ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 48 ราวกับเสียงคำสาปตามหลอกหลอนนาง!
บทที่ 48 ราวกับเสียงคำสาปตามหลอกหลอนนาง!
เมื่อลู่เฉินได้ยินคำพูดของเถียนอวิ๋นเมิ่ง สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังเปล่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “คุยกันดี ๆ ได้หรือไม่?”
”ข้าพูดความจริง!”
”ยังไม่พูดอีกรึ? ย่อมได้ รอให้คนจากสำนักพฤกษาสวรรค์มาจัดการเจ้าก็แล้วกัน” ลู่เฉินหัวเราะอย่างเย็นชา ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งก็สาปแช่งเขาด้วยความโกรธ ‘ไอ้สารเลว อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ!’
หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งหลายได้รับข้อมูลล่าสุดจากลู่เฉิน พวกเขาก็รีบมาที่นี่ทันที ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งก็ไม่มีทางอื่นเลือกนอกจากต้องแปลงกายเป็นเมฆสีม่วงและหายวับไปทันใด
ยามที่เถียนอวิ๋นเมิ่งปรากฏตัวอีกครั้ง นางก็มาอยู่ในป่าทึบกลางเขาของสำนักพฤกษาสวรรค์ นางมองไปรอบ ๆ พลางกล่าวว่า “คราวนี้ก็คงไม่เจอแล้วสินะ!”
”ข้าบอกแล้ว… ว่าเจ้าหลบสายตาข้าไม่พ้น!” เสียงของลู่เฉินดังก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่าขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เถียนอวิ๋นเมิ่งก็แทบจะคุ้มคลั่ง “ลู่เฉิน เจ้าต้องการอะไรกันแน่!”
”พูดมา เหตุใดครานั้นเจ้าถึงเข้าหาข้า!” ลู่เฉินยังคงถามเช่นเดิม
เถียนอวิ๋นเมิ่งยังคงตอบว่า “ก็เพราะข้ายกย่องและชื่นชมเจ้า มีปัญหางั้นหรือ?”
”ต่อให้ตายก็ไม่สำนึกผิดจริง ๆ!” ลู่เฉินถอนหายใจ แต่เถียนอวิ๋นเมิ่งเองก็เริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว “ข้าบอกเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าเร่งรัดข้า ข้าจะฆ่าทั้งตระกูลเจ้า!”
”ฆ่าทั้งตระกูล? เจ้ามีความสามารถหรือ?”
”หึ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้ว่าข้าฝึกวิถีมาร เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่ามีสำนักมารคอยสนับสนุนข้าอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเจ้าอย่ามายุ่งกับข้าจะดีกว่า!” เถียนอวิ๋นเมิ่งเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
”มีสำนักมารคอยสนับสนุนอยู่? ถ้าอย่างนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่ปรากฏตัว? หากพึ่งพาได้จริง… แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องมาแต่งงานกับผู้อื่นเล่า?” ลู่เฉินคลี่ยิ้ม
เถียนอวิ๋นเมิ่งพลันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “เพราะนี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย มันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา”
ลู่เฉินหัวเราะลั่น “บอกตามตรง ข้าไม่ได้สนใจเจ้าหรือสำนักมารที่หนุนหลังเจ้าแต่อย่างใด!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งได้ยินเช่นนั้นกลับหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าหยุดอวดเก่งได้แล้ว!”
”อวดเก่ง? ก็ได้ วันนี้พวกเรามาดูกันว่าผู้ใดกันแน่ที่อวดเก่ง!”
สิ้นเสียงนั้น ผู้อาวุโสที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งก็หายวับไปอีกครั้งด้วยความโกรธ คราวนี้นางเลือกจะมาหลบซ่อน ณ ห้องโถงใหญ่ที่สะดุดตาของสำนักพฤกษาสวรรค์ นางแค่นเสียงเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเช่นนี้แล้วจะยังหาเจอ!”
ทว่าทันใดนั้น เสียงหัวเราะของใครบางคนพลันดังมาจากภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนังในโถงใหญ่
”เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าซ่อนที่นี่แล้วจะไม่มีใครรู้หรือ?” เสียงของลู่เฉินราวกับคำสาปตามติด ทำให้เถียนอวิ๋นเมิ่งตกใจจนโจมตีใส่ภาพวาดอย่างบ้าคลั่ง
…แม้ภาพวาดนี้จะถูกทำลาย แต่สิ่งต่าง ๆ บนนั้นล้วนทำมาจากศิลาวิญญาณและวัตถุพิเศษจำนวนมาก ดังนั้นตราบใดที่พวกมันยังมีจิตวิญญาณ ลู่เฉินก็ย่อมสัมผัสถึงพวกมันได้!
นี่คือสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับวิชาหมื่นวิญญาณ
เถียนอวิ๋นเมิ่งทั้งโกรธทั้งร้อนใจ นางรีบหนีลงใต้ดิน คิดจะซ่อนตัวในนั้นเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น
”ข้า… ข้าไม่เชื่อว่าเช่นนี้ก็จะยังไม่อาจหลบสายตาเจ้าได้!” เถียนอวิ๋นเมิ่งบ่นขณะซ่อนตัวอยู่ภายในใต้ดินอันมืดมิด ทว่าจู่ ๆ เสียงหัวเราะและเสียงเย้ยหยันของลู่เฉินก็ดังมาจากร่างกายนาง “เจ้าว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหนนะ?”
จากภายในร่าง?
เถียนอวิ๋นเมิ่งถึงกับหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่?”
เถียนอวิ๋นเมิ่งมีสมบัติล้ำค่ามากมายอยู่กับตัว และวิชาหมื่นวิญญาณของลู่เฉินก็สามารถสัมผัสถึงมันได้เช่นกัน ทว่าเถียนอวิ๋นเมิ่งไม่รู้ และยังคงค้นหาไปทั่วเรือนร่างของตน ปากก็สาปแช่งออกมาว่า “เจ้าคนต่ำต้อย เจ้ามันสุภาพบุรุษจอมปลอม!”
“ส่วนเจ้า เจ้ามันนังตัวเหม็น ข้าไม่สนใจแล้ว!”
”เจ้าพูดอีกครั้งซิ!” เถียนอวิ๋นเมิ่งกำลังจะเป็นบ้าเพราะความโกรธ
ลู่เฉินยิ้ม “ข้าบอกว่าข้าไม่สนใจเจ้า!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งจึงตอบกลับไปด้วยโทสะ “เจ้า! เจ้าคอยดูนะ ข้า… ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ เดี๋ยวนี้!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งสบถเสร็จก็รีบร้อนออกจากที่นี่และไปซ่อนตัวอยู่ในบรรดาศิษย์ขั้นสร้างรากฐาน พร้อมกับเข้าควบคุมคนเหล่านั้นให้พากันออกไปจากสำนักพฤกษาสวรรค์
เมื่อออกห่างมาระยะหนึ่ง เถียนอวิ๋นเมิ่งก็พบว่าตนเองไม่ได้ถูกลู่เฉินรังควานอีก และเมื่อวางใจแล้ว นางก็พลันถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะจ้องเขม็งไปยังสำนักพฤกษาสวรรค์ “ดูเหมือนว่า… เขาจะไม่ได้ตามมาแล้ว”
วิชาหมื่นวิญญาณของลู่เฉินมีข้อจำกัดเรื่องระยะทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เขาอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ มากสุดก็สัมผัสได้ในระยะหนึ่งลี้เท่านั้น เมื่ออยู่ไกลออกไปก็จำต้องมีขั้นพลังที่มากกว่านี้จึงจะบังเกิดผล
ทว่าเถียนอวิ๋นเมิ่งไม่รู้ และคิดว่าลู่เฉินไม่กล้าไล่ตามมา ดังนั้นนางจึงเริ่มวางแผนที่จะกลับเข้าไปในสำนักพฤกษาสวรรค์อีกครา
…
อีกด้านหนึ่ง เมื่อผู้อาวุโสจื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ส่งข่าวมาให้อีก ชายชราขาเป๋ก็ถามอย่างกระวนกระวายว่า “แล้วนางล่ะ?”
”นางแฝงตัวอยู่ท่ามกลางศิษย์ขั้นสร้างรากฐาน และหนีออกไปแล้ว” ลู่เฉินฉีกยิ้ม ในขณะที่ผู้อาวุโสจื่อเบิกตากว้าง “อะไรนะ! หนีไป?”
”ใช่แล้ว”
ผู้อาวุโสจื่อโกรธจัด ก่อนจะร้องสั่งให้ผู้อาวุโสทุกคนไปเตรียมการ… และประกาศสั่งห้ามไม่ให้ศิษย์เข้าหรือออกจากที่นี่ มิฉะนั้นจะถูกกักตัวโดยไม่มีข้อยกเว้น!
ผู้อาวุโสเหล่านั้นเร่งจัดการให้ทันที
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว สำนักพฤกษาสวรรค์ก็ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาหรือออกไปข้างนอกได้
หลังจากที่เรื่องนี้สงบลง ผู้อาวุโสจื่อก็จ้องมองไปในค่ายกลและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่ม ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องคิดบัญชีกัน!”
”อันใดนะ ข้ามแม่น้ำแล้วคิดรื้อสะพานทิ้งงั้นหรือ?” ลู่เฉินมองชายชราขาเป๋ด้วยรอยยิ้ม ส่วนอาวุโสจื่อก็แค่นเสียงหึแล้วเอ่ยว่า “ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้ร้าย เช่นนั้นเจ้าก็นับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!”
ลู่เฉินส่งเสียงจุ๊ ๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะบอกให้นะท่านอาวุโส ข้าช่วยเจ้าจับคนที่กำลังจะขโมยของของเจ้า แต่เจ้ากลับโห่ร้อง และตอนนี้ยังมากล่าวโทษข้าอีก”
”เจ้ามาที่นี่เพื่อแก้แค้นไม่ใช่หรือ? ดังนั้นเจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไร?” อาวุโสจื่อถามกลับอย่างโกรธเคือง
ลู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ถูกต้อง ข้าจะทำลายสำนักพฤกษาสวรรค์ของเจ้า แล้วเหตุใดข้าต้องช่วยพวกเจ้ากัน?”
เมื่อเห็นว่าลู่เฉินกำลังยั่วยุโทสะ ผู้อาวุโสจื่อก็ตวาดออกมาด้วยความโกรธ “ไสหัวไป!”
”อย่ากังวล ข้าออกไปแน่!” ลู่เฉินฉีกยิ้ม จากนั้นเขาก็หลับตาลง ส่งจิตสัมผัสค้นหาสถานที่ซึ่งซ่อนศาสตราวุธวิถีมารในสำนักพฤกษาสวรรค์ด้วยวิชาหมื่นวิญญาณ
คนนอกเหล่านั้นไม่รู้แม้แต่น้อยว่าลู่เฉินกำลังทำอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่พากันร้องตะโกนอยู่ข้างนอก
…
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เฉินก็พบถ้ำบนยอดเขาของสำนักพฤกษาสวรรค์ ในถ้ำแห่งนั้นมีคนที่แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย
ดูจากกลิ่นอายที่ทรงพลังแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิด และยังมีถึงห้าคน!
เมื่อลู่เฉินแผ่จิตสัมผัสออกไปอีกครั้ง เขาก็ค้นพบศาสตราวุธวิถีมารอย่างรวดเร็ว และยังได้แนบจิตสัมผัสของตนเองเข้ากับศาสตราวุธวิถีมารนั้นด้วย
ครั้นเห็นศาสตราวุธวิถีมารชัดถนัดตา… ชายหนุ่มก็ถึงกับต้องตกตะลึง คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นพัดเล่มหนึ่ง!
”พัดสีดำเล่มนี้มีต้นกำเนิดมาจากอะไร?” ลู่เฉินเพ่งมองไปที่นั่นด้วยจิตสัมผัส จากนั้นพลันพบว่ามีตราประทับอยู่ภายในพัด และภายในตราประทับนั้นก็มีวิญญาณที่ทรงพลังดวงหนึ่งอาศัยอยู่
”ศาสตราวุธวิถีมารนี้มีจิตวิญญาณ แต่มันถูกผนึกไว้!” ลู่เฉินหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาด
จิตสัมผัสของชายหนุ่มได้แทรกซึมเข้าไปในตราประทับนั้น จนกระทั่งเขาพบกับคนผู้หนึ่งซึ่งถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนสีทอง และกำลังคลุ้มคลั่งอยู่ที่นั่น
คนผู้นี้คือจิตวิญญาณของพัด ผมเผ้าของอีกฝ่ายดูยุ่งเหยิง ในขณะเดียวกันก็มีท่าทีหยาบกระด้าง ทั้งยังร้องคำรามด้วยเสียงแหบแห้งออกมาเป็นระยะ
”ตะโกนไปจะมีประโยชน์อันใด?” จิตสัมผัสของลู่เฉินกลั่นตัวเป็นเงาร่างหนึ่ง และยืนอยู่ตรงหน้าชายผู้นี้
ชายผู้นั้นมีไอมารสีม่วงล้อมรอบอยู่ และดวงตาแดงก่ำของเขาก็จ้องเขม็งมองมายังลู่เฉิน เผยให้เห็นรอยแผลเป็นทั่วใบหน้าชัดถนัดตา!
”เจ้าเป็นใคร!” อีกฝ่ายถามออกมาเสียงกร้าว
”ข้างั้นหรือ? …ข้าเป็นคนที่ช่วยเจ้าได้ และยังทำลายเจ้าได้” ลู่เฉินยิ้มให้กับจิตวิญญาณอาวุธชิ้นนี้ ทว่าจิตวิญญาณดวงนี้กลับคิดสบประมาทชายหนุ่ม มันจึงตะคอกสวนกลับทันที “เจ้าน่ะหรือ? อยู่เพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณ?”
ลู่เฉินมองดูตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ?”
”แค่ครู่เดียวข้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเจ้าแล้ว!”
ทว่าลู่เฉินกลับฉีกยิ้ม “หากเจ้าคิดว่าข้าอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงเข้ามาในศาสตราวุธวิถีมารโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และคนนอกยังไม่อาจสัมผัสได้อีก?”
”เพราะเหตุใด?!” จิตวิญญาณอาวุธตรงหน้าพลันสงสัยขึ้นมาทันที