ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 72 ได้รับข่าวที่ไม่คาดคิด
บทที่ 72 ได้รับข่าวที่ไม่คาดคิด
ลู่เฉินเพียงยิ้มแต่ไม่พูดอันใด เขายังคงเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ภาพนี้ทำให้หงเหยียนลั่วถึงกับตกตะลึง
แท้จริงแล้วภายในร่างกายของลู่เฉินขณะนี้กำลังถูกไฟกลุ่มหนึ่ง ‘เผาไหม้’
ไฟนี้เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาพลังธาตุไฟ
เพียงแค่ต้องรวบรวมไฟนี้ไว้ที่จุดตันเถียน ก็จะสามารถต่อต้านกับความเย็นที่กัดเซาะร่างกายได้
แต่ขั้นตอนนี้ทำให้สูญเสียพลังปราณเป็นอย่างมาก
ดังนั้นลู่เฉินมักจะหยิบศิลาวิญญาณออกมา จากนั้นไม่นานก็จะโยนออกไป
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร?” เมื่อหงเหยียนลั่วเห็นลู่เฉินทำพฤติกรรมแปลกเช่นนี้จึงเอ่ยถาม
ลู่เฉินมองนางพลางยิ้มออกมา “พลังปราณในร่างกายของข้ามีจำกัด และความเย็นนี้ก็รุนแรงยิ่ง จึงจำเป็นต้องยอมใช้พลังปราณไม่น้อยเพื่อต้านทานมัน”
“ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าก็กลืนกินพลังปราณภายในศิลาพวกนั้น… เร็วเกินไปแล้ว!” หงเหยียนลั่วเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้มตอบ “เช่นนั้น ไม่พูดถึงสิ่งนี้แล้ว รีบไปดูอาการน้องสาวของเจ้ากันเถอะ”
หงเหยียนลั่วขานรับ จนกระทั่งเดินลึกเข้าไปพัก ลู่เฉินจึงได้พบเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง
หญิงสาวผู้นี้รูปร่างหน้าตาเหมือนกับหงเหยียนลั่วราวกับเป็นคนเดียวกัน
เพียงแค่นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ทั้งร่างราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง ไร้การขยับเขยื่อนใด ๆ
“พี่หญิง ท่านนี้คือ?” หญิงสาวผู้นี้แม้จะหลับตา แต่จิตสัมผัสของนางกลับรับรู้ได้ถึงลู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ได้รับผลกระทบใดจากความหนาวเย็นรอบด้าน นางก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ
หลงเหยียนลั่วแนะนำ “เขาก็คือคนที่รักษาบุตรชายของเจ้าเมือง”
“ท่าน เชิญเขามาจริง ๆ หรือ?” หญิงสาวรู้สึกคาดไม่ถึง
หงเหยียนลั่วขานรับ นางมองไปยังลู่เฉินแล้วเอ่ยว่า “ผู้นี้ก็คือน้องสาวของข้า หงเหยียนเสวีย”
เมื่อลู่เฉินพยักหน้าเพียงเล็กน้อย หงเหยียนลั่วจึงถามต่อ “เจ้ามีวิธีรักษาหรือไม่?”
“มี… แต่”
“แต่อันใด?” หงเหยียนลั่วถามอย่างร้อนใจ และแม้แต่หงเหยียนเสวียก็รู้สึกเช่นกัน
“นางได้รับพิษมาเป็นเวลานาน จึงจำเป็นต้องใช้สมุนไพรจำนวนมาก และบางอย่างในนั้นข้าก็ไม่มี!” ลู่เฉินอธิบาย
“สมุนไพรใด ขอเพียงบอกข้ามา ข้าหามาให้ได้แน่นอน!” หงเหยียนลั่วรีบเอ่ย
ลู่เฉินจึงค่อย ๆ อธิบายถึงสมุนไพรที่จำเป็น
จากนั้นหงเหยียนลั่วก็ตอบรับทันที “ได้ เจ้ารอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”
หงเหยียนลั่วเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินออกไป
ส่วนหงเหยียนเสวีย นางพลันถามขึ้นมาอย่างสงสัย “ท่านเกลี้ยกล่อมพี่หญิงของข้าอย่างไร?”
“เกลี้ยกล่อม?”
“ใช่ พี่หญิงของข้าน่ะ ปกติแล้วจะไม่ยอมเชื่อผู้ใด และยิ่งไม่ยอมพาคนแปลกหน้ามาที่นี่เด็ดขาด แต่นางกลับวางใจปล่อยให้ท่านอยู่ที่นี่ได้” หงเหยียนเสวียแปลกใจ
ลู่เฉินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พี่หญิงของเจ้าได้เห็นฝีมือวิชาแพทย์ของข้าแล้ว และข้ายังถอนพิษบางอย่างให้นางอีกด้วย”
“พิษ?”
จากนั้นลู่เฉินจึงเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้นางฟัง
เมื่อหงเหยียนเสวียได้ฟัง นางก็พยักคล้ายเข้าใจ ปากก็พูดพึมพำเสียงเบา “มิน่าเล่า”
“พูดถึงเรื่องของเจ้าเถอะ เหตุใดจึงต้องพิษน้ำค้างแข็งเช่นนี้”
“แม้แต่ท่านก็ยังดูออกหรือ?” หงเหยียนเสวียแปลกใจ
“เรื่องนี้ไม่ยากสำหรับข้า” ลู่เฉินเอ่ยพลางดูดซับพลังปราณจากศิลาวิญญาณ และ ‘เผาไหม้’ ต่อไป เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับผลกระทบจากไอเย็น
หงเหยียนเสวียมีท่าทางหวนคิดอดีตเก่าก่อน จากนั้นริมฝีปากนางก็อ้าขยับ ก่อนที่วาจาจะถูกเผยออกมา
เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่หงเหยียนเสวียและพี่หญิงของนางกำลังฝึกฝนด้วยกันนั้น พวกนางได้บังเอิญไปพบกับคนน่ากลัวคนหนึ่ง และคนคนนี้ก็ทำร้ายนางจนบาดเจ็บสาหัส
ครั้นได้ฟังจนจบ ลู่เฉินก็เพ่งมองไปยังหงเหยียนเสวียครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เขาชื่ออันใด? เป็นใครมากจากไหน รู้หรือไม่?”
“วังเหมันต์สงัด โหย่วหลง!”
“ที่แท้ก็วังเหมันต์สงัด” ลู่เฉินเอ่ยพลางครุ่นคิดบางอย่าง
“ท่านรู้จัก?”
“รู้จัก แต่ว่านานมากแล้ว” คิ้วทั้งสองของลู่เฉินขมวดเข้าหากันแน่น เพราะวังเหมันต์สงัด… เคยถูกเขาทำลายไปแล้วเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน!
หงเหยียนเสวียที่เห็นสีหน้าแปลก ๆ ของลู่เฉินจึงเอ่ยถาม “ท่านกับพวกเขามีเรื่องบาดหมาง?”
“มี และก็เป็นเรื่องใหญ่มากเสียด้วย” เมื่อลู่เฉินนึกถึงการตายของนางพญาพฤกษาวิญญาณ เขาก็พลันหวนนึกถึงวังเหมันต์สงัดไปด้วย
หงเหยียนเสวียยังคงไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านจึงมีเรื่องบาดหมางกับวังเหมันต์สงัดได้?”
ลู่เฉินไม่ได้อธิบาย แต่ถามกลับไปว่า “วังเหมันต์สงัดนี้ ตอนนี้แข็งแกร่งเพียงไหน?”
“เป็นสำนักที่อยู่ภายใต้แดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งจากทั้งสามแดนของพื้นที่โดยรอบนี้!” หงเหยียนเสวียอธิบาย
ลู่เฉินเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “เช่นนั้นเรามาร่วมมือกันดีหรือไม่?”
หงเหยียนเสวียสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวภายใต้รอยยิ้ม และรู้สึกว่าลู่เฉินคงไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณธรรมดาทั่วไปเป็นแน่
แต่ความรู้สึกนี้ผ่านเข้ามาเพียงชั่วครู่ก็หายไป
เมื่อนางเห็นลู่เฉินกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น นางจึงถามต่อ “ตอนนี้ประมุขวังเหมันต์สงัดเป็นผู้ใด?”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่ได้ยินมาว่า ราชาผู้นี้ได้รับสืบทอดมรดกมา!”
“สืบทอดมรดก?” ลู่เฉินสงสัย
“หนึ่งแสนปีก่อน วังเหมันต์สงัดถูกจอมมารลู่ผู้ยิ่งใหญ่ทำลายลง แต่ว่ากันว่าตอนนั้นมีนักบุญหญิงรอดชีวิตมาได้ นางได้ใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามเพื่อปิดผนึกจิตวิญญาณของตัวเอง รอจนกระทั่งหาร่างกายที่เหมาะสมได้ จึงถ่ายทอดจิตวิญญาณไปยังร่างกายนั้น ทำให้นางสามารถฟื้นคืนชีพอีกครั้งได้อย่างสมบูรณ์!” หงเหยียนเสวียค่อย ๆ อธิบาย
ลู่เฉินตกตะลึงไปทันที “นางยังไม่ตาย?”
“ใคร?”
“นักบุญหญิงผู้นั้น”
“เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวลือจากวังเหมันต์สงัด เห็นว่ากันว่าในปีนั้นนักบุญหญิงยังไม่ตาย และจิตวิญญาณก็ได้ถ่ายทอดไปยังร่างของหญิงสาวผู้เก่งกาจคนหนึ่ง ทำให้อายุยังไม่ถึงยี่สิบขวบปี ก็สามารถบรรลุขั้นหลอมแก่นแท้สมบูรณ์พร้อม กลายเป็นหนึ่งในสิบผู้มากความสามารถแห่งแดนทักษิณา!”
ลู่เฉินยิ้มเย็นชา คิดในใจว่า ‘หนึ่งแสนปีก่อนไม่ได้ฆ่าเจ้า ครั้งนี้จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!’
เมื่อเห็นลู่เฉินเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือก หงเหยียนเสวียก็รู้สึกตื่นตระหนก จนกระทั่งหงเหยียนลั่วกลับมาและหยิบสมุนไพรกองหนึ่งมาแล้วเอ่ยว่า “ทั้งหมดอยู่ในนี้”
“อืม เอามาให้ข้า” ลู่เฉินเอ่ยพลางหยิบเข็มออกมา
ทันทีที่เห็นเข็มเงิน หงเหยียนเสวียพลันรู้สึกตระหนก นางกล่าวว่า “พี่หญิง นี่… มันจะได้ผลจริงหรือไม่?”
“วางใจเถอะ ข้าลองแล้ว” หงเหยียนลั่วรับปาก แต่เมื่อหงเหยียนเสวียนึกถึงท่าทีของลู่เฉินก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกตระหนกขึ้นมา “แต่ว่า!”
“เป็นอันใด? มีปัญหาหรือเปล่า?” หงเหยียนลั่วแปลกใจ
“ข้าอยากจะคุยกับท่านก่อน” หงเหยียนเสวียอดไม่ได้จึงพูดขึ้นมา
หงเหยียนลั่วรู้ดีว่าน้องสาวของตนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ดังนั้นนางจึงมองไปทางลู่เฉิน “คุณชายลู่ เกรงว่าต้องรบกวนท่านไปยืนรอด้านหน้าประตูเสียก่อน”
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าคุยกันเถอะ” ลู่เฉินไม่ได้สนใจอันใด เขาเก็บอาการและเดินไปที่ประตู
หงเหยียนลั่วที่เห็นดังนั้นจึงหันกลับมาถามผู้เป็นน้องอย่างแปลกใจ “เกิดอันใดขึ้น?”
“พี่หญิง เมื่อครู่เขาน่ากลัวมาก”
“อันใดนะ?”
หงเหยียนเสวียจึงเล่าเรื่องทั้งหมดเมื่อครู่อีกรอบ ส่วนหงเหยียนลั่วได้ฟังแล้วนางก็พลันรู้สึกตกใจ “เจ้าหมายความว่า เมื่อเขาได้ยินเรื่องนักบุญหญิงผู้นั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปดูน่ากลัวงั้นหรือ?!”
“อืม!”
“หรือว่าชายผู้นี้กับนักบุญหญิงจะมีเรื่องบาดหมางกัน?” หงเหยียนลั่วตั้งข้อสงสัย
หงเหยียนเสวียรู้สึกกังวลใจขึ้นมา “ข้ากลัวว่าหากเขายังไม่อาจละวางโทสะได้เมื่อคิดถึงนักบุญหญิง คงจะทำให้การรักษาผิดพลาดเอาได้”
“วางใจเถอะ มีข้าอยู่ข้าง ๆ หากมีปัญหาใด ข้าจะหยุดมันเอง” หงเหยียนลั่วปลอบ
หงเหยียนเสวียจึงรับคำ “เช่นนั้นก็ได้!”
จากนั้นหงเหยียนลั่วจึงให้ลู่เฉินเข้ามา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเริ่มการรักษาทันที ส่วนหงเหยียนลั่วนั้น นางก็คอยเพ่งมองทุกเข็มของลู่เฉินตาไม่กะพริบ เพราะกลัวว่าเขาจะทำพลาดเอาได้
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงของชายผู้หนึ่งก็ดังออกมาจากร่างของหงเหยียนเสวีย “ใครกำลังทำการรักษาให้เจ้า!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หงเหยียนลั่วและฝาแฝดก็ถึงกับหวาดกลัวขึ้นมา ทั้งคู่ต่างเอ่ยออกมาพร้อมกันว่า “โหย่วหลง!”