ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 84 สถานที่แห่งนี้ เหมาะสมกับเจี่ยลัวมาก
บทที่ 84 สถานที่แห่งนี้ เหมาะสมกับเจี่ยลัวมาก
แดนวิญญาณ คือพื้นที่ที่ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ร้ายที่เข้ามา ตัวตนทั้งหลายก็จะถูกยับยั้งขั้นพลังเอาไว้
มันคือผลจากอักขระยันต์ผนึกพลัง
ผนึกนี้สำหรับผู้ที่แข็งแกร่ง ผลลัพธ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไป อย่างเช่นผู้ที่อยู่ขั้นก่อกำเนิด โดยปกติจะถูกกดขั้นพลังมาอยู่ขั้นหลอมแก่นแท้ และหากอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ พวกเขาก็จะถอยกลับไปยังขั้นสร้างรากฐาน
ส่วนผู้ที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานอยู่แล้วจะได้รับผลกระทบเพียงน้อยนิด
แต่ถ้าหากเป็นขั้นก่อกำเนิดขึ้นไป พวกเขาก็จะยิ่งได้รับผลกระทบอันน่ากลัว เป็นต้นว่าอาจจะโดนกดลงไปต่ำกว่าขั้นก่อกำเนิด
ดังนั้นที่แห่งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาเยือนจึงล้วนเป็นขั้นหลอมแก่นแท้ และถึงแม้จะถูกกดขั้นพลัง แต่ก็ยังคงอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสร้างรากฐาน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้แต่โจวกังที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิด หากมาที่นี่แล้วตัวเขาจึงจำต้องระวังเป็นพิเศษ
เพราะไม่แน่ว่าหากไม่ระวัง ก็อาจจะโดนซุ่มโจมตีจากผู้ที่มีขั้นพลังอ่อนแอกว่าจนทำให้บาดเจ็บได้
แต่สำหรับฮวาหลิงมู่นั้น สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ยิ่งนัก “พี่ใหญ่ประหลาด แดนวิญญาณนี้… เหตุใดจึงดูพิเศษนัก?”
“ไม่รู้ แต่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว” ลู่เฉินเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรชัดเจนมากนัก รู้เพียงแค่ว่าสถานที่แห่งนี้ก็เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณ
หลังได้ยินคำตอบ ฮวาหลิงมู่ก็อยากจะเข้าไปดูด้านในของสถานที่แห่งนี้จนอดใจรอแทบไม่ไหว ว่าแท้จริงแล้ว… ภายในนั้นเป็นเช่นไรกันแน่!!!
ส่วนตู๋ซานชิงและจางเชียนที่อยู่ด้านหลังนั้น พวกเขาเองก็ถูกกดขั้นพลังลงจนเหลือเพียงขั้นหลอมแก่นแท้ระดับกลาง
“พวกเราจะปลอดภัยหรือไม่?” จางเชียนรู้สึกกระวนกระวาย
ซึ่งตู๋ซานชิงตอบกลับด้วยความมั่นใจ “วางใจเถอะ พวกเขาเองก็ถูกผนึกขั้นพลังแล้วเช่นกัน ไม่มีอะไรต้องกลัว!”
จางเชียนจึงทำได้เพียงเดินตามไป แต่กลับไม่รู้เลยว่าการตามไปครั้งนี้ จะกลายเป็นการตัดสินใจที่ทำให้เขาต้องเสียใจมากที่สุด!
…
เวลาผ่านไปพักหนึ่ง พวกเขาได้เดินผ่านกระแสน้ำวนจนมาถึงป่าลึกแห่งนึ่ง
ทั่วทั้งป่าผืนนี้เต็มไปด้วยลมหายใจของความตาย
ฮวาหลิงมู่ที่มีฐานะเป็นต้นไม้วิญญาณนั้นเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ทำให้นางไวต่อลมหายใจพวกนี้มาก เพียงไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามว่า “ลมหายใจพวกนี้ กลิ่นแย่มาก”
“บริเวณรอบ ๆ นี้ มักจะมีคนต่อสู้กันตลอด ทำให้กลิ่นอายความตายค่อนข้างแรง แต่ถ้าหากผ่านผืนป่านี่ไปยังด้านในแล้ว จะพบว่ามีดอกไม้มากมาย และกลิ่นของดอกไม้พวกนั้นจะช่วยกลบกลิ่นเหม็นพวกนี้ได้” ลู่เฉินเดินไปพลางอธิบายไป
ฮวาหลิงมู่ขานรับ
แต่เจี่ยลัวกลับรู้สึกตื่นเต้นมาก ยังคงสูดดมไปเรื่อย ๆ
แต่เสียงนี้มีเพียงลู่เฉินเท่านั้นที่ฟังแล้วเข้าใจ ดังนั้นชายหนุ่มจึงยิ้มและมองมายังอีกฝ่าย “กลิ่นอายพวกนี้ แท้จริงแล้วมีประโยชน์สำหรับเจ้าจริง ๆ!”
เจี่ยลัวพยักหน้าแรง ๆ
แต่โจวกังที่ได้ยินกลับเอ่ยถามอย่างสงสัย “เขา สนใจกลิ่นอายความตายพวกนี้งั้นหรือ?”
“หรือว่าเจ้าดูไม่ออกหรือว่าเขาคืออันใด?” ลู่เฉินกึ่งยิ้ม
โจวกังไม่เข้าใจในสิ่งที่ลู่เฉินพูด เขามองเจี่ยลัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และค่อย ๆ ใช้มือบีบเบา ๆ ก่อนจะพบว่าผิวหนังของเจี่ยลัวแข็งมาก มันแข็งราวกับหิน จึงหันไปถามด้วยความสงสัย “นี่ ทำไมถึงแข็งราวกับหินเช่นนี้?”
“ค่อย ๆ สัมผัสลมหายใจของเขาสิ”
โจวกังรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ค่อย ๆ ลองทำตาม จึงพบว่าพลังปราณบนร่างกายของเจี่ยลัวนั้นอ่อนแอมาก แต่กลับมีบางอย่างที่เหมือนกับลมหายใจของซากศพรอบ ๆ นี้ เป็นลมหายใจของซากศพที่เน่าเปื่อยมาเป็นเวลานาน!
“นี่มัน!” เมื่อรู้แล้วโจวกังก็พลันตกตะลึง
ส่วนเจี่ยลัว เขาเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอันใด ผิดกับโจวกังที่อึ้งไปเสียแล้ว ลู่เฉินที่เห็นเช่นนั้นจึงยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ไปเถอะ อย่ามัวเสียเวลาเลย!”
ครั้นพูดจบ ลู่เฉินก็เดินนำทุกคนไปทันที
ส่วนโจวกัง เขายังคงไม่คลายกังวล เอาแต่จ้องเขม่นไปที่เจี่ยลัวตลอดเวลา
ขณะที่ทางฝั่งของเจี่ยลัว เขาไม่ได้สนใจสิ่งใด ยังคงคอยซึบซับกลิ่นอายแห่งความตายบริเวณรอบ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะมันก็เท่ากับการฝึกฝนไปในตัวนั่นเอง!
ฮวาหลิงมู่พยายามกลั้นหายใจเป็นครั้งคราว เพื่อให้ตัวเองหลีกเลี่ยงการสูดดมกลิ่นพวกนี้
ด้วยวิธีเหล่านี้ ทุกคนจึงผ่านไปถึงป่าผืนเล็กแห่งหนึ่ง
ตามทางเดินมักมีกระดูกรวมถึงซากศพที่พึ่งเสียชีวิตไม่นาน ทำให้ฮวาหลิงมู่รู้สึกรับไม่ได้ แต่นางก็ทำได้เพียงหลับตาข้างลืมตาข้างเพื่อมองทางเดินด้านหน้า
ส่วนเจี่ยลั่วนั้นดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อเดินไปข้าง ๆ ซากศพเหล่านั้น ที่ทำให้เขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
และเหมือนว่าลู่เฉินเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออก จึงมองไปยังเจี่ยลัว “รอก่อน ข้าจะสอนเคล็ดวิชาหนึ่งให้เจ้า!”
“เคล็ดวิชา?” เจี่ยลัวแปลกใจ
ทว่าลู่เฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่เดินนำทุกคนต่อไปด้านหน้า
จนกระทั่งเดินมาถึงป่าผืนเล็กก็เริ่มมองเห็นภูเขามากมายนับไม่ถ้วน และบนภูเขารอบด้านก็มีดอกไม้มากมาย รวมถึงหญ้าหอมต่าง ๆ
เพียงพริบตาเดียว ราวกับโลกทั้งใบเปลี่ยนไป
“หอม หอมมาก!” ฮวาหลิงมู่เบิกตากว้างและสูดหายใจเข้าเต็มปอด
ส่วนโจวกังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตัวตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายหรือคนโผล่ออกมา
ลู่เฉินหยิบศิลาวิญญาณออกมาสี่ก้อน และสลักอักขระยันต์บางอย่างลงไป จากนั้นจึงส่งให้โจวกัง ฮวาหลิงมู่ และเจี่ยลัวคนละก้อน รวมทั้งใช้กับตัวเองหนึ่งก้อน
สามคนนั้นต่างก็แปลกใจว่ามันคือสิ่งใด
“นี่คืออักขระยันต์เสียง ภายในระยะสามสิบกว่าลี้ เพียงแค่ใส่พลังปราณและพูด อีกสามคนก็จะสามารถได้ยินได้!” ลู่เฉินรีบส่งให้พวกเขาทันที เพื่อป้องกันการเดินพลัดหลงหรือเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น
ซึ่งทั้งสามก็ได้หยิบศิลาวิญญาณนี้มา ขณะที่สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย
โดยเฉพาะโจวกังที่ประหลาดใจจนต้องเอ่ยถาม “เหตุใดทุกครั้งเจ้ามักจะสลักอักขระยันต์บนศิลาวิญญาณ แล้วทำไมศิลาวิญญาณนั้นถึงแตกต่างกันออกไปได้?”
“อักขระยันต์ เดิมทีเป็นศาสตร์การชักนำพลังชนิดหนึ่งที่มีความลึกลับมาก” ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังโจวกัง
“ข้ารู้ แต่ว่าทั่วทั้งแดนทักษิณา ตัวตนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ ข้าคิดว่าคงมีไม่เกินท่านคนเดียวเป็นแน่!”
“ไม่รู้ แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ”
ฮวาหลิงมู่แปลกใจ “พี่ใหญ่ประหลาด ตอนนี้เรากำลังจะไปที่ใดกัน?”
“ทุก ๆ แดนวิญญาณจะมีพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่อยู่อาศัยเหล่านั้นจะไม่สามารถใช้พลังปราณได้ ดังนั้นสถานที่นั้นจึงปลอดภัย เพราะฉะนั้นที่นั่นจึงเป็นที่แลกเปลี่ยนข่าวสารและนัดพบกันได้ง่ายที่สุด”
ฮวาหลิงมู่ไม่เข้าใจ แต่โจวกังกลับเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พื้นที่อยู่อาศัยหรือ? เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ!”
เมื่อลู่เฉินเห็นท่าทางขี้ขลาดของโจวกัง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกขึ้นมา “ข้าขอมอบหมายหน้าที่ให้เจ้าหนึ่งอย่าง!”
“หน้าที่ใดกัน?”
“ในแดนวิญญาณแห่งนี้ ช่วยข้าค้นหาผู้ที่มีรากวิญญาณขั้นสร้างรากฐานหนึ่งดาวถึงเก้าดาวอย่างละเอียด และจดบันทึกมาด้วย”
โจวกังมีสีหน้าเปลี่ยนไป “สามารถมาที่นี่ได้ ส่วนมากต้องเป็นผู้ฝึกตน แทบทุกคนล้วนมีรากวิญญาณ ท่านจะให้ข้าหาคนพวกนี้ เช่นนั้นข้าคงต้องไปยืนยันกับทุกคนงั้นหรือ?”
“ข้าบอกแล้วว่าให้ค้นหาเฉพาะผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน!”
โจวกังตอบกลับ “ขั้นสร้างรากฐานก็มีมากมายเช่นกัน!”
“ถ้าหากเจ้าทำได้ เมื่อออกจากแดนวิญญาณแห่งนี้แล้ว ข้าจะสอนวิชาค่ายกลให้เจ้า และค่ายกลนี้ก็ย่อมให้ผลลัพธ์ที่เจ้าต้องตกตะลึง”
เมื่อโจวกังได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาทันที “เรื่องนี้ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการให้เป็นอย่างดี!”
เมื่อเห็นท่าทีของโจวกังที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ลู่เฉินพลันยิ้มออกมา จากนั้นจึงนำทุกคนไปยังพื้นที่อยู่อาศัยดังกล่าว
แท้จริงแล้ว พื้นที่อยู่อาศัยนี้ก็คือเมืองเล็ก ๆ ที่มีค่ายกลล้อมไว้
มันเป็นที่สำหรับรองรับผู้คนที่เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย หรืออยากเติมพลังปราณ จึงเข้ามาหลบทีนี่เพียงชั่วคราว รอให้ดีขึ้นแล้วค่อยออกไปสู้รบต่อ
ดังนั้นเมื่อลู่เฉินและคนอื่น ๆ เดินทางมาถึงพื้นที่อยู่อาศัยจุดแรก พวกเขาก็ได้พบกับศพและกระดูกมากมาย
เจี่ยลัวรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา แต่ฮวาหลิงมู่กลับรู้สึกหดหู่ “กลิ่นอายพวกนี้…”
“เมื่อถึงในเมืองก็จะดีขึ้น” ลู่เฉินเอ่ยปลอบ และพานางเดินไปตามทางเล็ก ๆ เตรียมเข้าไปในเมือง
แต่เมื่อใกล้จะถึงประตูเมืองนั้น กลับมีกลุ่มชายร่างใหญ่สวมผ้าโพกหัวสีดำปรากฏตัวออกมา
ไม่เพียงเท่านั้น ที่เอวของชายร่างใหญ่พวกนี้ยังมีป้ายห้อยอยู่
เมื่อเห็นตัวหนังสือบนป้าย โจวกังก็พลันหวาดกลัวขึ้นมา “นี่มัน… หากอยากผ่านไปก็จำเป็นต้องจ่ายเงินงั้นหรือ?!”