ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 50 เจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้จริงหรือ?
บทที่ 50 เจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้จริงหรือ?
เมื่อลู่เฉินได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็หัวเราะ “เช่นนั้นข้าต้องการชีวิตพวกเจ้าได้หรือไม่?”
บ้า! …บ้าเกินไปแล้ว!
ผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่เคยเห็นคนที่อวดดีเช่นนี้มาก่อน
โดยเฉพาะชายชราผมเขียวที่มีสีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่าใคร “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
”เป็นใคร… สำคัญงั้นหรือ?” ลู่เฉินไม่ได้สนใจเลยสักนิด ส่วนชายชราผมเขียวได้ยินดังนั้นก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าคือผู้อาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักพฤกษาสวรรค์ มีนามว่าลวี่ซ่างเพียว”
“เจ้าชื่ออะไรนั้นข้าไม่สนใจแม้แต่น้อย” ลู่เฉินตอบกลับทันใด
ลวี่ซ่างเพียวถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะถามออกมาว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“ข้าบอกลูกศิษย์ของเจ้าไปนานแล้วว่าข้าจะทำลายสำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกเจ้าแล้วถึงจะไป” ลู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทำให้เหล่าผู้อาวุโสพากันโกรธจัด
ผู้อาวุโสจื่อหันไปเอ่ยกับลวี่ซ่างเพียวว่า “ท่านอาจารย์ ตราบใดที่พวกเราอยู่ที่นี่ เขาจะไม่มีวันได้ออกไป!”
หลังจากที่ลวี่ซ่างเพียวได้ยิน เขาก็มองเข้าไปในค่ายกล “เจ้าหนุ่ม เจ้าได้ยินหรือไม่?”
“ข้ามีวิธีหนีไปตั้งมากมาย”
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่หนี? มาซ่อนอยู่ข้างในเพื่ออันใด?” ลวี่ซ่างเพียวคิดว่าลู่เฉินกำลังอวดดี แต่ลู่เฉินกลับหัวเราะอยู่ข้างในและตอบกลับมาว่า “ข้ายังต้องฝึกฝนอีกสักพัก เมื่อข้าฝึกฝนใกล้เสร็จ ถึงเวลานั้นข้าค่อยออกไปจัดการกับพวกเจ้า!”
“เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงหรือ?” ลวี่ซ่างเพียวทนไม่ไหวอีกต่อไป ทว่าลู่เฉินกลับฉีกยิ้มยียวน “ถ้าเจ้ามีวิธีก็จัดการสิ อย่ามัวพูดพล่ามไร้สาระ”
”ได้ รอเดี๋ยว ข้าจะไปหาคนมา!”
หลังจากลวี่ซ่างเพียวกล่าวเช่นนั้น เขาก็หันไปพูดคุยกับคนอื่น ๆ “ใครจะอาสาไปสำนักค่ายกลสวรรค์ ไปเชิญท่านปรมาจารย์โจวมาที่นี่?”
“ข้าจะไป!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตอบ
“ได้ รีบไปรีบกลับ!”
หลังจากนั้น ลวี่ซ่างเพียวก็หันมาขู่ลู่เฉินที่อยู่ในค่ายกล “เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้หรือไม่ว่าปรมจาร์ยโจวเป็นใคร?”
“ข้าไม่สน!”
“ปรมจาร์ยโจว คือหนึ่งในสิบสุดยอดปรมาจารย์ค่ายกลของแดนทักษิณา! ต่อให้เป็นค่ายกลระดับเก้าดาว เขาก็มีวิธีทลายมัน!”
ลู่เฉินรับคำอืมอา ทว่าไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวหรือสนใจแม้แต่น้อย
หลังจากที่เห็นท่าทีของลู่เฉิน ลวี่ซ่างเพียวก็แค่นเสียงหึแล้วเอ่ยว่า “ได้ เจ้าก็อยู่ต่อไปเถิด! ถึงยามนั้นมาดูกันว่าพวกเราจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไร!”
ลู่เฉินไม่สนใจ เขายังคงเพิ่มวัตถุดิบบางอย่างลงในค่ายกลต่อ เพื่อให้ค่ายกลมีเสถียรภาพและมั่นคงมากขึ้น
โดยขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสและศิษย์เหล่านั้นต่างก็กำลังยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกไม่ออกไปไหน
…
เมื่อราตรีย่างกรายเข้ามา เถียนอวิ๋นเมิ่งซึ่งอยู่นอกสำนักพฤกษาสวรรค์ก็แอบย่องไปที่ตีนเขาอีกครั้ง แต่นางกลับพบว่ารอบเขามีค่ายกลเปิดอยู่และไม่สามารถเข้าไปได้ จึงได้แต่สาปแช่งในใจ “สำนักพฤกษาสวรรค์บัดซบ พวกเจ้ามันสมควรตาย!”
แต่คืนนี้เถียนอวิ๋นเมิ่งไม่ได้มามือเปล่า
เถียนอวิ๋นเมิ่งมองหาตีนเขารกร้างมุมหนึ่ง แล้วจึงนำยันต์ออกมาแนบติดไว้กับค่ายกล ก่อนที่ครู่ต่อมา ค่ายกลในตำแหน่งที่มียันต์ก็พลันกลายเป็นอ่อนแอลง ทำให้นางเข้าไปข้างในได้สำเร็จ
ครู่ต่อมายันต์นั้นก็ไหม้และหายวับไปทันใด
ถียนอวิ๋นเมิ่งหัวเราะเยาะพลางเอ่ยว่า “ยังดีที่ข้าพกยันต์ทะลวงผ่านมาด้วย!”
จากนั้นนางก็เดินลึกเข้าไปด้านใน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของลู่เฉิน ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มเห็นเถียนอวิ๋นเมิ่งกำลังเดินขึ้นมา เขาก็แอบยิ้มในใจ “ช่างกล้านักที่ย้อนกลับมา!”
ทว่าลู่เฉินจะปล่อยให้นางขึ้นมาง่าย ๆ ได้อย่างไร?!
ชายหนุ่มเอ่ยกับทุกคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกว่า “มารหญิงตนนั้นกลับมาอีกแล้ว!”
ในตอนแรกคนเหล่านี้ไม่เชื่อ โดยเฉพาะผู้อาวุโสจื่อที่แค่นเสียงหึแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออกจากที่นี่ นางจะเข้ามาได้อย่างไร?”
“นางใช้ยันต์ทะลวงผ่าน และยันต์นั้นก็สามารถเจาะม่านกั้นของค่ายกลได้” ลู่เฉินอธิบาย
ทุกคนมองหน้ากันทันที แต่ผู้อาวุโสจื่อยังคงคิดว่าลู่เฉินกำลังหลอกลวง เขาจึงไม่ได้สนใจ ส่วนลวี่ซ่างเพียวก็ถามว่า “มารหญิงตนนั้น… มันเรื่องอันใด?”
“นางมาเพื่อศาสตราวุธวิถีมาร และยังใช้คนของเราไปไม่น้อย” ผู้อาวุโสจื่ออธิบาย
“ใช้คนของเราไปไม่น้อย?”
ครั้นเห็นท่าทีสงสัยเช่นนั้น ผู้อาวุโสจื่อจึงบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน
หลังจากลวี่ซ่างเพียวได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ขมวดคิ้วทันทีและมองไปทางถ้ำ “เจ้าหนุ่ม เจ้าบอกว่านางมาแล้วหรือ?”
“จะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า” ลู่เฉินรู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดเหล่านี้เก่งกาจพอที่จะเอาชนะนางได้ เขาจึงคิดยืมมือคนเหล่านี้ เพื่อให้เถียนอวิ๋นเมิ่งต้องทนทุกข์ทรมานเสียหน่อย
ส่วนลวี่ซ่างเพียวนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เช่นนั้นยามนี้นางอยู่ที่ใด?”
ว่าแล้วลู่เฉินก็บอกตำแหน่งคร่าว ๆ ของเถียนอวิ๋นเมิ่งให้พวกเขาทราบ แต่ผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่ได้ลงมือในทันที กลับแผ่จิตสัมผัสอันทรงพลังของพวกเขาออกไปในจุดที่ลู่เฉินบอกแทน
พวกเขาเห็นเพียงมีเงาเคลื่อนไหวอยู่ที่นั่นจริง ๆ และเพราะความมืดปกคลุม ดังนั้นหากไม่มองให้ดี พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าตรงนั้นมีคนเดินเข้ามา!
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ผู้อาวุโสจื่อก็กล่าวอย่างกังวลว่า “ท่านอาจารย์ ข้าจะจัดการนางเอง”
“เคล็ดวิชาเงามารของนางไม่ธรรมดา ด้วยความสามารถของเจ้า คาดว่าเจ้าคงไม่อาจหยุดนางได้” ลวี่ซ่างเพียวเอ่ยพลางส่ายหัว ทำให้ผู้อาวุโสจื่อเริ่มกังวล “แต่นี่…”
“วางใจเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่น ๆ” หลังจากลวี่ซ่างเพียวกล่าวจบ เขาก็หันไปสบตากับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จากนั้นทั้งห้าคนก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหายตัวไปจากจุดนั้นในฉับพลัน
เถียนอวิ๋นเมิ่งในยามนี้ไม่รู้ว่าวิกฤตกำลังใกล้เข้ามา
จนกระทั่งเงาร่างทั้งห้ากำลังจะปรากฏขึ้น ลู่เฉินที่มองเห็นเหตุการณ์ก็จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเจ้าแอบเข้ามา?”
เถียนอวิ๋นเมิ่งตกใจเมื่อได้ยินเสียงนี้ “เป็นเจ้า!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งโกรธมากและอยากจะหนีอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นผู้อาวุโสห้าคนก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ละคนต่างหยิบกระจกออกมา
กระจกนี้ได้รวบรวมแสงสีทองเข้าด้วยกันทันที มันก่อตัวเป็นแสงสีทองขนาดใหญ่ปกคลุมเถียนอวิ๋นเมิ่งเอาไว้ ทำให้นางถึงกับกรีดร้องออกมา
ผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างรีบวิ่งเข้ามาหาต้นเสียง
ยามนี้ทุกคนต่างเห็นเถียนอวิ๋นเมิ่งชัดถนัดตา พวกเขาพบว่านางนับเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ทว่ารอบกายกลับแผ่ไอสีม่วงออกมาไม่หยุด!
“เจ้า… พวกเจ้า!” เถียนอวิ๋นเมิ่งกัดฟันอย่างโกรธจัด ขณะที่ลวี่ซ่างเพียวแค่นเสียงหึแล้วเอ่ยว่า “พูดมา ใครส่งเจ้ามาที่นี่!”
“เหตุใดต้องบอกเจ้า!” เถียนอวิ๋นเมิ่งยังคงดื้อดึง
ลวี่ซ่างเพียวมองนางอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่พูด พวกเราจะกักขังเจ้าไว้ และก็อย่าหวังเลยว่าหลังจากนี้เจ้าจะได้เห็นแสงตะวัน!”
ทว่าเถียนอวิ๋นเมิ่งกลับหยิบยันต์สีม่วงออกมาแล้วบดขยี้พลางหัวเราะอย่างเย็นชาว่า “คอยดูสิ จะมีคนมาช่วยข้า!”
ลวี่ซ่างเพียวยิ้มเยาะและเอ่ยว่า “ฝันไปเถอะ!”
หากแต่เถียนอวิ๋นเมิ่งไม่ได้ตอบโต้ นางคลี่ยิ้มออกมา ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน บนท้องฟ้าไกลออกไปจะมีเสียงประหลาดตะโกนว่า “ศิษย์น้องหญิง!”
“ศิษย์พี่ ข้าอยู่นี่!” เถียนอวิ๋นเมิ่งกล่าวอย่างตื่นเต้น
ครู่ต่อมาทุกคนพลันเห็นฉากที่น่าสะพรึงกลัว นั่นคือเงาประหลาดบนท้องฟ้าที่เจาะทะลุผ่านค่ายกลเข้ามา และเมื่อมันปรากฏขึ้น พวกเขาก็ได้พบชายลึกลับคนหนึ่ง คนผู้นี้สวมหน้ากากสีม่วง และยังสวมถุงมือสีม่วง!
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนยังเห็นว่าใบหน้าของชายคนนั้นเต็มไปด้วยคราบโลหิต ราวกับว่าเขาเพิ่งคลานออกมาจากกองโลหิตอย่างไรอย่างนั้น
ลวี่ซ่างเพียวตกใจและรีบตะโกนว่า “ระวัง!”
ผู้อาวุโสเหล่านี้หันกระจกไปที่ชายคนนั้นทันที ทว่าชายลึกลับกลับอาศัยโอกาสนี้คว้าตัวเถียนอวิ๋นเมิ่งไว้แล้วบินออกไปจากตรงนั้น
“สมควรตาย!” ลวี่ซ่างเพียวมีสีหน้าดูไม่ได้ทันที
ในขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะลั่นของลู่เฉินพลันดังขึ้น “ข้านึกว่าสำนักพฤกษาสวรรค์จะแข็งแกร่งกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่าแค่ผู้ฝึกวิถีมารเพียงคนเดียวก็มากพอแล้วที่จะทำให้พวกเจ้ากลัวจนหัวหด!”
“เจ้าหนุ่ม หุบปาก!” ผู้อาวุโสจื่อโกรธจัด ส่วนลวี่ซ่างเพียวมองดูป่ารอบ ๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าหนุ่ม ถ้าเจ้ารู้ว่าชายผู้นั้นมาจากไหน เจ้าจะไม่พูดแบบนั้น!”
“ต้นกำเนิดของเขาคืออะไร ข้าไม่สนใจเลยสักนิด!” ลู่เฉินไม่สนใจผู้ฝึกวิถีมารเหล่านั้นแม้แต่น้อย โดยเฉพาะกับสตรีที่เจ้าแผนการอย่างเถียนอวิ๋นเมิ่ง!