ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 83 แมลงพวกนี้ ช่างกรุบกรอบดีนัก!
บทที่ 83 แมลงพวกนี้ ช่างกรุบกรอบดีนัก!
ตู๋ซานชิงชี้ไปยังค่ายกลชั่วคราวพลางเอ่ยว่า “ค่ายกลชั่วคราวมีจุดอ่อนอยู่”
“จุดอ่อน?”
“ใช่ ก็คือขณะที่กำลังเคลื่อนตัว การป้องกันจากใต้ธรณีจะอ่อนแอที่สุด”
จางเชียนยังคงไม่เข้าใจ “เจ้าจะบอกว่า โจมตีพวกเขาจากใต้พื้นดินงั้นหรือ?”
“ใช่!” ตู๋ซานชิงพยักหน้า
ทว่าสีหน้าของจางเชียนกลับกังวลขึ้นมา “แต่ข้าไม่ใช่รากวิญญาณธาตุดิน และไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาธาตุดิน จึงไม่สามารถมุดดำดินได้!”
ตู๋ซานชิงตอบกลับ “ข้าก็ไม่เคย”
“นั่นก็เท่ากับพูดไปก็ไม่เกิดประโยนชน์น่ะสิ?” จางเชียนรู้สึกเหมือนกำลังจะบ้าขึ้นมา ทว่าตู๋ซานชิงกลับยิ้มและมองมายังเขา “แต่ข้ามีแมลง!”
เมื่อจางเชียนได้ยินจึงรู้สึกสนใจขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงยามที่ลู่เฉินไม่กลัวแมลง เขาจึงกังวลขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ชายผู้นี้ เหมือนกับว่าจะไม่กลัวแมลง!”
“เขาอาจจะไม่กลัว แต่คนรอบกายเขานั้นไม่แน่!” ตู๋ซานชิงแสยะยิ้ม
จางเชียนเข้าใจในทันที “เช่นนั้นก็ลงมือเลย!”
“รอดู!”
ตู๋ซานชิงหยิบไม้ไผ่กระบอกเล็กออกมา แล้วจึงปล่อยสิ่งที่ดูคล้ายตะขาบออกไป
สิ่งที่ดูคล้ายตะขาบนี้ทะยานผ่านสุญญะ ก่อนจะจมหายลงไปในดินโดยพลัน
จางเชียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้ามีความหวัง “ครั้งนี้ ข้าจะรอดูว่าชายผู้นี้จะทำเช่นไร!”
อีกด้านหนึ่ง โจวกังก็ได้เอ่ยเตือนลู่เฉิน “พวกเขาปล่อยแมลงแล้ว!”
“ข้ารู้” ลู่เฉินยังคงนิ่ง
“เช่นนั้นท่านไม่กลัวหรือ?” โจวกังรู้ถึงฝีมือการควบคุมแมลงของตู๋ซานชิงดี ดังนั้นเขาจึงเป็นกังวลขึ้นมา
ลู่เฉินที่ได้ยินพลันหยุดเดินกะทันหัน และหันมายิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ข้าชอบกินแมลงย่างมากที่สุด!”
ว่าแล้วลู่เฉินก็หยิบศิลาวิญญาณออกมา และแกะสลักอักขระยันต์แปลก ๆ ไว้ด้านบน จากนั้นจึงวางลงบนพื้น
อึดใจถัดมา ศิลาวิญญาณนี้ก็สว่างวาบ
เมื่อเห็นแล้วโจวกังจึงสงสัยขึ้นมา “นี่คืออันใด?”
“ก็อย่างที่เห็น” ลู่เฉินคลี่ยิ้ม
ฮวาหลิงมู่และเจี่ยลัวนั้นรู้สึกสงสัย ส่วนต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรารู้ถึงตัวตนของลู่เฉินดี ดังนั้นจึงไม่กังวลใด ๆ และยังคงพักผ่อนอย่างสบายใจด้วย
ตู๋ซานชิงที่อยู่ห่างออกไปนั้นสงสัยกับท่าทีของอีกฝ่ายขึ้นมา “ทำไมเขาถึงไม่เดินต่อ?”
“หรือว่าเขาจะรู้ตัวเรื่องแมลงแล้ว?” จางเชียนถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ
ทว่าตู๋ซานชิงกลับรู้สึกว่าน่าขันนัก “แมลงของข้า เขานึกอยากจะจับก็จับได้งั้นหรือ?”
ทว่าเมื่อกล่าวจบ ภายใต้ศิลาวิญญาณของลู่เฉินนั้น จู่ ๆ ก็ปรากฏแมลงที่คล้ายตะขาบกองหนึ่งออกมา ก่อนที่พวกมันจะเริ่มกัดกินศิลาวิญญาณทันที
จากนั้นตู๋ซานชิงก็ได้เห็นภาพที่ทำให้ตัวเองถึงกับอึ้ง
พวกเขาเห็นลู่เฉินหยิบแมลงเหล่านี้ขึ้นมา ใช้ไฟเผาจนเกรียม จากนั้นจึงโยนเข้าปากแล้วเคี้ยว “อืม หอมมาก!”
ตู๋ซานชิงที่เห็นดังนั้นก็พลันโมโหจนยืนดูต่อไปไม่ไหว เขาทรุดลงไปกับพื้น สมองหนักอึ้งขึ้นมาทันที “แมลง… แมลงของข้า!”
ส่วนจางเชียน แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของแมลง ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เขากระทืบเท้าด้วยความโมโห
ทางด้านโจวกัง ขณะนี้เขากำลังยืนเฉยอยู่ด้านหน้าลู่เฉิน มองชายหนุ่มกลืนแมลงเหล่านี้ลงไปเรื่อย ๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัว “เจ้า…”
“พวกเจ้าอยากลองหรือไม่?” ลู่เฉินเอ่ยพลางหยิบแมลงที่เพิ่งย่างเสร็จขึ้นมา
ทุกคนต่างส่ายหน้าแทนคำตอบทันที
“แมลงพวกนี้ผ่านการเลี้ยงดูด้วยเม็ดยามานับไม่ถ้วน เมื่อกินเข้าไป จึงเหมือนได้กินยาบำรุงชั้นดี” ลู่เฉินอธิบาย
แต่ทุกคนกลับไม่ได้คิดตามนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะแค่เห็นหน้าตาของแมลงพวกนี้… พวกเขาก็ต้องร้องยี้ออกมาแล้ว!
ลู่เฉินจึงเพียงแค่ยิ้ม “เช่นนั้น ข้าจะกินให้หมดเองแล้วกัน”
จากนั้นชายหนุ่มก็โยนแมลงย่างทั้งหมดนั้นเข้าปาก
อึดใจถัดมา เขาปรบมือด้วยความพึงพอใจและเอ่ยว่า “ไป ออกเดินทางกันต่อ!”
โจวกังที่เห็นภาพตรงหน้ารู้สึกขนลุกไปหมด
ส่วนชายสองคนที่กำลังมองจากไกล ๆ พวกเขานั้นแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ยังคงไม่อาจปล่อยวางความแค้นนี้ได้ ดังนั้นจึงแอบติดตามไปเงียบ ๆ เพื่อดูว่าจะมีโอกาสลงมืออีกหรือไม่
…
ไม่กี่วันถัดมา
ลู่เฉินมาถึงภูเขารกร้างแห่งหนึ่ง เขามองไปรอบ ๆ แล้วได้แต่พึมพำกับตัวเอง “มันควรจะอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ?”
“เจ้ากำลังหาอะไร?” โจวกังอดสงสัยไม่ได้
“แดนวิญญาณ!”
“อันใดนะ? แดนวิญญาณ?”
“อืม!”
หลังได้รับคำยืนยัน โจวกังก็พลันถามออกมาด้วยความแปลกใจ “แดนวิญญาณแห่งแดนทักษิณานี้ได้ย้ายไปแล้ว และที่นี่ก็เป็นเพียงสถานที่ตั้งเก่าเท่านั้น!”
“โอ้? ย้ายงั้นหรือ? ไปที่ใดกัน?”
“ทุก ๆ หมื่นปีก็จะย้าย ซึ่งมันก็คงอยู่ภายในแดนทักษิณานี่แหละ และถ้าหากเจ้าอยากไป ข้าก็สามารถนำทางไปได้ เพียงแต่ที่นั่นค่อนข้างอันตราย เจ้าต้องการไปจริงหรือ?” โจวกังยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ลู่เฉินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แค่นำทางไปก็พอ”
โจวกังรู้ว่าตนไม่มีอำนาจมากพอในการปฏิเสธ จึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาและนำทางลู่เฉินไป ซึ่งเมื่อเดินทางไปยังทิศใต้ประมาณสามสิบกว่าลี้ โจวกังก็ได้ชี้นิ้วไปยังบันไดด้านหน้า “ดูนั่น นี่แหละคือสิ่งที่เจ้าตามหา!”
ลู่เฉินที่หันมองไปก็รู้สึกคุ้นเคยกับบันไดนั้น
บริเวณรอบ ๆ บันไดนี้เต็มไปด้วยอักขระยันต์แปลกประหลาดที่เชื่อมต่อเข้าไปในหมอกซึ่งสูงค้ำฟ้า
แต่ลู่เฉินรู้ดีว่ามันไม่ได้เชื่อมต่อกับท้องฟ้าจริง ๆ หากแต่เป็นทางเชื่อมไปยัง ‘แดนปิด’ แห่งหนึ่ง
ส่วนฮวาหลิงมู่ นางยังคงไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นบันไดที่ลอยสูงเข้าไปในม่านหมอก สีหน้าของเด็กสาวจึงมีแต่ความสงสัย “พี่ใหญ่ประหลาด บันไดนี้เชื่อมต่อไปยังที่ใด?”
ลู่เฉินจึงอธิบายให้ฮวาหลิงมู่ฟังคร่าว ๆ “แดนวิญญาณ เป็นสถานที่ที่หนึ่งที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้”
“ข้า? เรียนรู้?” ฮวาหลิงมู่รู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย
“ใช่ เรียนรู้ ทำให้ค้นพบข้อบกพร่องของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว” ลู่เฉินอธิบาย
ฮวาหลิงมู่กลอกตาไปมา “แล้วสมบัติล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วง ที่แดนวิญญาณนั้น หากต้องการสิ่งใด ขอเพียงลงมือแล้วเจ้าก็จะได้มา” ลู่เฉินยิ้ม
โจวกังที่อยู่อีกด้านเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าจะปล้นผู้อื่นหรือ?”
“ปล้น? ข้าเหมือนคนเช่นนั้นหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ
“นิดหน่อย” โจวกังพยักหน้าเบา ๆ
“เช่นนั้น เจ้าเห็นข้าปล้นเจ้าบ้างหรือยัง?”
“ข้า ข้าไม่มีอะไรติดตัวมา” โจวกังรีบเตือนทันที แต่ลู่เฉินกลับยิ้มให้ “อย่าพูดไร้สาระ นำทางข้าไป”
โจวกังถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงรีบนำทางไปทันที
ตู๋ซานชิงที่อยู่ไกลออกไป เขาพูดด้วยความตระหนกขึ้นมาว่า “ดูสิ พวกเขาจะไปยังแดนวิญญาณ!”
“พวกเขาจะไปทำอันใด?” จางเชียนตกใจขึ้นมา
“จะไปสนใจว่าพวกเขาจะไปทำอันใดเพื่อเหตุใด? รีบตามไปเร็ว!!”
แต่จางเชียนกลับมีสีหน้าหดหู่ “แดนวิญญาณอันตรายมาก และเมื่อเข้าไปด้านในแล้ว ขั้นพลังก็จะถูกลดลง!”
“แล้วอย่างไร? พวกเขาก็ย่อมขั้นพลังลดลงเช่นกัน!” ตู๋ซานชิงกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
จางเชียนที่ได้ฟังก็รู้สึกว่าคำพูดของตู๋ซานชิงมีเหตุผล จึงคิดตามเข้าไปดู
…
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่เฉินก็รอให้คนอื่นเดินมาถึงบันได
แต่เมื่อเดินขึ้นบันไดไปได้พักหนึ่ง กลุ่มหมอกหนาก็พลันล้อมรอบทุกคนเอาไว้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีช่องน้ำวนช่องหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือบันไดอีกด้วย!
เมื่อทุกคนค่อย ๆ เดินผ่านช่องน้ำวนนี้ แต่ละคนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
มีเพียงโจวกังที่เกิดการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุด
เพียงไม่นาน บนแขนทั้งสองข้างก็ปรากฏอักขระยันต์สีดำแปลก ๆ ขึ้นนับไม่ถ้วน ดูราวกับดวงตาเล็ก ๆ หลายคู่
ไม่เพียงเท่านั้น ขั้นพลังของเขาจากขั้นก่อกำเนิดก็ลดลงไปอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ในบัดดล
ส่วนเจี่ยลัวนั้น พลังถูกกดเหลือเพียงแค่ขั้นสร้างรากฐานระดับต้น ฮวาหลิงมู่เองก็เช่นกัน ขั้นพลังตกไปอยู่ขั้นสร้างรากฐานระดับต้น
แต่สำหรับลู่เฉินแล้ว เขากลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย
“หรือว่าอักขระยันต์พวกนี้ จะไม่มีผลต่อตันเถียนของข้า?” ลู่เฉินแสยะยิ้ม
โจวกังที่อยู่อีกด้านหนึ่งแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ “เพราะเหตุใดจึงไม่เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?”
“อักขระยันต์ต้องห้ามพวกนี้ สำหรับข้าแล้วมันอ่อนแอเกินไป”
“อ่อนแอ? เป็นไปได้อย่างไร!” โจวกังไม่เชื่อ และยังคงอธิบายต่อว่าแม้แต่คนที่แข็งแกร่งกว่าขั้นก่อกำเนิดก็ไม่สามารถเข้ามาที่แห่งนี้ได้โดยไม่ถูกลดขั้นพลัง
ไม่เพียงแต่โจวกังเท่านั้น หนานเหยาเองก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน “ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!”
ลู่เฉินไม่ได้อธิบายใด ๆ แต่กลับหันไปอธิบายความรู้เกี่ยวกับแดนวิญญาณนี้ให้ฮวาหลิงมู่ฟัง