ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 52 โอกาสที่สวรรค์มอบให้ หากไม่จัดการพวกเขา อาจจะต้องเสียใจ!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 52 โอกาสที่สวรรค์มอบให้ หากไม่จัดการพวกเขา อาจจะต้องเสียใจ!
บทที่ 52 โอกาสที่สวรรค์มอบให้ หากไม่จัดการพวกเขา อาจจะต้องเสียใจ!
โจวกังยิ้มออกมา “ข้าบอกเจ้าแล้ว ค่ายกลหลากชนนี้เหมาะกับการทำลายค่ายกลของเจ้านัก เพียงแค่กระตุ้นให้ทำงาน เท่านี้ค่ายกลของเจ้าก็จะแตกกระจายออก!”
ลู่เฉินเยาะเย้ยกลับไป “แต่ก่อนที่คนพวกนี้จะทำสำเร็จ พวกเขาจำเป็นต้องก้าวไปพร้อมกัน ถ้าหากมีคนใดช้าหรือเร็วกว่า ก็จะไม่สามารถทลายค่ายกลของข้าได้”
ในฐานะที่โจวกังเป็นปรมาจารย์ค่ายกล เขาจึงตอบด้วยความมั่นใจ “หรือเจ้าคิดว่าข้าไร้ความสามารถถึงเพียงนั้น?”
“ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจสามารถหรือไม่ อย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาทลายค่ายกลของข้าได้” ลู่เฉินแสยะยิ้ม ขณะที่โจวกังกลับฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าหนุ่ม เช่นนั้นเจ้าจงดูให้ดีแล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบ โจวกังก็เริ่มสะบัดธง
เพียงไม่นาน ผู้คนเหล่านั้นก็เริ่มลงมือ ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ลู่เฉินก็เผยรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา พร้อมกันกับที่หนึ่งในศิษย์ที่กำลังถูกควบคุมพลันไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับกาย!
โจวกังมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “แม้แต่ค่ายกลนี้ก็ยังสามารถรับมือได้?”
“ข้าต้องขออภัยด้วย ค่ายกลของข้าสามารถเปลี่ยนได้ตามสะดวก เจ้ามีปัญหางั้นหรือ?” ลู่เฉินเผยรอยยิ้มในเงามืด ซึ่งประโยคดังกล่าวก็ทำให้โจวกังรู้สึกตกใจยิ่งนัก “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้!”
ลู่เฉินเอ่ยพลางยิ้มเยาะ “อันใดนะ? คิดว่าใช้อักขระยันต์หุ่นเชิดแล้วเจ้าจะได้ชัยไปงั้นหรือ?”
“เจ้า เจ้ารู้จักอักขระยันต์หุ่นเชิดได้อย่างไร?” โจวกังรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง
ลู่เฉินไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้ารู้ยังมีมากกว่านี้!”
ทว่าโจวกังไม่ยอมรับ และยังคงตะโกนออกมา “หลอกลวง!”
โจวกังพยายามควบคุมคนที่เหลืออีกครั้ง แต่ผลกลับออกมาเป็นเช่นเดิม ‘หุ่นเชิด’ เหล่านั้นต่างก็ค่อย ๆ ถูกค่ายกลกลืนกินไปทีละคน
เห็นดังนั้นแล้วโจวกังก็ตกใจยิ่งนัก เขารีบออกไปด้านนอกทันที
เมื่อออกมาด้านนอก ผู้คนของสำนักพฤกษาสวรรค์ต่างก็พากันถามไถ่สิ่งที่เกิดขึ้นภายใน
และแม้โจวกังจะมีท่าทีสงบนิ่ง ทว่าภายในใจของเขาตอนนี้… กลับร้อนดั่งไฟผลาญ! “นะ… นี่”
ไม่มีใครรู้ว่าลู่เฉินกำลังยิ้มอยู่ เพียงไม่นานชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า “แท้จริงแล้วเจ้าคงไม่มีความสามารถ ‘มากพอ’ ที่จะทำลายค่ายกลนี้ได้”
ทว่าผู้คนภายนอกต่างก็ไม่เชื่อและพากันกล่าวท้าทายลู่เฉิน ส่วนผู้อาวุโสจื่อตะโกนออกมาดังกว่าใครว่า “เจ้าหนุ่ม ปรมาจารย์โจวเป็นถึงหนึ่งในสิบปรมาจารย์ค่ายกลระดับศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ”
“เช่นนั้นเลยหรือ? แต่เหตุใดในสายตาของข้า เขาจึงดูขี้ขลาดตาขาวนัก!” ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่ให้โจวกังปั้นหน้าไม่ถูก “เจ้าหนุ่ม ข้าเพียงแค่ยังไม่เอาจริงเท่านั้น!!”
“โอ้? เช่นนั้นก็เชิญเลย ข้าจะรอดูว่ายามที่เจ้าเอาจริงจะเก่งกาจเพียงใด!!”
โจวกังพลันตะโกนออกมา “ไม่ว่าค่ายกลไหนต่างก็ต้องมีใจกลางและการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง เพียงแค่เราโจมตีให้หนัก ค่ายกลนี้ต้องแตกกระจายเป็นแน่!”
“วิธีง่าย ๆ เช่นนี้ ยังจำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนพวกเขาหรือ? หรือเจ้าคิดว่าพวกเขาโง่เขลากัน?” ลู่เฉินหัวเราะขึ้นมา
โจวกังแสดงสีหน้าปั้นยากออกมาทันที ส่วนผู้คนในสำนักพฤกษาสวรรค์ต่างพากันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเพียงแค่โจมตีค่ายกลก็จะสามารถทลายมันได้ ทว่า…
การทำเช่นนั้นต้องใช้เวลาไม่น้อย และสิ่งที่ใช้เป็นแกนกลางค่ายกลก็เป็นของล้ำค่าของสำนักทั้งสิ้น หากเสียหายพังทลายขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะเป็นพวกเขาเองหรอกหรือที่จะต้องมาเสียดาย!
ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสและบรรดาผู้อาวุโสสูงสุดต่างก็ตีหน้าเข้มครุ่นคิดอย่างหนัก
โดยเฉพาะลวี่ซ่างเพียวที่มองไปยังโจวกังพลางเอ่ยถาม “ปรมาจารย์โจว ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือ?”
“เจ้าหนุ่มคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป ข้าต้องตรวจสอบก่อนสักหน่อย ดังนั้นระหว่างรอให้ข้าหาจุดอ่อนของค่ายกลนี้ เชิญพวกท่านโจมตีกันก่อน” โจวกังกล่าวยืดเยื้อเพื่อรักษาหน้า
ลวี่ซ่างเพียวเองก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงถ่ายทอดคำสั่งให้บรรดาผู้อาวุโสออกโจมตีค่ายกลนี้
ค่ายกลค่อย ๆ ถูกทำลายลงไป แต่ลู่เฉินกลับยิ้มพลางเอ่ยออกมาว่า “ที่นี่มีของล้ำค่าเยอะทีเดียว คาดว่าพวกเจ้าโจมตีอีกสักหนึ่งพันปีก็น่าจะทลายได้แล้ว”
“ชั่วช้าสารเลว!” ลวี่ซ่างเพียวอดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกมา เช่นเดียวกับผู้อาวุโสจื่อและคนอื่น ๆ ที่บันดาลโทสะจนกัดฟันกรอด
โจวกังพึมพำในใจ “เจ้าหนุ่มนี่ …แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงสามารถวางค่ายกลที่แข็งแกร่งเพียงนี้ได้!”
เมื่อลู่เฉินเห็นว่าพวกเขาไม่มีแผนการใดอีก ชายหนุ่มจึงหันมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลต่อ
เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยผ่านไป
จวบจนกระทั่งถึงวันรุ่งขึ้น เหล่าผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุดต่างก็ค่อย ๆ อ่อนเรี่ยวแรงลง พวกเขาทำได้เพียงหยุดการโจมตี ซึ่งการกระทำนี้ก็ทำให้เกิดการซุบซิบนินทาในหมู่ศิษย์ทั้งหลาย
ขณะนี้ผู้อาวุโสจื่อไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไรดี แต่โจวกังกลับนำทางลวี่ซ่างเพียวไปยังที่ลับตาคนและเอ่ยถาม “ข้าว่านะท่านพี่ลวี่ เจ้าหนุ่มนี่กับพวกท่านมีเรื่องบาดหมางอันใดกัน? เหตุใดเขาจึงทำกับพวกท่านเช่นนี้?”
“มียัยเด็กแสบคนหนึ่งเป็นผู้พามา” ลวี่ซ่างเพียวตอบอย่างโมโห โจวกังจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ยัยเด็กแสบ?”
“ใช่ หลายปีมานี้มักจะมีเด็กสาวคนหนึ่งมาสร้างความวุ่นวายรอบ ๆ สำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกข้า พอเกิดเรื่องก็วิ่งเร็วจากไปอย่างรวดเร็ว และครานี้… นางก็ได้พาเจ้าหนุ่มน่ารังเกียจคนนี้มาด้วย!” ลวี่ซ่างเพียวยิ่งพูดยิ่งเกิดโทสะ
โจวกังครุ่นคิดอย่างหนัก “สถานการณ์ตอนนี้เห็นทีต้องใช้เล่ห์กลแล้ว!”
“เล่ห์กลใด?”
“หลอกล่อให้เขาออกมา!”
“ถ้าหลอกง่ายเช่นนั้นข้าทำไปนานแล้ว” ลวี่ซ่างเพียวตอบอย่างหมดหนทาง แต่โจวกังกลับสงสัย “ประวัติของเจ้าเด็กนี่ ท่านรู้หรือไม่?”
หลังจากลวี่ซ่างเพียวอธิบายจบ โจวกังก็พลันคลี่ยิ่มเหี้ยมเกรียมออกมา “ข้ามีวิธีแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ลวี่ซ่างเพียวสงสัย แต่โจวกังทำเพียงเดินไปยังด้านหน้าของค่ายกล ก่อนจะตะโกนคุยกับลู่เฉิน “เจ้าหนุ่ม พวกเราสามารถตกลงกันสักเรื่องได้หรือไม่?”
“ตกลงเรื่องอะไร?” ลู่เฉินต้องการรู้ว่าชายผู้นี้ต้องการสิ่งใด
“ได้ยินว่าเจ้าถูกสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทำร้าย และยังโดนขโมยรากวิญญาณไปใช่หรือไม่”
“ใช่” ลู่เฉินยิ้ม
ส่วนโจวกัง เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็จึงกล่าวออกมาว่า “ข้าสาบาน ขอเพียงเจ้าไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่สำนักพฤกษาสวรรค์อีก ข้าและสำนักพฤกษาสวรรค์จะช่วยเจ้าแก้แค้นสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ให้”
หลังได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินก็พลันนึกสงสัย นี่คนเหล่านี้คิดว่าตนโง่เขลานักหรือ? เหตุใดจึงมักชอบพูดอะไรที่ไม่สามารถเป็นจริงได้
เมื่อโจวกังเห็นว่าลู่เฉินไม่ตอบอะไร เขาจึงถามต่อ “เป็นเช่นไร?”
“ข้าคิดว่า เจ้าลองเทน้ำใส่ใบหูของเจ้า แล้วดูว่ามันจะทำให้หัวของเจ้าหนักขึ้นมาบ้างได้หรือไม่” ลู่เฉินตอบ
“เจ้าหนุ่ม ข้าหวังดีถึงเจรจากับเจ้า เจ้ายังจะคิดทำร้ายข้าอีกหรือ?” โจวกังยังคงพยายามกล่อมต่อไป
“โอ้? เช่นนั่นเองหรือ ข้าไม่รู้เลยนะเนี่ย?!”น้ำเสียงของลู่เฉินเต็มไปด้วยความเสแสร้งและเจตนาเย้าโทสะ
โจวกังถึงกับโกรธจัด “เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถควบคุมค่ายกลใหญ่ของสำนักกพฤกษาสวรรค์… มาทำลายค่ายกลที่ปากถ้ำของเจ้าได้!”
“เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นหรือ?”
เมื่อโจวกังเห็นว่าลู่เฉินกล้าดูถูกตน เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยโทสะ “ข้าไม่อยากฆ่าเจ้าเพราะเห็นว่ามีพรสวรรค์ด้านค่ายกล แต่ตอนนี้… เจ้ากำลังบีบบังคับข้า! เช่นนั้นข้าก็จะใช้ค่ายกลใหญ่ของสำนักพฤกษาสวรรค์มาระเบิดปากถ้ำนี้ ถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องจบชีวิตอยู่ข้างในเป็นแน่!”
คำขู่นี้ไม่อาจทำให้ลู่เฉินเกรงกลัวได้แม้แต่น้อย เขาเอ่ยกระตุ้นอีกฝ่าย “เอาสิ ข้าอยากเห็น”
โจวกังที่ถูกลู่เฉินโต้กลับเช่นนั้นก็ถึงกับอึ้งไปชั่วครู ก่อนจะรีบไปปรึกษากับผู้อาวุโสของสำนักพฤกษาสวรรค์
เมื่อลวี่ซ่างเพียวได้ฟัง เขาก็ถึงกับทำสีหน้าปั้นยาก “ที่ด้านนอกมีเสี่ยเจี้ยนแห่งภูเขามารราตรีอยู่ ถ้าหากใช้ค่ายกลใหญ่ของสำนักพฤกษาสวรรค์แล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา พวกเราอาจจะถูกอีกฝั่งโจมตีก็เป็นได้”
“วางใจเถอะ ข้าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ค่ายกลก่อน จากนั้นจึงแบ่งส่วนใช้ค่ายกลกำจัดมารอารักขาด้านนอก และบงการค่ายกลอื่นเข้าทำลายค่ายกลหน้าปากถ้ำนี้!”
“จริงหรือ?”
“แน่นอน!” โจวกังยืนยัน ลวี่ซ่างเพียวที่ได้ยินก็พลันรู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมา ชายชราผมเขียวกล่าวว่า “พูดมา ต้องทำเช่นไรบ้าง?”
“เตรียมวัตถุดิบและศิษย์ขั้นก่อกำเนิด จากนั้นฟังการสั่งการของข้าและถือธงที่ข้ามอบให้ดี!” เมื่อโจวกังกล่าวจบ เขาก็เริ่มแจกจ่ายสิ่งที่ต้องทำ
เหล่าผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุดพากันทำตาม และกระจายไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในสำนักพฤกษาสวรรค์พร้อมกับโบกธงสีดำในมือ
เพียงไม่นาน… ทุกแห่งของสำนักพฤกษาสวรรค์ก็เต็มไปด้วยค่ายกลเรียงรายมากมาย ส่วนที่บริเวณปากถ้ำก็มีโจวกังกำลังโบกธงผืนใหญ่ในมือ
โจวกังโบกธงสีดำผืนใหญ่อย่างภูมิใจ เขากล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม เห็นหรือยัง นี่คือความแข็งแกร่งของข้า!”
ทว่าลู่เฉินเพียงยิ้มออกมา “ข้ากำลังคิดว่าจะจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิดพวกนี้เช่นไร แต่เมื่อเจ้าช่วยข้าเช่นนี้แล้ว หลังจากนี้ก็คงไม่ยากแล้วล่ะ!”
“หมายความเช่นไร?” โจวกังสงสัย
“เจ้าเคยได้ยิน ‘ค่ายกลตีกลับ’ หรือไม่?” ลู่เฉินยิ้ม แต่โจวกังกลับยิ้มประหลาดและเอ่ยถาม “ค่ายกลตีกลับ?”
“ใช่!”
โจวกังเผยรอยยิ้ม เขากล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าย่อมเคยได้ยินเรื่องค่ายกลตีกลับ ทว่าตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ ผู้ที่สามารถทำได้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ….นั่นก็คือจอมมารแห่งมหาทวีปจิ่วโหยวเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน!”
“เช่นนั้น เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”
“น่าขันนัก! เจ้าคิดว่าเพียงเจ้ามีนามเหมือนท่าน แล้วคิดว่าตัวเองจะทรงพลังถึงเพียงนั้นหรือ?” โจวกังนึกขำขึ้นมา
“เช่นนั้น เจ้าจงดูให้ดี!” ลู่เฉินยิ้ม แต่โจวกังกลับคิดว่าลู่เฉินเพียงแค่ขู่ตนเท่านั้น เขาจึงไม่ได้คิดจริงจัง และยังคงสะบัดธงผืนใหญ่ต่อไป