ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 65 เถ้าแก่เนี้ยคนนี้ ดุร้ายมาก!
บทที่ 65 เถ้าแก่เนี้ยคนนี้ ดุร้ายมาก!
เมื่อจางเชียนเห็นว่าลู่เฉินไม่กลัวและถึงขนาดกล้ายิ้มออกมา จึงได้เอ่ยถากถางว่า “เจ้าหนู ที่นี่ไม่ใช่ด้านนอก ไม่มีทหารยาม เช่นนั้นเจ้าอย่าหวังว่าจะมีผู้ใดมาช่วยเจ้าได้”
ไม่เพียงเท่านั้น ฉ่ายอวิ๋นเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “คุณชาย ท่านทำใจเสียเถอะ!”
“เจ้าก็ลองลงมือดู!” ลู่เฉินฉีกยิ้มพลางหันไปมองจางเชียน
วาจานี้ทำให้จางเชียนที่ปกติเป็นคนหยิ่งผยองมากอยู่แล้ว ผนวกกับที่เมื่อวานถูกลู่เฉินรังแก ดังนั้นเมื่อโดนยั่วยุเข้าอีกครานี้ มีหรือที่เถ้าแก่ผู้นี้จะสะกดกลั่นโทสะไหว!
ว่าแล้วเขาก็โบกขยับมือขวา ส่งลูกไฟแห่งผลของโทสะออกมาทันที!
“เจ้าหนู ถ้าไม่อยากตายก็จงทำตัวดี ๆ กับข้าหน่อย” จางเชียนกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน
ทว่าลู่เฉินกลับคลี่ยิ้มแล้วเริ่มนับถอยหลัง “สาม”
“สามอะไร?” จางเชียนไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มคิดจะทำอะไร ฉ่ายอวิ๋นเองก็เช่นกัน
ลู่เฉินยังคงนับต่อ “สอง”
“เจ้าหนู อย่ามาหลอกให้ข้ากลัวเสียเลย!” จางเชียนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
ฉ่ายอวิ๋นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านทำเช่นนี้คิดว่าพวกข้าจะกลัวหรือ?”
“หนึ่ง!” สิ้นเสียงของลู่เฉิน หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิงก็ปรากฏตัวออกมา
หญิงสาวผู้นี้ดูมีอายุราวสามสิบปี คิ้วทั้งสองถูกวาดด้วยสีแดงเพลิง ริมฝีปากสีแดงสด ทำให้ดูเหมือน ‘ราชินี’ แห่งหอราตรีหอมนี้
เมื่อฉ่ายอวิ๋นเห็นอีกฝ่าย นางพลันรู้สึกหวาดกลัวจนทำถุงในมือตกลงมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่หญิง!”
จางเชียนถึงกับหน้าซีดเผือดลงทันที “หง… เถ้าแก่หง!”
หงเหยียนลั่ว เถ้าแก่เนี้ยแห่งหอราตรีหอม!
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากละเมิดกฎจะถูกลงโทษเช่นไร?” หงเหยียนลั่วมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา
ฉ่ายอวิ๋นที่เห็นดังนั้นพลันหวาดกลัวจนร้องไห้ออกมา “พี่หญิง ข้า… ข้าทำผิดไปแล้ว!”
“ผิดไปแล้ว?” หงเหยียนลั่วมองนางด้วยสายตาเย็นชา
ฉ่ายอวิ๋นรู้ถึงผลที่จะตามมาจึงรู้สึกกังวล “ข้า…”
“เข้ามาได้!” หงเหยียนลั่วตะโกนเรียกเสียงดัง ก่อนที่หญิงสวมชุดเกราะจะพากันวิ่งเข้ามานำตัวฉ่ายอวิ๋นออกไป
“พี่หญิง…”
แต่ไม่ว่าฉ่ายอวิ๋นจะร้องขอเช่นไร นางก็ยังคงถูกนำตัวออกไปอย่างไม่ไยดี
ส่วนจางเชียน ขณะนี้เขากำลังหวาดกลัวจนหน้าซีดเซียว “หง… เถ้าแก่หง นี่มันเรื่องเข้าใจผิด!”
“เข้าใจผิด?” แววตาของหงเหยียนลั่วเผยความเย็นชา ลูกไฟลูกหนึ่งที่มีความเร็วพุ่งเข้าไปกระแทกร่างของจางเชียนในฉับพลัน ส่งร่างของอีกฝ่ายให้กระเด็นออกไปไกล
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับคิดในใจว่า ‘เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ พลังแข็งแกร่งยิ่งนัก’
ส่วนหนานเหยาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็รู้สึกตกตะลึงไม่น้อย “สวรรค์ เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”
จางเชียนปั้นหน้าไม่ถูก “ข้า…”
หงเหยียนลั่วสะบัดฝ่ามืออีกครั้ง ทำให้แขนข้างหนึ่งของจางเชียนถึงกับหัก
“อ๊ากกก!” จางเชียนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“ครั้งนี้ถือเป็นการเตือน ถ้าหากมีครั้งหน้า ข้าไม่ไว้หน้าเจ้าแน่ ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน!” หงเหยียนลั่วตะโกนลั่น ก่อนจะมีคนเข้ามานำตัวจางเชียนออกไปจากหอราตรีหอมทันที
ขณะนั้นจางเชียนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อถูกหามออกมา เขามองไปยังลู่เฉินด้วยความเคียดแค้น รู้สึกโมโหจนอยากจะฉีกลู่เฉินออกเป็นชิ้น ๆ
ส่วนลู่เฉิน ชายหนุ่มเองก็มองไปยังอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ค่อย ๆ เดินล่ะ”
เมื่อจางเชียนได้ยินเช่นนั้น ไฟโทสะของเขาก็พุ่งทะยานล้ำฟ้าจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา เขาอยากจะเข้าไปซัดหน้าของลู่เฉินซักหมัด ทว่าเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ เถ้าแก่หอสมบัติสวรรค์จึงได้แต่ยอมถอยออกไปแต่โดยดี
หงเหยียนลั่วมองไปยังลู่เฉินที่อยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ที่นี่ถูกจัดวางค่ายกลป้องกัน แต่เหตุใดเสียงจึงยังกระจายออกไปภายนอก?”
“เจ้าสงสัยข้า?”
“ที่นี่นอกจากเจ้าแล้ว คิดว่าคงไม่มีผู้ใดต้องการให้เสียงกระจายออกไปภายนอกอีก!” หงเหยียนลั่วมองลู่เฉินตาไม่กะพริบ
จริงจังขนาดนั้นเชียวหรือ?
แต่ลู่เฉินไม่ได้รู้สึกกลัว เขากลับเผยยิ้มออกมา “ก็แค่ค่ายกลง่าย ๆ ข้าย่อมสามารถทำลายได้อยู่แล้ว!”
“ค่ายกลชนิดนี้มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิด หรือไม่ก็ปรมาจารย์ค่ายกลระดับศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ทว่าพวกเขาก็จำต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่เจ้ากลับ…” หงเหยียนลั่วไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นจึงพบความผิดปกติบางอย่างในทันที
ลู่เฉินไม่กังวลแม้แต่น้อย เขายิ้มพลางจ้องมองไปยังนาง “เจ้าจะคิดว่าข้าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งก็ได้”
ทว่าหงเหยียนลั่วกลับส่ายหัว “จะพูดว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือ สู้พูดว่าเจ้าใช้ศาสตราวิญญาณบางอย่างน่าจะดีกว่า”
“ศาสตราวิญญาณ?” ลู่เฉินนึกขำ ทว่าหงเหยียนลั่วก็ยังคงพูดต่อ “ใช่ มีเพียงแค่ใช้ศาสตราวิญญาณจึงจะสามารถทำลายได้ มิเช่นนั้นเพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณ ย่อมไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้!”
“ไม่ว่าจะเป็นศาสตราวิญญาณก็ดี หรือว่าวิชาของข้าเองก็ดี แต่ว่าทั้งหมดนี้มันไม่สำคัญ”
“หมายความเช่นไร?”
“จุดประสงค์ของข้าก็เพื่อจะได้พบเจ้า”
หงเหยียนลั่วมองลู่เฉินด้วยสายตาสงสัย “พบข้า?”
“ใช่!”
“เพราะเหตุใด?” นางมองลู่เฉินด้วยความไม่เข้าใจ รู้สึกว่าลู่เฉินไม่ได้มาดี แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มให้นาง “ข้าอยากได้หอนางโลมของพวกเจ้า แล้วเป็นเถ้าแก่ของพวกเจ้า!”
ครั้นหงเหยียนลั่วได้ฟังเช่นนั้น จากใบหน้าตึงเครียดก็แปรเปลี่ยนเป็นเผยรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนี้… แฝงไปด้วยการเสียดสี “หนุ่มน้อย ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้า แต่เจ้ามองดูตัวเองหรือยังว่าตนเองอยู่ในขั้นบ่มเพาะใด?!”
“สิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนบ่มเพาะด้วยหรือ?”
“หากแม้แต่การฝึกฝนบ่มเพาะยังเทียบไม่ได้กับข้า เจ้าคิดว่ามีวิธีที่จะทำให้ข้ายอมรับหรือ?” หงเหยียนลั่วรู้สึกว่าลู่เฉินดูโง่เขลานัก
ลู่เฉินอยากพูดอะไรบางอย่าง… แต่หงเหยียนลั่วกลับหันไปตะโกนเรียกคนด้านนอก “เข้ามา! ส่งคุณชายผู้นี้ออกไป”
อึดใจถัดมา ผู้คุ้มกันหญิงกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา
ลู่เฉินลุกขึ้นยืนพลางยิ้ม “ได้ ข้ายอมไปก็ได้ แต่ถ้าหากเถ้าแก่หงมีความคิดเห็นใด สามารถไปพบข้าได้ที่คฤหาสน์ใกล้ ๆ กับภูเขานี้!”
ลู่เฉินกล่าวจบก็ฉีกยิ้มก่อนจะเดินออกไป
หงเหยียนลั่วพึมพำในใจ “เจ้าหนุ่มผู้นี้สติไม่ดีจริง ๆ!”
เมื่อส่งคนออกไปแล้ว หงเหยียนลั่วก็พลันเดินเข้าไปในห้องใต้หลังคาอีกห้อง
เมื่อเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดก็คงจะสัมผัสได้อย่างง่ายดายว่าอากาศภายในนี้ค่อนข้างเย็น
และเมื่อหงเหยียนลั่วอยู่ภายในนั้นนานเท่าใด ผมและใบหน้า รวมทั้งรอบกายของนางต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง
“พี่หญิง เกิดอันใดขึ้น?” ด้านในที่ลึกเข้าไปอีกนั้นมีน้ำเสียงหนึ่งซึ่งดูอ่อนแรง มันเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ก็แค่คนหนุ่มที่พูดเพ้อเจ้อคนหนึ่งเท่านั้น”
“เช่นไรหรือ?”
หงเหยียนลั่วครุ่นคิดก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
“พี่หญิงจะบอกว่า ชายหนุ่มนั่นรักษาบุตรชายของเจ้าเมืองจนหายดีแล้ว?” หญิงสาวที่อยู่ในมุมมืดรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“อืม ก็ใช่”
“เช่นนั้น ท่านสามารถไปเชิญเขามาพบข้าได้หรือไม่?”
หงเหยียนลั่วตกใจ “เจ้าต้องการให้เขามาพบ?”
“นับตั้งแต่สงครามครั้งที่แล้ว พลังภายในของข้าก็ไม่ค่อยมั่นคง ทำให้ตอนนี้ข้าต้องอยู่ในที่ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นเท่านั้น ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้” หญิงสาวที่อยู่ในมุมมืดกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้
หงเหยียนลั่วมีสีหน้าเปลี่ยนไป “แต่เขาอยู่แค่ขั้นกลั่นลมปราณ”
“ท่านลองคิดดู เจ้าเมืองที่ขี้งกผู้นั้นถึงขนาดยอมมอบคฤหาสน์ที่ตัวเองรักมากที่สุดให้ ท่านคิดว่าเขาจะธรรมดางั้นหรือ?”
ครั้นหงเหยียนลั่วได้ฟังเช่นนั้นแล้วคิ้วทั้งสองก็ขมวดเข้าหากัน “ข้าจะลองสืบดูสักหน่อย”
“ลองสืบดู?”
“ใช่ ลองดูว่าเขามีฝีมือจริงหรือไม่!” เมื่อหงเหยียนลั่วเอ่ยจบ นางก็เตรียมจะหมุนตัวเดินออกไป แต่หญิงสาวคนนั้นกลับเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “พี่หญิง ท่านอย่าโหดร้ายกับเขานัก!”
ทว่าหงเหยียนลั่วกลับรีบออกไปโดยไม่ตอบคำใด
…
ด้านนอกของหอราตรีหอม เรื่องที่จางเชียนโดนทำร้ายและถูกอุ้มออกมาได้กลายเป็นข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมือง ทำให้ทุกคนต่างก็สงสัยว่าเกิดเหตุใดขึ้น
ส่วนลู่เฉินนั้นกลับฤหาสน์ไปพร้อมรอยยิ้มแล้ว
หนานเหยาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “บอกมา เหตุใดท่านถึงอยากได้หอราตรีหอม?”
“อยากได้ก็คืออยากได้ ไม่มีเหตุผลอื่นใด” ลู่เฉินไม่ได้อธิบาย ในขณะที่หนานเหยารู้สึกแปลก ๆ และคิดว่าลู่เฉินไม่อาจทำสำเร็จได้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “แต่เถ้าแก่เนี้ยดูเหมือนจะไม่ยินยอม!”
“วางใจเถอะ เพียงไม่นาน นางจะต้องรีบมาหาข้า!”
“เพราะอะไร?” หนานเหยาได้แต่สงสัยว่าลู่เฉินไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน