ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 63 องค์หญิงผู้นี้ ช่างน่ารำคาญเสียจริง!
บทที่ 63 องค์หญิงผู้นี้ ช่างน่ารำคาญเสียจริง!
สตรีชุดแดงผมยาวกับบรรยากาศกลางดึกเช่นนี้ดูแปลกพิลึก
ถ้าหากตอนนี้มีคนอื่นพบเห็นเข้า พวกเขาอาจจะหวาดกลัวจนกลิ้งลงภูเขาไปเลยก็เป็นได้
“บอกว่าไม่ให้ออกมาไม่ใช่หรือ?” ลู่เฉินถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นนางปรากฏตัวออกมา
ทว่าหนานเหยากลับยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณชายลู่”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะแอบฟังพวกเราคุยกัน”
“ไม่ได้แอบฟัง ข้าแค่บังเอิญได้ยิน” หนานเหยาเอ่ยพลางยิ้มออกมา
ลู่เฉินที่เห็นรอยยิ้มของนางจึงถามออกมาว่า “พูดมา จู่ ๆ โผล่ออกมาแบบนี้ มีเหตุอันใด?!”
“ข้างในนั้นมันทั้งมืดและน่าเบื่อ ข้าอยากออกมาสูดอากาศ” หนานเหยาสูดหายใจเข้าและมองไปรอบ ๆ
ลู่เฉินที่ได้ยินก็ยิ้มเจื่อน “ยิ่งเจ้าออกมานานเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งอ่อนแอลงเร็วเท่านั้น ดังนั้นเจ้าควรคิดให้ดี!”
“ท่านบอกว่าจะช่วยข้าไม่ใช่หรือ?” หนานเหยาพูดด้วยสีหน้ามีความหวัง
“แต่ไม่ได้บอกว่าตอนนี้ การช่วยเจ้าจำเป็นต้องใช้อะไรหลายอย่าง ข้าต้องเตรียมตัว”
หนานเหยายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ท่านดูสิ ในเมื่อท่านต้องช่วยข้า ทว่าข้าไม่มีอันใดมาตอบแทนท่าน เช่นนั้นขอให้ข้าร้องเพลงและเต้นรำให้ดูเถอะ!”
หนานเหยาเอ่ยจบก็เริ่มเต้นร่ายรำ
กล่าวได้ว่าองค์หญิงนางนี้เต้นได้ชำนาญไม่น้อย จนลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “มิน่าเล่า ว่านเหยียนถึงได้หลงใหลเจ้า”
แต่แม้จะชวนเพลิดเพลินสบายตา ทว่าลู่เฉินยังมีเรื่องอื่นต้องทำ เขาจึงไม่มีเวลามานั่งชมต่อ
ลู่เฉินหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมาและเริ่มเดินลึกเข้าไปภายในภูเขา ขณะเดียวกันก็วางของบางอย่างลงกับพื้น
จากนั้นหนานเหยาก็ตามลู่เฉินไป
แต่อื่นคนในคฤหาสน์นี้ไม่มีใครรู้ว่าหนานเหยามีตัวตนอยู่ ดังนั้นแม้ว่าหนานเหยาจะติดตามลู่เฉินไป คนพวกนั้นก็จะเห็นเพียงลู่เฉินคนเดียวเท่านั้น
“เอ๋ ท่านกำลังจะทำอะไรกันแน่?” หนานเหยาเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย เมื่อเห็นลู่เฉินกำลังทำบางอย่างกับคฤหาสน์และบริเวณเนินเขา
“จัดวางค่ายกล!”
“ท่านเข้าใจศาสตร์ค่ายกล?”
“มีปัญหาหรือ?”
“ท่านอยู่เพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณชัด ๆ แต่ท่านกลับสามารถมองเห็นข้า ไหนจะจัดวางค่ายกล และที่สำคัญคือ อักขระยันต์แปลก ๆ พวกนั้นอีก …นี่มันใช่สิ่งที่ตัวตนขั้นกลั่นลมปราณจะทำได้หรือ?!”
“เรื่องที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกมาก!” เมื่อลู่เฉินพูดจบ เขาก็หันไปจัดการบางอย่างต่อ
ส่วนหนานเหยา นางก็เพียงแอบดูอย่างเงียบ ๆ ต่อไป
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ฟ้าสว่างแล้ว หนานเหยาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป จึงรีบกลับเข้าไปยังสร้อยคอและไม่กล้าออกมาอีก
“สุดท้ายก็สงบเสียที” ลู่เฉินยิ้มเจื่อน
จากนั้นเขาก็จัดวางค่ายกลที่เหลือต่อไปจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์
สุดท้ายลู่เฉินก็เรียกเจี่ยลัวมาหาและสั่งให้เขาไปยืน ณ จุดหนึ่งบริเวณตีนเขา ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งออกมา “นอกจากข้า ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้ภายในภูเขานี้เด็ดขาด!”
“ขอรับ!” เจี่ยลัวขานรับ
“ถ้าหากมีผู้ใดมาใกล้ เจ้าก็จงส่งสัญญาณผ่านค่ายกล เพียงเท่านี้ข้าก็จะรู้ได้” ลู่เฉินกำชับ
เจี่ยลัวขานรับอีกครั้ง
จากนั้นลู่เฉินจึงเดินกลับเข้าไปยังคฤหาสน์
ขณะนั้น พวกผู้หญิงกำลังช่วยกันทำความสะอาดจัดแจงที่ทางภายใน
ไม่เพียงเท่านั้น ตอนเช้าพวกนางยังซื้อข้าวของเข้ามามากมาย และทำอาหารเช้ามื้อใหญ่อีกด้วย
หลังจากลู่เฉินทานอย่างลวก ๆ ไปไม่กี่คำ เขาก็หันไปพูดกับฮวาหลิงมู่ “ข้าต้องออกเดินทาง และหากพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาต ห้ามออกจากที่นี่เป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่?”
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับ
ทว่าก่อนออกไป ลู่เฉินยังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจฮวาหลิงมู่นัก “ตั้งใจฝึกวิชาคุมจิตวิญญาณ ถ้าเจ้าไปถึงขั้นสอง ข้ามีของล้ำค่าจะมอบให้!”
“จริงหรือ?” ฮวาหลิงมู่รู้สึกมีแรงจูงใจขึ้นมา
“อืม!” หลังลู่เฉินตอบรับ ฮวาหลิงมู่ก็รีบกลับไปฝึกวิชาทันที
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นพลันยิ้มมุมปากและออกจากคฤหาสน์ไป แต่ก่อนจะออกไปนั้น ชายหนุ่มก็ได้หยิบกระบี่ไม้ซึ่งเสียบอยู่ด้านหลังออกมาแล้วปักไว้ในสวน ก่อนจะเพ่งมองไปยังมันแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่มีค่ายกลปกคลุม คนนอกไม่สามารถเข้ามาได้ ส่วนเจ้าก็อยู่ที่นี่ คอยดูพวกนาง อย่าให้พวกนางออกไปด้านนอก!”
“ขอรับ!” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราขานรับ
ลู่เฉินที่รู้สึกวางใจแล้วจึงออกเดินทางทันที
จนกระทั่งเดินออกมาได้อีกระยะ จู่ ๆ เสียงของหนานเหยาก็ดังขึ้นมา “กระบี่นั่นมีที่มาอย่างไร? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ามันดูไม่ธรรมดาเลย”
“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ”
เมื่อหนานเหยาเห็นว่าลู่เฉินไม่คิดจะอธิบาย นางจึงถามต่อ “แล้วสาวน้อยคนนั้นเล่า นางคือใครกัน เหตุใดท่านจึงดูแลนางเป็นอย่างดีถึงเพียงนั้น?”
“เจ้าน่ะ… ยุ่งให้มันน้อย ๆ หน่อย!”
ยิ่งลู่เฉินทำเช่นนี้ หนานเหยาก็ยิ่งรู้สึกสงสัย “หรือว่า นางเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดของท่าน?”
“สมองของเจ้ากำลังคิดอะไร?” ลู่เฉินไม่เข้าใจองค์หญิงสง่างามผู้นี้จริง ๆ ว่าเหตุใดจึงช่างขี้สงสัยและพูดไม่คิดอยู่บ่อย ๆ ถึงขนาดที่ว่าเขาชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่านางเป็นองค์หญิงจริงหรือไม่?
หนานเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ช่วยไม่ได้ ที่นี่มันช่างมืดมิดเสียเหลือเกิน ข้าเบื่อ ๆ เลยอยากหาคนคุยด้วย”
ลู่เฉินเลือกที่จะเมินคำตอบนาง
ส่วนหนานเหยานั้นนางไม่ได้พูดอันใดต่อ แต่เมื่อเห็นว่าลู่เดินเดินทางมาที่หน้าหอนางโลม นางจึงถามออกมาด้วยความแปลกใจว่า “ท่านคิดจะมาสถานที่เช่นนี้จริงหรือ?”
หอนางโลมคือที่ที่หญิงสาวขายศิลปะและเรือนราง ดังนั้นมันจึงมีคณิกาและหญิงงามมากมาย
ผู้ชายบางคนที่เปลี่ยวเหงาหรือเบื่อหน่ายก็มักจะมาสถานที่แห่งนี้เพื่อฆ่าเวลา บางครั้งก็มาเพื่อชื่นชมหญิงงาม และหากพวกเขามีฐานะหน่อยก็จะสามารถซื้อตัวพวกนางและพาออกไปได้
หนานเหยาคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะมาที่แบบนี้
ทว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ลู่เฉินมาที่นี่ก็เพราะที่แห่งนี้สามารถสืบข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย!
แต่ลู่เฉินไม่ได้อธิบายสิ่งใดกับหนานเหยาเขาเดินตรงเข้าไปภายใน ‘หอราตรีหอม’ ทันที
บริเวณทางเข้ามีผู้หญิงเลอโฉมจำนวนไม่น้อยมารอต้อนรับ
บางคนถึงกับถามขึ้นมาว่า “คุณชาย ท่านกำลังมองหาหญิงงามนางใดหรือ?”
“คุณชาย ท่านมีนัดหมายแล้วหรือยัง?”
“คุณชาย ท่านเพิ่งมาครั้งแรกใช่หรือไม่?”
ทว่าลู่เฉินไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่นำเอาศิลาวิญญาณออกมาให้พวกนาง “ข้าเพียงต้องการเข้ามาเที่ยวชมเฉย ๆ พวกเจ้าไม่ต้องมารบกวนข้า!”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณชาย!” เหล่าหญิงงามต่างก็พากันดีใจ พวกนางพากันรีบหยิบศิลาวิญญาณและออกไปทันที
เมื่อลู่เฉินเดินมาถึงห้องโถง เขาก็หาเก้าอี้ในบริเวณนั้นมานั่งพัก
ที่นี่ยังมีผู้ชายอีกหลายคน
ผู้ชายพวกนี้บ้างก็ดื่มสุรา คุยเล่น บ้างก็ชี้ไม้ชี้มือไปยังหญิงงามที่ร่ายรำอยู่บนเวที
หนานเหยาที่เห็นดังนั้นจึงพูดออกมาว่า “พวกนางขับร้องและเต้นรำสู้ข้าไม่ได้สักคน!”
ลู่เฉินเพียงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“ถ้าท่านมีเวลาไม่มาก เรากลับกับเถอะ ข้าจะเต้นและขับร้องให้ท่านฟังเอง”
“ไม่น่าสนใจ!” ลู่เฉินตอบกลับมาสั้น ๆ ทำให้หนานเหยาร้อนใจ “แต่ท่านดูพวกนางแล้วน่าสนใจหรือ?”
“ข้ามีงานต้องทำ อย่ารบกวน” ลู่เฉินตอบกลับ แต่หนานเหยากลับไม่เชื่อ ยังคงจ้องมองตาทั้งสองข้างของลู่เฉินว่าเขามองไปยังหญิงงามคนไหน
…
ขณะนั้นเอง จางเชียนกำลังวุ่นวายอยู่ภายในหอสมบัติสวรรค์ เขาตีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ จนกระทั่งเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งวิ่งเข้ามา และพูดด้วยความร้อนรนว่า “เถ้าแก่ เขา เขาออกมาแล้ว!”
“โอ้? ออกมาแล้วแน่หรือ?” จางเชียนเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้นเขาไปที่ใด?” จางเชียนถามอย่างร้อนใจ เสี่ยวเอ้อคนดังกล่าวจึงรีบรายงาน “ไปหอราตรีหอมทางทิศเหนือ!”
“หอราตรีหอม? เด็กนั่นไปหาหญิงงามงั้นรึ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้จางเชียนจึงยิ้มออกมา
“ใช่!”
“เช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว!” จางเชียนคลี่ยิ้ม จากนั้นก็รีบออกจากหอสมบัติสวรรค์ทันที
ส่วนเสี่ยวเอ้อเหล่านั้นต่างหันมาสบตากัน ในใจพลันสงสัยว่าจางเชียนต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่?