ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 8 ความอับอาย
บทที่ 8 ความอับอาย
ผู้อาวุโสเฮยรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก เขาหันไปพูดกับหยานเยว่ “ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขายืมพลังค่ายกลจากสำนักเรา ดังนั้นเจ้าอย่าได้กลัวไป!”
หากจะบอกว่าหยานเยว่ไม่กลัวแม้แต่นิดก็คงเป็นการโกหก ทว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสเฮยกล่าวนั้นก็นับว่าถูกต้องเช่นกัน!
“หากไม่ยืมพลังจากค่ายกลสำนักเรา เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแน่!” หยานเยว่ให้กำลังใจตนเอง และเมื่อผู้อาวุโสเฮยเห็นดังนั้นก็พลันตื่นเต้น “เช่นนั้นเจ้าจงมองหาโอกาสให้ดี!”
“มองหาโอกาส?” หยานเยว่ยังคงสับสน
ทว่าผู้อาวุโสเฮยกลับกระแอมเบา ๆ “ไปกันเถอะ”
“ขอรับท่านอาจารย์!”
ที่แท้หยานเยว่ก็เป็นหนึ่งในศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของผู้อาวุโสเฮย! มิน่าเล่า ทั้งสองจึงดูเข้าคู่และส่งเสริมกันนัก!
อีกด้านหนึ่ง ชายชราได้พาลู่เฉินเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง
ภายในถ้ำนี้มีค่ายกลและอาวุธลับมากมายติดตั้งไว้
…ดังนั้น หากมีคนนอกบุกรุกเข้ามา เก้าในสิบย่อมตายตก หรือไม่ก็คงพิการเป็นแน่!
“ที่นี่คือที่ใด?” ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันไปถามผู้อาวุโสเหยา
ชายชราได้ยินดังนั้นจึงอธิบายอย่างเป็นกันเอง “นี่คือถ้ำสุขสงบ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้ามาที่นี่ได้!”
“เช่นนั้นแล้วยังอีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงที่หมาย?” เมื่อทราบถึงความสำคัญของที่แห่งนี้ ลู่เฉินก็มีท่าทีสงสัย
“นั่นไงเล่าประตูทางออก เมื่อเจ้าผ่านเข้าไปจะพบกับหมอกหนา และมีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่จะสามารถเปิดทางให้เจ้าได้” ผู้เฒ่าเหยาตอบด้วยรอยยิ้ม
ลู่เฉินถึงกับตกตะลึง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นประตูหินอยู่เบื้องหน้า ผู้เฒ่าเหยาก็เอ่ยเร่งว่า “เข้าไปสิ!”
ครั้นประตูหินเปิดออก ไอหมอกมากมายก็พรั่งพรูออกมา และแม้ว่าผู้เฒ่าเหยาจะถือหินซึ่งเปล่งแสงสีขาวไว้ในมือ แต่เขาก็ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ห่างออกไปเกินห้าก้าวได้
“ท่านจะไม่เข้าไปหรือ?” ลู่เฉินถามชายชรา
ผู้เฒ่าเหยายิ้ม “เจ้าสำนักเรียกเจ้ามาที่นี่ก็เพราะท่านยอมรับเจ้า บางทีเจ้าอาจได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป ดังนั้นเจ้าจึงมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปได้ ในขณะที่ตัวข้านั้นเป็นเพียงผู้อาวุโสธรรมดา จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าไป”
“ตำแหน่งเจ้าสำนัก? ข้าไม่สนใจ!” คำพูดของลู่เฉินทำให้ผู้เฒ่าเหยานึกสงสัย “เจ้ารังเกียจสำนักเก้าสุขสงบหรือ?”
“ข้าไม่ได้รังเกียจ ก็แค่…” ลู่เฉินไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์หลักของเขาก็คือการ ‘เพาะปลูก’ รากวิญญาณ และแก้ปัญหา รวมถึงค้นหาว่าใครเป็นคนทำร้ายเขา!
เขาไม่ได้สนใจเรื่องการแย่งชิงอำนาจภายในสำนักมากนัก
ผู้เฒ่าเหยาคิดว่าลู่เฉินอาจมีบางอย่างปิดบังอยู่ เขาจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงยิ้มบาง ๆ แล้วแสดงท่าทีเพื่อให้ชายหนุ่มเดินเข้าไป
”ขออนุญาต!” ลู่เฉินกล่าวอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินเข้าไปในหมอกนั้น ในใจตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่า… จะต้องรู้ให้ได้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าสำนักต้องการอะไรจากเขากันแน่!
เมื่อลู่เฉินเดินเข้าไปด้านใน ประตูหินพลันปิดลง ทำให้บริเวณโดยรอบนั้นมืดสนิท
เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบเอาศิลาวิญญาณระดับต่ำที่กะพริบแสงสีเขียวจาง ๆ ออกมา ก่อนที่มันจะสาดแสงสร้างความสว่างให้กับพื้นที่โดยรอบ
เมื่อกลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง เขาจึงเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า ทว่าเพียงแค่ก้าวไปได้สองสามก้าว ชายหนุ่มกลับพบว่าลมหายใจของตนเองเกิดความผิดปกติเล็กน้อย!
ลู่เฉินรีบกลั้นลมหายใจทันที และพึ่งพาพลังปราณที่อยู่ภายในร่าง
ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “นี่ท่านคิดอยากเชิญข้ามา หรือว่าต้องการทำร้ายข้ากันแน่?”
“ข้าเพียงแค่ต้องการดู …ว่าคนหยิ่งทะนงเช่นเจ้าจะสามารถฝ่ามันมาหาข้าได้หรือไม่!” หญิงสาวเอ่ยกระเซ้า และนั่นทำให้ลู่เฉินอดยิ้มไม่ได้ “ท่านเรียกข้ามาก็ด้วยเหตุนี้?”
“ใช่ ข้าอยากเห็นความสามารถของเจ้า!” นางยังคงกล่าวต่อไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินจึงหันกลับไป ก่อนจะเริ่มมองหากลไกที่ประตูหิน
“ไม่ต้องมองหามันให้เสียเวลาหรอก เพราะเมื่อประตูหินนี้ปิดลงก็จะไม่มีใครสามารถเปิดมันได้อีก นอกจากข้าคนนี้!” เจ้าสำนักกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ลู่เฉินคลี่ยิ้มออกมา “ข้าไม่อยากสร้างปัญหา เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่งกับข้าจะดีกว่า!”
“อะไรนะ นี่ข้าทำให้เจ้าโกรธงั้นหรือ?” น้ำเสียงเจ้าสำนักเปล่งออกมาคล้ายกับอารมณ์ดี
ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “หากนี่ไม่ใช่สำนักเก้าสุขสงบ ข้าเกรงว่ามันคงได้กลายเป็นทะเลเลือดไปแล้ว!”
“เพราะเหตุใด?” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
แท้จริงแล้วสำนักเก้าสุขสงบนี้ก่อตั้งขึ้นโดยสหายของเขา ไม่เช่นนั้นแล้ว… ด้วยนิสัยของลู่เฉิน ใครก็ตามที่ยั่วยุเขา ย่อมได้รับผลของมันในชั่วพริบตา!
แต่ความลับนี้ลู่เฉินไม่ได้เอ่ยออกไป เขาเพียงตอบกลับไปว่า “ไม่มีเหตุผล!”
“ดูเหมือนว่าฝีปากเจ้าจะเก่งไม่น้อย!”
ทันใดนั้น ลู่เฉินได้หยิบกริชเล่มเล็กออกมา แล้วเปลี่ยนมันเป็นกระบี่สยบเก้าทิศ “ท่านน่าจะรู้ว่าหากข้าใช้มัน พลังค่ายกลของสำนักจะอ่อนแอลง ท่านจึงควรคิดให้ดี!”
หญิงสาวที่อยู่ในความมืดเริ่มหวั่นวิตก “เหตุใดเจ้าไม่คิดเล่นตามกติกา!”
“ตามกติกา? กติกาอันใดกัน?”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าควรขอร้องข้าหรือ?” หญิงสาวถึงกับงุนงง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้านี่มันช่างไร้เดียงสาเสียจริง ช่างกล้าทีเดียวนะสาวน้อย กล้าที่จะมาพูดเรื่องน่าขันกับข้าเช่นนี้!”
“เจ้าหมายถึงอันใด?” หญิงสาวสงสัยว่าลู่เฉินหมายถึงอะไร
ไร้เดียงสา? สาวน้อย?
นางเกิดอาการไม่ค่อยพอใจขึ้นมาทันที “ข้าคือเจ้าสำนักเก้าสุขสงบผู้สง่างาม ทั้งยังอยู่ในขั้นก่อกำเนิด แต่เจ้า… เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้เรียกข้าว่าสาวน้อย!”
สิ้นเสียงนั้น กลุ่มหมอกหนาแน่นก็พลันสลายไป ก่อนที่ดวงไฟจำนวนนับไม่ถ้วนจะถูกจุดขึ้นในพื้นที่โดยรอบ จากนั้นวังแห่งหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นห่างออกไปหนึ่งร้อยก้าว
หลังจากที่ลู่เฉินเดินเข้าไป เขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนแท่นหินกลางโถงใหญ่
เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้กำลังหลับตา ริมฝีปากของนางเป็นสีดำ และมีจุดสีดำบนหน้าผาก
อย่างไรก็ตาม เจ้าสำนักหญิงผู้นี้ยังดูสาวมากนัก อายุประมาณสามสิบปี นางมีผิวขาว และคิ้วเรียวยาว
ไม่เพียงเท่านั้น หญิงในชุดขาวผู้นี้ยังมีเงากระบี่เก้าเงาด้วยกัน ซึ่งมันทั้งดูบอบบางและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน!
ภาพตรงหน้าทำให้ลู่เฉินหัวเราะออกมา “ท่านบาดเจ็บหนักขนาดนี้ แต่ยังกล้าคิดก่อกวนข้างั้นหรือ?
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าบาดเจ็บ!” หญิงสาวถามด้วยความตกใจ
“ข้าไม่เพียงรู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่ข้ายังรู้ว่าท่านใช้เคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบเพื่อรักษาตัวเอง แต่มันกลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร!” ลู่เฉินอธิบาย
ขณะนี้การแสดงออกของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้ดวงตาของนางยังคงปิดอยู่ ทว่าก็ยังเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ “เคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบเป็นความลับ เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ลู่เฉินยิ้ม “ข้ารู้ดี!”
“เจ้าเป็นใครกันแน่!” หญิงสาวเริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อย ทว่าลู่เฉินกลับยิ้มให้นางแล้วกล่าวว่า “ข้าก็คือข้า!”
หลังจากที่หญิงสาวเห็นว่าลู่เฉินไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นางก็ยิ่งกังวลมากขึ้น และในฉับพลันนั้น จู่ ๆ เงากระบี่จำนวนมากพลันพุ่งใส่ลู่เฉินอย่างรวดเร็ว!
หลังจากเห็นเงากระบี่ที่ล้อมรอบกายทว่าไม่ได้โจมตีเข้ามา ลู่เฉินก็ยิ้มออกมา “เคล็ดกระบี่เก้าสุขสงบนี้มีสิบระดับด้วยกัน แต่ละระดับสามารถเพิ่มปราณกระบี่ได้เป็นพันเล่ม มีข่าวลือว่าเมื่อฝึกถึงจุดสูงสุด จะสามารถเรียกปราณกระบี่ออกมาได้นับหมื่นเล่ม! แต่นี่มันอะไรกัน? ท่านเรียกปราณกระบี่ออกมาได้ไม่ถึงร้อยเล่มด้วยซ้ำ!”
เมื่อเห็นว่าลู่เฉินคุ้นเคยกับเคล็ดกระบี่เก้าสุขสงบ นางก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ “บอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่!”
“เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องรู้!” ลู่เฉินยิ้มให้นาง ทว่าคำตอบนั้นทำให้สีหน้าและท่าทางของหญิงสาวดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที “ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะลงมือ!”
“ข้าไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น มิฉะนั้นอาการบาดเจ็บของท่านจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม!” ลู่เฉินเตือนอีกฝ่าย ทว่าเจ้าสำนักผู้นี้กลับคิดว่าชายหนุ่มเพียงแค่ขู่นางเท่านั้น
ในขณะที่หญิงสาวพร้อมจะโจมตี…
หลังปราณกระบี่ที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองสามเล่มนั้น ส่งผลให้นางไม่สามารถคงสภาพมันได้อีกต่อไป โลหิตไหลรินออกจากปาก พร้อมกับเงากระบี่เหล่านั้นที่สลายไปทีละเล่ม
จากนั้นนางก็ลืมตาขึ้น สายตาจับจ้องไปยังลู่เฉิน
สตรีนางนี้แม้จะอ่อนแอเพราะบาดเจ็บ ทว่านางกลับเป็นคนดื้อรั้นนัก “อย่าคิดว่าข้าบาดเจ็บแล้วจะจัดการเจ้าไม่ได้!”
“แต่ว่าแม่นาง พวกเราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นจึงไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองระหว่างกัน เช่นนั้นแล้วเหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้?” ลู่เฉินไม่เข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย
ใครจะรู้ว่านางจะกัดฟันตอบออกมาว่า “เพราะเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์!”
“เพียงเพราะข้าไม่คู่ควร ท่านจึงไม่พอใจข้างั้นหรือ?” ลู่เฉินอดหัวเราะไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายพลันโต้กลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ข้าจะทำให้สำนักเก้าสุขสงบอับอายไม่ได้!”
“อับอาย?” ลู่เฉินไม่รู้ว่านางหมายถึงอะไร
“ในฐานะเจ้าสำนัก ข้ามีหน้าที่ปกป้องชื่อเสียงของสำนัก ทว่าเจ้ากลับพูดต่อหน้าทุกคนว่าไม่ต้องการตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ หากข่าวนี้แพร่ออกไปเล่า? อะไรจะเกิดขึ้นกับชื่อเสียงเก้าสุขสงบของข้า?”
ทว่าลู่เฉินไม่เคยคิดในแง่นั้น เขาจึงได้กล่าวออกไปตามตรง “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้สำนักเก้าสุขสงบต้องอับอาย!”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงอยากเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะคิดยกตำแหน่งนี้ให้ผู้อื่น?” หญิงสาวจ้องไปที่ลู่เฉินอย่างเอาเรื่อง
ลู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ข้ามาที่นี่เพื่อหาวัตถุดิบล้ำค่าบางอย่าง แต่มีคนบอกว่าข้าจะสามารถใช้วัตถุดิบเหล่านั้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นข้า… ข้าจึงไม่มีอะไรจะแก้ตัว!”
“ดังนั้นเมื่อเจ้าได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว จึงคิดสะบัดก้นหนีจากไป?” นางถึงกับตกตะลึง และรู้สึกว่ามันออกจะไร้สาระ
ลู่เฉินพยักหน้า “ตามนั้น!”
ใบหน้าของผู้เป็นเจ้าสำนักแดงขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางกำลังโกรธจัด “เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดอย่างไรกับตำแหน่งเจ้าสำนักเก้าสุขสงบ?”
“แล้วตัวท่านเองเล่า คิดอย่างไร?” ลู่เฉินถามกลับ
หญิงสาวพลันกัดนิ้วชี้ขวาของตน ก่อนจะใช้โลหิตที่ไหลออกมาวาดเป็นลวดลายแปลก ๆ
“อัญเชิญบรรพชน?” ทันทีที่ลู่เฉินเห็นสิ่งนี้ ก็ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
คาถาบางอย่างถูกร่ายออกมาทันทีที่หญิงสาววาดลวดลายได้สำเร็จ “ข้า! ปิงหลิวหลี! ขอใช้เลือดเปิดทาง รบกวนการพักผ่อนอันเป็นนิรันดร์ อัญเชิญท่านบรรพชนกลับมา!”
ตู้ม!
เงาสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังปิงหลิวหลี และรูปร่างของเงานั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา
“จิ่วโหยว!” ลู่เฉินขมวดคิ้ว เพราะคนตรงหน้าเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิ่วโหยว! ทว่าจากสิ่งที่เห็นตรงหน้า เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงร่างจำแลงโลหิตเท่านั้น!
แท้จริงแล้วร่างจำแลงโลหิตก็คือการปลุก ‘ผี’ รูปแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ถูกเรียกออกมานั้นจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ทว่าเป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนความทรงจำเท่านั้น!
ปิงหลิวหลีกล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นเงาขนาดใหญ่ “ท่านบรรพชน!”
“ใครกันที่ก่อปัญหา!” เสียงนั้นดังก้องภายในห้องโถงขนาดใหญ่
ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบคำใด เดิมทีร่างกายของนางก็อ่อนแออยู่แล้ว ผนวกกับการเรียก ‘ร่างจำแลงโลหิต’ ออกมา สุดท้ายก็ส่งผลให้นางหมดสติไป!
ลู่เฉินยิ้มให้เงานั้น “นี่ข้าเอง แล้วเจ้าเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นผีไปเสียแล้ว?”
จิ่วโหยวจ้องไปยังทิศทางที่ลู่เฉินยืนอยู่
เดิมทีร่างเงานี้ก็กำลังโมโหโกรธาจากการถูกปลุกให้ตื่น ทว่าความอยากรู้อยากเห็นกลับพรั่งพรูเข้ามาเสียก่อน ดังนั้นสิ่งที่ตามมาในตอนนี้ก็คืออาการตกใจ! “จ…จะ… เจ้าคือ…”
“ข้าไม่นึกเลยว่าเราจะได้เจอกันในสภาพเช่นนี้!” ลู่เฉินถอนหายใจเมื่อเห็นสหายเก่าของเขา เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่กลับเป็น ‘ผี’ ที่ไม่มีกายเนื้อ!