลงประหลาดที่เถ้าแก่ร้านบอก” ฮวาหลิงมู่พูดด้วยความประหลาดใจ
”อืม”
“แล้วมันอันตรายจริงหรือ?” ฮวาหลิงมู่ถามอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย
”น่าสนใจ!” มุมปากของลู่เฉินยกยิ้มขึ้น ก่อนจะโคจร ‘ลูกแก้ว’ ในร่าง ซึ่งมีกลิ่นอายแห่งราชันแมลงบรรพกาลออกมา
ครู่ต่อมา ฉากที่น่าอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น!
แมลงเหล่านั้นบินหายไปทีละตัวราวกับพบสิ่งที่น่ากลัว
ฮวาหลิงมู่พลันตกตะลึงกับภาพตรงหน้า “พี่ใหญ่ประหลาด พวกมันกลัวท่านหรือ?”
”แน่นอน!” ลู่เฉินยิ้มอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ใช้เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณสัมผัสสภาพแวดล้อมเพื่อดูว่าบริเวณใดมีไอวิญญาณพฤกษาที่หนาแน่น
ส่วนฮวาหลิงมู่ที่อยู่อีกด้านได้แต่มองชายหนุ่มอย่างรอคอย
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อลู่เฉินได้สติกลับมา เขาก็พาฮวาหลิงมู่เดินไปยังทิศทางหนึ่ง
ทว่าเดินไปได้ไม่นานก็พบกับคนกลุ่มหนึ่ง
แต่คนเหล่านี้รีบกลับวิ่งออกไป และบางคนยังคงตะโกนว่า “วิ่ง! ข้างในมีแมลงที่น่ากลัวอยู่!”
หลังจากนั้น ฝูงแมลงบินสีดำก็บินมาจากที่ไกล ๆ และเมื่อพวกมันรวมกลุ่มเป็นฝูงดำทะมึนเช่นนี้ พวกมันก็ดูน่ากลัวยิ่ง!
แต่ครู่ต่อมาทุกคนก็ได้เห็นฉากที่น่าอัศจรรย์
นั่นคือเมื่อแมลงเหล่านี้มาอยู่ตรงหน้าลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ พวกมันก็บินกลับไปทีละตัว ราวกับว่าเจอสิ่งที่ทำให้พวกมันหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น
คนเหล่านั้นจึงหยุดวิ่งและทยอยกันกลับมา จากนั้นก็มองไปที่ลู่เฉินและฮวาหลิงมู่อย่างอยากรู้อยากเห็น
”ในตัวพวกเจ้ามีสมบัติวิญญาณหรือไม่?” หนึ่งในนั้นตาเป็นประกายเผยท่าทางโลภออกมา ส่วนอีกคนหนึ่งก็แผ่กลิ่นอายของขั้นสร้างรากฐานระดับสมบูรณ์พร้อม
ดูแล้วแข็งแกร่งยิ่งนัก
ไม่เพียงเท่านั้น คนเหล่านี้ยังเข้ามาล้อมรอบลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ไว้
การกระทำของพวกเขาทำให้ฮวาหลิงมู่ร้อนใจ “พวกเจ้า… จะทำอะไร?”
คนเหล่านั้นชี้ไปที่แผ่นป้ายสัญลักษณ์ที่เอวของพวกเขา
“พวกเราคือพันธมิตรแมลงสวรรค์ของเขตที่หก!”
ฮวาหลิงมู่ไม่รู้จักเขา ดังนั้นจึงมองไปที่ลู่เฉินทันที ทว่าชายหนุ่มก็เพียงเหลือบมองคนเหล่านั้น และพบว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน ส่วนรากวิญญาณก็ล้วนอยู่ในระดับสามดาวถึงห้าดาว
และล้วนเป็นธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน
ซึ่งลู่เฉินก็กำลังขาดคนเหล่านี้พอดี ดังนั้นเขาจึงมองไปที่คนเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้า เข้ามาพร้อมกันเถิด!”
คนเหล่านั้นพลันงุนงง
ทุกคนล้วนคิดว่าหากพวกเขาแสดงฐานะออกมา ลู่เฉินและเด็กสาวคนนี้คงจะหวาดกลัวจนร้องขอความเมตตาและมอบสมบัติวิญญาณให้
แต่ดูเหมือนว่าลู่เฉินที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับต้นจะเป็นฝ่ายอยากสู้รบกับพวกเขาเอง
นี่จึงทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันไร้สาระมาก
ผู้นำของคนกลุ่มนี้ที่ย้อมผมสีฟ้าหน้าตาหล่อเหลาพลันเอ่ยกับลู่เฉินว่า “พวกเราไม่ต้องการชีวิตของเจ้า เราต้องการเพียงสมบัติวิญญาณของเจ้าเท่านั้น!”
”คนที่อยากได้สมบัติวิญญาณของข้า บัดนี้หญ้าบนหลุมฝังศพของพวกเขาอาจสูงท่วมหัวไปแล้ว” ลู่เฉินยิ้ม
วาจาเช่นนี้ทำให้คนเหล่านั้นหัวเราะร่า
ชายหนุ่มผมฟ้าชี้ไปที่ตัวเอง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือหนึ่งในสิบปรมาจารย์ด้านแมลงของพันธมิตรแมลงสวรรค์ หลันเย่า!”
ฮวาหลิงมู่ได้ยินแล้วก็อดที่จะบ่นไม่ได้ว่า “เฮอะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ผู้ใดถูกฝูงแมลงไล่ตามกันแน่!”