ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 36 ครึ่งคนครึ่งปีศาจ ไม่เป็นความลับอีกต่อไป!
บทที่ 36 ครึ่งคนครึ่งปีศาจ ไม่เป็นความลับอีกต่อไป!
ครั้นร่างจริงเผยออก มันก็ได้ปรากฏกายออกมาเป็นร่างเงาโปร่งแสง ตัวเป็นมนุษย์แต่หัวเป็นจิ้งจอกสีขาว อีกทั้งยังเป็นสตรีเพศ!
ทันทีที่มันเผยตัว มือทั้งสองภายใต้ขนนุ่มสีขาวพลันกางออก แสดงกรงเล็บแหลมคมข่มขู่ พร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงแข็งกร้าวใส่ลู่เฉิน “เจ้าอยากตายหรือ?”
ลู่เฉินยิ้ม
“ยิ้มอะไร?” ปีศาจจิ้งจอกกล่าว
ชายหนุ่มมองไปยังปีศาจจิ้งจอกและชี้นิ้วกลับมาที่ตัวเอง “มา โจมตีข้า!”
ลู่เฉินต้องการรวบรวมพลังจากทั้งเก้าชาติภพ แต่กลับหาปีศาจไม่เจอ ทว่าตอนนี้กลับมีปีศาจจิ้งจอกที่บ่มเพาะมาแล้วกว่าห้าร้อยปีปรากฏตัวขึ้น ….สำหรับลู่เฉินแล้วนี่จึงเป็นโอกาสที่จะพลาดไปไม่ได้!!
ปีศาจจิ้งจอกกลับคิดว่าลู่เฉินกำลังยั่วยุ จึงกล่าวพลางจ้องลู่เฉินตาไม่กะพริบ “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?”
“ลงมือ อย่าได้เสียเวลา!” ลู่เฉินยังคงเอ่ยกระตุ้น
ครั้งนี้ปีศาจจิ้งจอกรู้สึกโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว! มันอ้าปากและพ่นฟองใสออก แต่ภายใต้ ‘เคล็ดวิชานัยน์ตาปีศาจ’ ทำให้ฟองใสนี้กลับกลายเป็นแสงกะพริบสีม่วงเข้ม
“เคล็ดวิญญาณปีศาจ!” ลู่เฉินจำได้ทันทีที่เห็นมัน
ปีศาจจิ้งจอกไม่รู้ว่าเหตุใดลู่เฉินจึงดูออก แต่เมื่อฟองเหล่านั้นโจมตีออกไป รอบกายของลู่เฉินก็ปรากฏเกราะป้องกันโปร่งแสงขึ้นมา ทำให้ฟองเหล่านั้นถูกเป่ากระจายหายไป
“เจ้า!” เมื่อเห็นว่าลู่เฉินสามารถป้องกันการโจมตีของตนได้ ปีศาจจิ้งจอกก็รู้สึกตระหนกขึ้นมา
“อย่าหยุด!” ลู่เฉินมองไปยังปีศาจจิ้งจอกด้วยรอยยิ้ม
คำพูดดังกล่าวทำให้ปีศาจจิ้งจอกยิ่งกังวลใจ จึงโจมตีต่อไปไม่หยุด!
แต่โจมตีเท่าไหร่ผลก็ออกมาเป็นเช่นเดิมจนปีศาจจิ้งจอกต้องยอมแพ้ สุดท้ายมันจึงคิดหนี แต่ค่ายกลที่ลู่เฉินสร้างไว้โดยรอบกลับไม่เปิดโอกาสนั้น!
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น?” ปีศาจจิ้งจอกร้อนใจ แต่ลู่เฉินทำเพียงยิ้ม “บริเวณนี้ถูกล้อมไว้ด้วยศิลาวิญญาณที่สลักอักขระยันต์ขั้นจิตวิญญาณระดับสิบดาวไว้ ถ้าหากเจ้ามีพลังบ่มเพาะไม่ถึงพันปี เจ้าไม่มีทางออกไปได้!”
ปีศาจจิ้งจอกเบิกตากว้าง “อะไรนะ?! ค่ายกลขั้นจิตวิญญาณระดับสิบดาว?”
ขั้นจิตวิญญาณระดับสิบดาวถือเป็นขั้นที่สูงไม่น้อย และมันก็มีน้อยคนนักที่จะฝ่าหรือแก้ไขค่ายกลระดับนี้ไปได้!
ปีศาจจิ้งจอกคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มในขั้นกลั่นลมปราณผู้นี้ จะสามารสร้างค่ายกลระดับนี้ได้! มันจึงถามด้วยความหวาดกลัว “เจ้า… ไม่สิ! จริง ๆ แล้วท่านคือผู้ใดกันแน่?”
“เจ้าแฝงตัวอยู่ในกายนาง เจ้าควรจะรู้ว่าข้าคือใคร” ลู่เฉินยิ้มเย็นชา
ปีศาจจิ้งจอกหวนคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “เจ้า เจ้าคือนายน้อยตระกูลลู่?”
“รู้ก็ดีแล้ว!”
เมื่อได้ฟังคำตอบ ปีศาจจิ้งจอกเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที “ข้าไม่ได้ทำร้ายผู้ใดในตระกูลลู่!”
“เจ้าไม่ได้ทำร้ายคนตระกูลลู่ แล้วเหตุใดถึงไปจวนตระกูลลู่?” ลู่เฉินเอ่ยถามในสิ่งที่ตนต้องการคำตอบมากที่สุด แต่ปีศาจจิ้งจอกกลับตอบอย่างตะกุกตะกัก “ข้า ข้าทำเพื่อสิ่งหนึ่ง”
“สิ่งใดกัน?”
ปีศาจจิ้งจอกตอบด้วยความลนลาน “ศิลาผนึกปีศาจ”
“ศิลาผนึกปีศาจ?”
“ใช่!” ปีศาจจิ้งจอกพยักหน้า
“ศิลาผนึกปีศาจ ปกติจะใช้เพื่อปิดผนึกปีศาจ เหตุใดเจ้าถึงต้องการมัน?”
“ท่านยายสั่งให้ข้าทำ” ปีศาจจิ้งจอกเอ่ยด้วยความตระหนก แต่ลู่เฉินถามกลับด้วยความสงสัย “ท่ายยาย?”
“ใช่” ปีศาจจิ้งจอกยอมรับ
ลู่เฉินดูเหมือนจะไม่เชื่อตามที่ปีศาจจิ้งจอกกล่าว เขาจึงนำภูตกระดาษออกมาตรงหน้าปีศาจจิ้งจอก มันถึงกับเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก “เจ้า… คิดจะทำอะไร?”
“ถ้าไม่อยากตายก็จงหลับตาลงซะ”
ปีศาจจิ้งจอกสัมผัสถึงความน่ากลัวของลู่เฉินได้ ดังนั้นมันจึงร้อนรนทำตาม ซึ่งลู่เฉินก็ไม่รอช้า เขานำภูติกระดาษเข้าสู่ร่างของปีศาจจิ้งจอกทันที และเพราะความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ปีศาจจิ้งจอกจึงลืมตา ทว่าบัดนี้ภูตกระดาษก็ได้หลอมรวมกับร่างของปีศาจจิ้งจอกแล้ว ช้าเกินไปหากคิดจะบอกปัด!
ว่าแล้วลู่เฉินก็ค่อย ๆ อธิบายเรื่องภูตกระดาษให้ปีศาจจิ้งจอกฟัง ครั้นฟังแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนักจึงรีบกล่าวอย่างลนลานทันที “นายท่าน ข้า ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายพวกท่าน!”
“ไม่ต้องกลัวไป” ลู่เฉินค่อย ๆ หลับตาลง และมองภาพความทรงจำของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ
แท้จริงแล้วมีหญิงชราคนหนึ่งคอยเลี้ยงดู และหญิงชราผู้นี้ก็บ่มเพาะมานานนับพันปีทีเดียว!
เพียงแต่ลู่เฉินยังคงไม่เข้าใจ เหตุใดหญิงชราผู้นี้ถึงเจาะจงให้ปีศาจจิ้งจอกเข้ามาหาศิลาผนึกปีศาจในตระกูลลู่?
“ข้าขอร้อง ปล่อยข้าไปเถอะ!” ปีศาจจิ้งจอกร้องขอด้วยความกลัว
ลู่เฉินมองไปยังปีศาจจิ้งจอกแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจงโจมตีข้าต่อไป!”
“โจมตีท่าน?”
“ทำตามที่ข้าบอกก็พอ!” ลู่เฉินต้องการเปลี่ยนให้จุดชีวิตอีกจุดกลายกระแสน้ำวนโปร่งแสง แม้ปีศาจจิ้งจอกจะไม่เข้าใจ แต่ก็มันก็ยังคงทำตาม
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่เฉินจึงสามารถรวบรวมคลื่นน้ำวนโปร่งแสงกลุ่มที่ห้าได้สำเร็จ!
“ตอนนี้ปล่อยข้าไปได้หรือยัง?” ปีศาจจิ้งจอกถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลู่เฉินสั่งให้ตนหยุดลงมือ
ทว่าลู่เฉินกลับหันไปหยิบศิลาวิญญาณที่มีอักขระยันต์ออกมาจากเสื้อของอวิ๋นซาน จากนั้นก็หันไปยิ้มกับปีศาจจิ้งจอก “เจ้าจงเข้าไปซ่อนตัวด้านใน!”
“เพราะเหตุใด?” ปีศาจจิ้งจอกถามด้วยความหวาดกลัว แต่ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้มตอบ “ข้ากำลังคิดวิธีหาท่านยายของพวกเจ้า และขั้นตอนนี้… มันจะขาดเจ้าไปได้อย่างไร?”
“อะไรนะ!” ปีศาจจิ้งจอกหวาดกลัวขึ้นมาอีกหน
เมื่อลู่เฉินเห็นท่าทางหวาดกลัวของปีศาจจิ้งจอก เขาจึงกล่าวต่ออีกว่า “เจ้าบ่มเพาะมาถึงห้าร้อยปี แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้ายังไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้?”
คำถามนี้ปีศาจจิ้งจอกเองก็ต้องการคำตอบเช่นกัน ทว่านางก็ทำได้เพียงตอบกลับไปด้วยความขุ่นเคืองใจว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ ข้าก็คงไม่เข้าไปหลบซ่อนอยู่ในร่างของนางหรอก!”
“ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าหลุดพ้นจากการเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ แต่อันดับแรก เจ้าต้องช่วยข้าตามหาหญิงชรานางนั้นเสียก่อน!” ลู่เฉินยิ้มพลางอธิบาย
แม้จะได้ยินแบบนั้น ทว่าปีศาจจิ้งจอกยังคงรู้สึกกังวล “แต่ท่านยายบ่มเพาะมานับพันปี แล้วยังสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะตามหาเจอ…”
“สิ่งใดที่นางมักทำ เจ้ารู้หรือไม่?”
“ข้ารู้”
“เพียงแค่เจ้านำทางข้าไป ข้าย่อมมีวิธีที่จะตามหานาง” ลู่เฉินตอบกลับด้วยความมั่นใจ ทำให้ปีศาจจิ้งจอกเกิดความสงสัย “เจ้ามีวิธีจริงหรือ?”
“อืม”
แต่ปีศาจจิ้งจอกก็ยังคงมีความกังวลอยู่ “หากข้าบอกเรื่องราวของท่านยายไป ท่านยายต้องฆ่าข้าแน่ ๆ”
“หากเจ้าไม่พาข้าไป ข้าก็จะฆ่าเจ้าเช่นกัน และจะทำให้จิตวิญญาณเจ้าหายไปถาวรด้วย” ลู่เฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำเอาปีศาจจิ้งจอกตัวสั่นขึ้นมา “เช่นนั้นเจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถ้าข้าช่วยเจ้าตามหา เจ้าต้องทำให้ข้ากลายร่างเป็นมนุษย์ได้!”
“ตกลง!”
ครั้นได้ยินดังนั้นปีศาจจิ้งจอกพลันรู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นจึงเข้าไปในศิลาวิญญาณที่มีอักขระยันต์ก้อนนั้น
ลู่เฉินวางหินก้อนนั้นลง และเมื่อตรวจสอบอวิ๋นซานว่าไม่มีเหตุร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้น เขาจึงค่อย ๆ ลงจากรถม้า
ขณะนั้นท่านปู่ตระกูลลู่กำลังสนทนากับปิงหลิวหลีอย่างเพลิดเพลิน ลู่เฉินจึงกระแอมไอออกมา “พวกท่านคุยกันเสร็จหรือยัง?”
ปิงหลิวหลีเพียงหันกลับมายิ้ม “คุยเสร็จแล้ว!”
ท่านปู่ตระกูลลู่มองไปยังอวิ๋นซานและพบว่านางยังคงนอนหลับอยู่ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“เพียงแค่อ่อนเพลียเล็กน้อย พักผ่อนสักนิดคงดีขึ้น” ลู่เฉินตอบ ท่านปู่ลู่ถึงได้ถอนหายใจอย่างคลายกังวล
“ตระกูลเรา มีศิลาผนึกปีศาจหรือไม่?” ลู่เฉินหันมาถามชายชรา
ครั้นได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของท่านปู่ตระกูลลู่พลันเปลี่ยนไปทันที “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยบอกเจ้าเรื่องนี้!”
ลู่เฉินไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
ส่วนปิงหลิวหลีเองก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ศิลาผนึกปีศาจ?”
“อธิบายให้ข้าฟังทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น?” ลู่เฉินกล่าว
ชายชราลังเลอยู่ชั่วครู่ราวกับมีเรื่องราวปิดบังอยู่ ลู่เฉินจึงยิ้มออกมา “ไม่พูดตอนนี้ แล้วท่านคิดจะบอกข้าเมื่อใดกัน?”
ท่านปู่ตระกูลลู่จึงถอนหายใจออกมา “เรื่องก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เห็นทีคงต้องเล่าให้เจ้าฟังเสียแล้ว!”
ลู่เฉินได้ยินแล้วก็รับรู้ได้ในทันทีว่า… เรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่!
และแม้แต่ปิงหลิวหลีเองก็ยังเอ่ยว่า “ท่านปู่ลู่ ท่านรีบเล่ามาเถอะ ข้ารอฟังไม่ไหวแล้ว!”