ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 64 การแสดงครั้งนี้ ข้าจะแสดงกับพวกเจ้า!
บทที่ 64 การแสดงครั้งนี้ ข้าจะแสดงกับพวกเจ้า!
ลู่เฉินมองซ้ายขวา คอยสังเกตทุกความเคลื่อนไหวภายในหอราตรีหอมแห่งนี้
เมื่อมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พอจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากรอบข้างบ้างแล้ว
นั่นก็คือหอนางโลมนี้มีเจ้าของเป็นฝาแฝดหญิงคู่หนึ่ง สำหรับความเป็นมาของทั้งคู่นั้นไม่มีใครทราบได้ เพียงแค่รู้ว่าว่าหอราตรีหอมนี้มีความโด่งดังมาก และมันก็ได้ดึงดูดบรรดาหญิงงามเข้ามาอย่างมากมาย
ไม่เพียงเท่านี้ หญิงงามเหล่านี้ก็เพียงขายแค่ศิลปะความบันเทิงเท่านั้น จึงนับได้ว่าพวกนางเป็นคณิกาชั้นสูง
และเพื่อเป็นการเพิ่มรายรับ คณิกาชั้นสูงทีนี่จึงสามารถขับร้อง เต้นรำ และยังพูดคุยเป็นเพื่อนได้ แต่สิ่งที่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ไม่สามารถทำได้
ดังนั้นคณิกาชั้นสูงที่นี่จึงรายได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
แต่ถ้าหากผู้ใดมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ หรือว่ามีคณิกาชั้นสูงทำผิดกฎ พวกเขาและพวกนางก็จะถูกฝาแฝดหญิงลงโทษ!
“คิดไม่ถึงว่าหอรอตรีหอมแห่งนี้จะแตกต่างจากที่อื่นถึงเพียงนี้” ลู่เฉินหัวเราะขึ้นมาด้วยความสนใจ
หนานเหยาไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเห็นลู่เฉินยิ้มจึงพูดออกมาว่า “ท่านนี่สายตาไม่ถึงจริง ๆ!”
“สายตา?”
“ท่านดูสิ หญิงพวกนี้ ไม่ว่าจะขับร้องหรือเต้นรำต่างก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าเลย และก็ยังสวยไม่เท่าข้าด้วย เหตุใดท่านจึงมองพวกนางแล้วยิ้มกันล่ะ?” หนานเหยาเอ่ยอย่างดูถูก
“ข้าว่าเจ้าเป็นถึงองค์หญิงที่สง่างาม เหตุใดจึงชอบเปรียบเทียบกับผู้อื่นนัก?”
“ข้าไม่มีงานอดิเรกอะไร! ก็แค่ชอบเต้นรำ ขับร้อง แต่ท่านกลับไม่ดูข้าแล้วไปดูพวกนางแทน …เห็นได้ชัดเลยว่าฝีมือข้าอาจจะยังไม่ดีพอ!”
ลู่เฉินยิ้มเจื่อน “ชีวิตที่แล้วของเจ้าก็เป็นเช่นนี้งั้นหรือ?”
“เป็นเช่นไร?”
“ก็วัน ๆ เอาแต่ขับร้องและเต้นรำ?”
“ก็แค่ชอบ”
ลู่เฉินกำลังจะพูดบางอย่าง แต่จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาและยิ้มให้ลู่เฉิน “คุณชาย ข้าขอดื่มกับท่านได้หรือไม่?”
บรรดาคุณชายที่นั่งอยู่รอบ ๆ ต่างก็รีบแสดงความยินดีกับลู่เฉินทันที
บางคนถึงขนาดพูดกับลู่เฉินว่า “ท่านนับว่าโชคดียิ่งนัก”
“นั่นสิ การได้รับการเชื้อเชิญจากแม่นางฉ่ายอวิ๋นเช่นนี้ หากไม่นับว่าโชคดีแล้วจะเรียกว่าอันใด?”
ฉ่ายอวิ๋น?
ลู่เฉินไม่รู้จัก ‘ฉ่ายอวิ๋น’ ผู้นี้ แต่ว่าแม่นางผู้นี้คงเป็นหนึ่งในคณิกาของที่นี่
เพียงแค่ลู่เฉินไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องเจาะจงว่าเป็นเขา?
ดังนั้นลู่เฉินจึงยิ้มออกมาพลางเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงเลือกข้า?”
“ได้ยินมาว่าวันนี้มีผู้มากความสามารถที่สามารถทำให้คุณชายน้อยในจวนเจ้าเมืองฟื้นขึ้นมาได้ และผู้มีความสามารถที่ว่าก็คือท่าน… ใช่หรือไม่?!” ฉ่ายอวิ๋นยิ้ม
ลู่เฉินที่ได้ยินดังนั้นจึงมองไปที่นางด้วยรอยยิ้ม “ไม่ถึงกับเก่งกาจ ข้าเพียงแค่บังเอิญได้พบและบังเอิญสามารถรักษาอาการนี้ได้เท่านั้น”
“ข้าเองก็รู้สึกเจ็บป่วยนิดหน่อย ไม่ทราบว่าคุณชายพอจะสามารถลองตรวจให้ข้าได้หรือไม่?” ฉ่ายอวิ๋นยื่นมือเรียวบางออกมา ทำให้บรรดาคุณชายที่อยู่ด้านข้างพากันน้ำลายไหลไปตาม ๆ กัน
บางคนถึงกับเบิกตากว้าง
แต่คนพวกนี้ก็ทำได้เพียงแค่เบิกตามอง ไม่กล้าไปสัมผัสหญิงงามผู้นี้
ฉ่ายอวิ๋นยิ้มหวานให้กับลู่เฉิน “รบกวนคุณชายแล้ว”
หนานเหยาที่อยู่อีกด้านหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอย่างอดทนไม่ไหว “เห็นหรือยัง? นางกำลังสนใจท่าน! ”
ลู่เฉินไม่ใช่คนโง่ โดยเฉพาะรอยยิ้มของอีกฝ่ายกับท่าทางนั้น สำหรับลู่เฉินที่อยู่มานานแล้ว การกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่ายถือเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย
แต่จุดประสงค์ที่ลู่เฉินมาที่นี่ก็เพื่อจะพบเถ้าแก่เนี้ยทั้งสอง และทำให้พวกนางยอมจำนนต่อเขา
เช่นนั้น… ลู่เฉินจึงวางแผนที่จะเริ่มลงมือจากฉ่ายอวิ๋นก่อน!
ครั้นคิดได้ดังนั้น ลู่เฉินพลันลุกขึ้นยืนพลางฉีกยิ้ม “หาที่สงบสักที่แล้วลองตรวจดูเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย!”
“เชิญไปที่ห้องพักของข้า” ฉ่ายอวิ๋นคิดว่าลู่เฉินติดกับดักแล้วจึงรีบพูดอย่างสุภาพทันที
ลู่เฉินพยักหน้าและตามฉ่ายอวิ๋นไป ทิ้งให้บรรดาคุณชายที่อยู่รอบข้างเอี้ยวมองตามจนคอแทบหัก
ส่วนหนานเหยาที่เห็นท่าทีเช่นนี้ก็พลันร้อนใจขึ้นมา “ข้าคิดแล้วว่าท่านต้องเป็นเช่นนี้!”
ทว่าลู่เฉินกลับตอบไปเพียงว่า “ข้ามีเรื่องต้องจัดการ เจ้าอย่าสร้างความวุ่นวาย!”
“มีเรื่อง? เรื่องอะไร? คงไม่ใช่เป็นเรื่องลับ ๆ ล่อ ๆ ใต้ร่มผ้าใช่หรือไม่?!” หนานเหยาอุทานออกมา
ทว่าลู่เฉินคร้านจะอธิบายแก่นางแล้ว
หนานเหยาที่เห็นดังนั้นจึงกระซิบเสียงเบา “ข้าก็ว่าทำไมท่านจึงไม่สนใจข้า ที่แท้เพราะข้าเป็นเพียงภูตผี ดังนั้นท่านจึงไม่รู้สึกอะไรใช่หรือไม่?”
ลู่เฉินนึกขำในใจก่อนจะตอบไปว่า “ข้าคิดว่าเจ้าควรสงบจิตสงบใจ และวางตัวให้เป็นผู้เป็นคนตามปกติสักหน่อยได้หรือไม่?”
“ข้าเป็นผี หาใช่คนเป็นไม่!”
ลู่เฉินที่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดความอดทน รู้สึกเสียใจที่พาอีกฝ่ายมาด้วย
แต่หนานเหยาคล้ายจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ นางทำทีใจกว้างขึ้นมา “ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่บอกผู้อื่นแน่!”
“ถ้าหากเจ้ายังพูดมากกว่านี้อยู่ละก็ เช่นนั้นพอกลับไป… ก็จงคอยดูเสียเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไร!”
“ข้า ข้าเพียงแค่ดู ไม่พูดแล้ว!” หนานเหยารีบพยักหน้าเชื่อฟังทันที หลังจากนั้นนางก็ปิดปากเงียบสนิทไม่พูดไม่จา จนกระทั่งฉ่ายอวิ๋นที่อยู่ด้านหน้าเดินนำชายหนุ่มมายังห้องใต้หลังคา
ภายในห้องใต้หลังคา ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นดอกไม้
กลิ่นดอกไม้พวกนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกมึนงง
ถ้าหากเป็นผู้ฝึกตนที่มีขั้นพลังต่ำต้อย หรือเป็นผู้ที่จิตเข้มแข็งไม่พอ พวกเขาจะต้องลุ่มหลงเป็นแน่ แต่ลู่เฉินนั้นกลับสงบนิ่งมาก
ทว่าฉ่ายอวิ๋นไม่รู้ นางยังคงมองและยิ้มให้ลู่เฉิน “นอนเถอะ… พักผ่อนให้สบาย…”
หนานเหยาที่เห็นดังนั้นรู้สึกร้อนใจขึ้นมา นางรีบกล่าวเตือนทันที “หญิงสาวผู้นี้… ต้องการสะกดจิตท่าน!”
“เจ้าช่วยข้าไม่ได้หรอก แต่เจ้าคิดว่านางมีความสามารถถึงเพียงนั้นจริหรือ?”
“ก็จริง เพราะท่านเองก็แปลกไม่ใช้น้อย” หนานเหยาคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่ฉ่ายอวิ๋นไม่รู้เรื่องนี้ และนางยังคงยิ้มร่าต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น มือทั้งสองข้างของฉ่ายอวิ๋นก็ปรากฏแสงสีฟ้าออกมา และปกคลุมร่างของลู่เฉินเอาไว้
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงแสร้งกะพริบตาราวกับว่ากำลังง่วงนอน
ขณะเดียวกันยังแสร้งทำเป็นไร้เรี่ยวแรง “เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใด ต้อง… ต้องทำเช่นนี้กับข้า!”
ขณะนั้นเอง จางเชียนก็เดินออกมาจากอีกด้านหนึ่ง เขาฉีกยิ้มและมองมาที่ลู่เฉิน “เจ้าหนู หลับให้สบายล่ะ!”
เมื่อลู่เฉินเห็นจางเชียน เขาจึงพอจะเข้าใจบางอย่าง
ส่วนฉ่ายอวิ๋น นางหันไปยิ้มให้กับจางเชียนแล้วกล่าวว่า “เถ้าแก่จาง เรื่องของท่าน ข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว แต่ท่านน่าจะต้องจ่ายเพิ่ม”
“ยังต้องจ่ายเพิ่มอีก?” เห็นได้ชัดว่าจางเชียนขี้งกไม่น้อย ทว่ามีหรือที่ฉ่ายอวิ๋นจะยอม นางพูดต่ออีกว่า “การที่ข้าทำเรื่องแบบนี้ที่หอราตรีหอมนั้นมันถือเป็นเรื่องผิดกฎ ถ้าหากเถ้าแก่เนี้ยทั้งสองรู้เข้า ข้าต้องเกิดปัญหาใหญ่เป็นแน่”
“วางใจเถอะ เรื่องนี้เจ้ารู้ข้ารู้ ไม่มีผู้อื่นรู้”
“เช่นนั้นก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม”
จางเชียนจึงทำได้เพียงแค่หยิบถุงสุญญะญาณออกมา “รับไป ศิลาวิญญาณระดับต่ำจำนวนห้าล้าน”
ฉ่ายอวิ๋นรีบคว้ามาทันที “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ตอนนี้เจ้าสามารถส่งเขามาให้ข้าแล้วหรือยัง?”
“ย่อมได้” ฉ่ายอวิ๋นฉีกยิ้มก่อนจะหันไปนั่งนับศิลาวิญญาณ และเมื่อจางเชียนเห็นท่าทางอ่อนแรงของลู่เฉิน เขาจึงท้าทายออกมา “เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ?”
“หอราตรีหอมแห่งนี้มีกฎเกณฑ์อยู่ พวกเจ้าไม่กลัวจะถูกลงโทษหรือไร?” ลู่เฉินถามกลับ
“รอบ ๆ บริเวณนี้ถูกจัดวางค่ายกลป้องกันเสียงและปราณไม่ให้เล็ดรอดออกไป ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็จะไม่มีทางรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดภายในนี้”
“จริงหรือ?” ลู่เฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย
“จริง!”
ลู่เฉินจึงตั้งใจกระตุ้นต่อ “เช่นนั้นพวกเจ้าคงดูถูกเถ้าแก่เนี้ยที่นี่เสียแล้ว”
“ข้าจะบอกเจ้าให้ พวกนางไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่!” จางเชียนพูดอย่างมั่นใจ แต่ลู่เฉินกลับกล่าวเตือน “ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าหยุดทุกอย่างทันที ไม่เช่นนั้น เจ้าจะต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา!”
“จะต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา? เจ้าคิดว่าลำพังเจ้าตอนนี้ยังสามารถทำอะไรได้หรือ?” จางเชียนยิ้มเย็นชา ส่วนฉ่ายอวิ๋นหัวเราะพลางเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านต้องผลของยาสลายปราณวิญญาณแล้ว ดังนั้นอย่าพยายามใช้พลังปราณของท่านเลย มันเป็นไปไม่ได้!”
ทว่าลู่เฉินกลับแสยะยิ้ม และไม่ได้รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าหรือปัญหาในการใช้พลังปราณเลยสักนิด!