ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 76 เมื่อเห็นดาวตก ก็หวนนึกถึงจักรพรรดินี!
บทที่ 76 เมื่อเห็นดาวตก ก็หวนนึกถึงจักรพรรดินี!
ลู่เฉินเผยรอยยิ้มออกมาแต่ไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นก็เอื้อมไปจับแขนขวาของตู๋ซานชิง และมองเข้าไปภายในร่างกายอีกฝ่าย
ขณะนั้นเอง ลู่ฉินสัมผัสได้ถึงไข่ของแมลงกัดกินวิญญาณเหล่านั้น
ไข่แมลงเหล่านี้ทำให้ตู๋ซานชิงสูญเสียพลังปราณไป แต่ลู่เฉินรู้อีกฝ่ายตั้งใจใส่สิ่งนี้เข้าไปในร่างกาย
ไม่เพียงเท่านั้น ไข่เหล่านี้ยังเคลื่อนตัวผ่านแขนของตู๋ซานชิง หมายจะเข้าสู่ร่างกายของลู่เฉิน!
ตู๋ซานชิงหัวเราะขึ้นมาเมื่อเห็นความสำเร็จของตน “เป็นเช่นไรบ้าง?”
ลู่เฉินดึงมือกลับมาก่อนจะยิ้ม “เสร็จแล้ว แมลงภายในร่างกายของเจ้า ถูกข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว!”
เมื่อตู๋ซานชิงตรวจดูภายในร่างกายของตนก็พบว่าพลังปราณกลับมาเช่นเดิมแล้ว “เจ้าแน่ใจนะว่าดูละเอียดแล้ว ไม่ใช่เป็นข้าที่ทำให้มันหายไปเอง?”
“หืม? เจ้าหมายความเช่นไร?” ลู่เฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
ตู๋ซานชิงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ส่วนจางเชียน เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าหนู พวกนั้นเป็นแมลงกัดกินวิญญาณ และตอนนี้มันก็ได้เข้าสู่ร่างกายของเจ้าไปเสียแล้ว!”
ลู่เฉินได้ฟังแล้วร้องอ๋อขึ้นมา แต่ไม่ได้แสดงอาการมากนัก
ทว่าหนานเหยากลับร้องออกมาด้วยความตกใจ “แมลงกัดกินวิญญาณ!”
ตู๋ซานชิงได้แต่ตบบ่าของลู่เฉิน “เจ้าหนู คิดจะสู้กับข้า เจ้ายังเด็กเกินไปนัก!”
จางเชียนอยากจะเก็บข้าวของเหล่านั้นคืนมา
ทว่าลู่เฉินกลับยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า “ของพวกนี้เป็นของข้า”
ลู่เฉินเอ่ยจบก็เก็บของพวกนั้นขึ้นมาทันที
“เฮ้ เจ้าหนู ความตายอยู่ตรงหน้า ยังกล้าทำอะไรเช่นนี้อยู่หรือ?” จางเชียนไม่คิดว่าลู่เฉินจะหยิ่งผยองได้ถึงเพียงนี้ เขาจึงใช้แขนข้างเดียวขว้างลูกไฟออกมาเพื่อหวังจะทำร้ายลู่เฉิน
แต่ขณะที่เริ่มใช้ กลางสุญญะก็พลันปรากฏโซ่ตรวนเส้นหนึ่งขึ้นมา และพุ่งไปพันรอบตัวจางเชียนอย่างรวดเร็ว
จางเชียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “นี่… คืออะไร!”
ตู๋ซานชิงเองก็รู้สึกหวาดกลัว
ส่วนลู่เฉิน เขายิ้มพลางมองไปยังคนทั้งสอง “นี่คือผลของค่ายกลที่ข้าวางไว้!!”
“ค่ายกล?” คนทั้งคู่ต่างสงสัย
หลังจากลู่เฉินอธิบายออกมา พวกเขาจึงรู้ว่าค่ายนี้น่ากลัวเพียงใด จากนั้นจางเชียนจึงรีบหยุดใช้เคล็ดวิชาและทำให้โซ่ตรวนค่อย ๆ หายไป
แต่ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันก็มากพอแล้วที่จะทิ้งรอยแผลให้จางเชียนหวาดกลัว และไม่กล้ากระทำบุ่มบ่ามอีก
ตู๋ซานชิงจ้องมองไปยังลู่เฉิน “เจ้าหนู ข้าจะบอกเจ้าให้ ไข่ของแมลงกัดกินวิญญาณได้เข้าไปสู่ร่างกายของเจ้าแล้ว เพียงแค่ข้าคิดควบคุมมัน มันก็จะกัดกินพลังปราณของเจ้าอย่างบ้าคลั่ง!”
“เจ้ากำลังขู่ข้างั้นหรือ?” ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังตู๋ซานชิง
“ไม่เชื่อหรือ? ได้สิ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าข้าน่ากลัวแค่ไหน!” ตู๋ซานชิงเริ่มควบคุมแมลงพวกนั้น แต่เขากลับพบว่าตนเองไม่สามารถเชื่อมต่อกับแมลงพวกนั้นได้เลย!
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ตู๋ซานชิงเกิดสงสัยขึ้นมา “นี่… เกิดอันใดขึ้น?”
ขณะที่จางเชียนแทบอดใจรอไม่ไหว รีบถามถึงความคืบหน้า “อันใด? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?”
“ดูเหมือนว่าจะขาดการติดต่อไป” ตู๋ซานชิงเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา ถึงขนาดรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
เป็นอย่างที่คาดคิด เมื่อลู่เฉินยื่นมือออกมา ในมือพลันมีไข่แมลงที่กลายเป็นแมลงตัวเล็กบินออกมา
แมลงพวกนี้ราวกับหิ่งห้อยคริสตัลโปร่งแสง และตัวก็เล็กเป็นอย่างมาก
“เป็นไปได้เช่นไร อยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?”ตู๋ซานชิงเบิกตากว้าง
ลู่เฉินยิ้ม “พวกเจ้าลองเดาดูสิ”
พูดจบลู่เฉินก็ทำการเก็บ ‘ค่ารักษา’ พวกนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ตู๋ซานซิงที่เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็หวาดกลัวยิ่ง เขาหันไปตะโกนใส่จางเชียนด้วยความร้อนใจ “ถอยเร็ว!”
จางเชียนรีบเดินไปยังประตูและเปิดออกทันที จากนั้นทั้งสองก็รีบเดินออกไปราวกับคนบ้า
ผู้คนที่ต่อแถวอยู่ด้านนอกต่างพากันแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ส่วนหนานเหยา นางก็ได้กล่าวออกมาด้วยความกระตือรือร้นว่า “ข้าว่าแล้ว ท่านช่างเก่งกาจนัก แม้แต่แมลงกัดกินวิญญาณยังสามารถจับได้!”
“น่าเสียดาย แมลงพวกนี้อ่อนแอเกินไป มิเช่นนั้นถ้าเลี้ยงดูแลเสียหน่อยก็ยังสามารถยัดมันกลับเข้าไปยังร่างกายของพวกเขาได้!” ลู่เฉินยื่นมืออกมาอีกครั้ง พลางมองแมลงตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
หนานเหยาถามเสียงสั่น “ท่านสามารถควบคุมแมลงได้หรือ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หนานเหยาแปลกใจ “แท้จริงแล้วท่านนี่มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ!”
ลู่เฉินไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับตะโกนขึ้นมาว่า “เอาล่ะ คนถัดไป!”
….
ครั้นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า หลังจากทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปแล้ว ลู่เฉินจึงปิดประตูบานใหญ่เพื่อไม่ให้คนนอกสามารถเข้ามาได้ จากนั้นชายหนุ่มจึงนำวัตถุธาตุไม้ที่ได้มามอบให้ฮวาหลิงมู่
เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นข้าวของมากมาย นางก็เผยรอยยิ้มและหัวเราะออกมา ก่อนจะเริ่มดูดซับมันอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของลู่เฉิน เมื่อเขาเดินขึ้นมาถึงยอดเขาและหยิบสิ่งของที่ไม่ใช่วัตถุธาตุไม้ออกมา เขาก็ได้ใช้ ‘เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ’ และดูดซับพลังปราณจากของพวกนี้อย่างบ้าคลั่ง
ยิ่งกลุ่มพลังทั้งเก้าอัดแน่นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จำต้องใช้พลังปราณมากขึ้นเท่านั้น
หนานเหยาที่อยู่อีกด้านหนึ่งพลันลอยออกมา จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้หินจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของลู่เฉิน “แท้จริงแล้วท่านใช้เคล็ดวิชาอันใดกันแน่ เหตุใดจึงสามารถดูดซับพลังปราณได้มากมายขนาดนี้?”
“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ!”
ลู่เฉินกล่าวจบก็ดูดซับพลังต่อไป แต่หนานเหยาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ท่านนี่ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง!”
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม วัตถุต่าง ๆ ที่ได้รับมาเมื่อตอนกลางวันก็หมดลง
แต่พลังทั้งเก้ากลุ่มของลู่เฉินได้ผนึกเป็นเก้าชั้นแล้ว แต่ยังขาดอีกเพียงจุดสุดท้ายเท่านั้น และจุดสุดท้ายนี้ก็ต้องใช้พลังปราณไม่น้อย!
ลู่เฉินที่เห็นเช่นนั้นทำได้เพียงถอนหายใจออกมา “เคล็ดนพชาติหวนคืนนี้ ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง!”
ส่วนหนานเหยา นางกลับเดาะลิ้นออกมาก่อนพูดขึ้นว่า “ถ้าหากคำนวณจากราคาแล้ว นี่อย่างน้อยก็ประมาณหลายร้อยล้านได้”
ไม่ว่าจะวัตถุหรือเงินตรา สำหรับลู่เฉินแล้วก็เปรียบเสมือนของนอกกาย เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายสักนิด แต่ในทางปฏิบัตินั้น ของพวกนี้ก็คือสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดเช่นกัน
ลู่เฉินยืนนิ่งงันอยู่บนหน้าผาสูง เขาทอดสายตามองไปยังบริเวณโดนรอบ
“เฮ้ เจ้าเป็นอันใดไป?”
เมื่อหนานเหยาเห็นลู่เฉินยืนงุนงง จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา แต่ลู่เฉินกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ขณะนั้นเอง บนท้องฟ้าพลันเกิดดาวตกสีม่วงสว่างวาบผ่านไป หนานเหยาจึงร้องบอกอย่างตื่นเต้นว่า “ดูสิ ดาวตก!”
ดาวตก?
ลู่เฉินเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่ตาทั้งสองข้างจะกลายเป็นพร่ามัวเล็กน้อย
“อาจารย์…” ทุกครั้งที่เห็นดาวตก ลู่เฉินมักจะคิดถึงอาจารย์ของตนเสมอ
นางเป็นหญิงสาวที่เก่งกาจคนหนึ่ง
ในมหาทวีปจิ่วโหยว ลู่เฉินได้รับการเลี้ยงดูจากนาง ฝึกฝนจนกลายเป็นที่หนึ่งในมหาทวีป ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะบรรลุเป็นเซียน นางก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ลู่เฉินรู้ดีว่านางคือเซียนผู้หนึ่ง ต่อมาก็อ่อนแอเสียจนจำต้องลงมายังมหาทวีปจิ่วโหยว
ลู่เฉินคิดว่าเมื่อตนกลายเป็นเซียนแล้วจะสามารถไปตามหานางยังแดนเซียนสามสิบหกชั้นได้ แต่เขากลับหานางไม่พบ รู้เพียงแค่ว่านางเคยเป็นจักรพรรดินีอันดับหนึ่งในแดนเซียนสามสิบหกชั้น
ไม่เพียงเท่านั้น ณ แดนเซียนสามสิบหกชั้นก็ยังมีเรื่องเล่าของนางอีกมากมาย
เช่น จักรพรรดินีที่งดงามที่สุด…
จักรพรรดินีที่แข็งแกร่งที่สุด…
แม้กระทั่งหลาย ๆ สถานที่ก็มีรูปปั้นของนางอยู่
แต่ผู้คนที่เข้ามากราบไหว้บูชานั้น ต่างก็พูดกันว่านางเป็นดั่งดวงดาราที่แพรวพราวที่สุดในแดนเซียน
ดังนั้นเมื่อลู่เฉินเห็นดวงดาวเหล่านี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงนางและรู้สึกเศร้าใจ
แต่ลู่เฉินยังไม่หมดหวัง เพราะตอนนี้เขามีเบาะแสที่จะช่วยตามหาหาอาจารย์ของเขาได้ นั่นก็คือนักบุญหญิงแห่งวังเหมันต์สงัดนั่นเอง!
เพราะในปีนั้นอาจารย์ของเขาใช้เวลาอยู่ในวังเหมันต์สงัดช่วงหนึ่ง และได้เคยฝึกฝนที่อยู่นั่น รวมทั้งทิ้งตำราม้วนหนึ่งไว้ในวังเหมันต์สงัด แต่ต่อมาวังเหมันต์สงัดกลับมองนางเป็นศัตรู และยังร่วมมือกับคนกลุ่มหนึ่งตามล่าเอาชีวิตนางทั่วทั้งมหาทวีป
ในฐานะที่ลู่เฉินเป็นศิษย์ของนาง เขาจึงนับวังเหมันต์สงัดเป็นศัตรู ก่อนที่จะมีนางพญาพฤกษาวิญญาณเข้ามาช่วย และทำลายวังเหมันต์สงัดลงได้ด้วยตนเอง!
แต่ลู่เฉินกลับหาตำราม้วนนั้นไม่พบอีกเลย
ทว่าตอนนี้กลับมีข่าวคราวของวังเหมันต์สงัด ลู่เฉินจึงมั่นใจขึ้นมา “ต้องหานักบุญหญิงผู้นั้นให้พบ ถึงจะพบตำรานั่นได้!”
อย่างไรก็ตาม ในปีนั้น นักบุญหญิงผู้นั้นเลือกปิดผนึกจิตวิญญาณของตนเอง ทำให้ลู่เฉินไม่สามารถหาร่องรอยของนางพบได้ แต่ตอนนี้มีโอกาสอีกครั้ง แน่นอนว่าลู่เฉินย่อมคิดคว้ามันไว้!
หนานเหยาที่เห็นน้ำใส ๆ คลออยู่ที่เบ้าตาของชายหนุ่มจึงกล่าวถาม “ท่านร้องไห้หรือ?”
“ร้องไห้? ไม่ใช่หรอก!” ลู่เฉินเผยยิ้มออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะที่หนานเหยาคิดว่าลู่เฉินต้องเป็นผู้ที่มีเรื่องราวบางอย่างเบื้องหลังเป็นแน่ ดังนั้นจึงถามขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าว่านะคุณชายลู่ เจ้าอายุเพียงไม่กี่สิบปี เหตุใดจึงรู้สึกเจ็บปวดราวกับเป็นผู้เฒ่าชราเล่า?”
ลู่เฉินไม่ได้ตอบอะไร และในขณะนั้นเอง ค่ายกลก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ราวกับว่ามีคนพยายามจะเข้ามาที่นี่!
“มีแขกมา!” ลู่เฉินยิ้มและลงจากภูเขาไป
หนานเหยาจึงรีบตามไปทันที “ท่านอย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ!”