ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 35 ตระกูลลู่ มีปีศาจซ่อนอยู่จริง!
บทที่ 35 ตระกูลลู่ มีปีศาจซ่อนอยู่จริง!
เถียนเฟิงรู้สึกว่ามีบางสิ่งเข้ามาอยู่ในศีรษะของตนเอง แต่เขากลับไม่รู้จะจัดการอย่างไรจึงทำให้รู้สึกร้อนใจขึ้นมา “เจ้า… เจ้าทำอะไรกับข้า?”
“ภูตกระดาษ!” ลู่เฉินยิ้มเยาะ
เถียนเฟิงไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใด จึงรู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น “อะไรคือภูตกระดาษ?”
“มันคือวิชาง่าย ๆ ชนิดหนึ่ง”
“ภูต… วิถีภูต!” เถียนเฟิงเบิกตากว้าง แต่ลู่เฉินทำเพียงยิ้มเยาะเท่านั้น “วิถีภูตวิชานี้ สามารถผสานเข้ากับจิตวิญญาณของเจ้า ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะคิดสิ่งใด ทำสิ่งใด ข้าจะสามารถสัมผัสได้ แล้วถ้าเจ้าคิดจะทรยศหักหลังข้า วิชานี้ก็จะทำให้เจ้าหมดสติ!”
“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่!” เถียนเฟิงตกใจกลัว
ลู่เฉินลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ข้า ลู่เฉิน!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าคือลู่เฉิน” เถียนเฟิงเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ส่วนลู่เฉินเองก็รู้ว่าอธิบายมากกว่านี้ไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทำเพียงมองและพิจารณาถึงช่วงความจำระยะสุดท้ายของเถียนเฟิงอย่างคร่าว ๆ
เมื่อมองแล้ว ลู่เฉินก็พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ดูประหลาด นั่นก็คือเรื่องที่คนเหล่านี้กล่าวร้ายถึงตระกูลลู่ว่ามีปีศาจแอบแฝงอยู่ …คล้ายว่าจะไม่ใช่การใส่ร้าย!
ลู่เฉินจึงถามกลับด้วยความสงสัย “ทหารยามของเจ้า ช่วงกลางดึกเคยเห็นปีศาจปรากฏกายจากคนตระกูลลู่งั้นหรือ?”
“เคย ช่วงกลางดึก ใคร ๆ ต่างก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ จากจวนตระกูลลู่ และหากมีทหารยามคนใดได้ไปตรวจสอบดู หลังจากกลับมาก็จะเกิดอาการประหลาดหรือไม่ก็กลายเป็นบ้าไป”
“คนพวกนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด?” ลู่เฉินถามด้วยสีหน้าสงสัย
“อยู่… อยู่ในสวนปิดตายนั่น”
“พาข้าไป!”
เถียงเฟิงไม่กล้าปฏิเสธใด ๆ รีบนำทางลู่เฉินไปยังสวนดังกล่าวทันที
สวนแห่งนี้ถูกล้อมด้วยรั้วสูงรอบทิศ ส่วนประตูก็ทำจากเหล็กหนา เหล่าทหารยามที่อยู่ด้านในดูแล้วราวกับคนบ้า บางครั้งยังทำร้ายกันเองเสียด้วย
“เจ้า เจ้าดู! คนพวกนั้นบ้าไปแล้ว!” เถียนเฟิงพูดอย่างร้อนรน
เห็นดังนั้นแล้ว ลู่เฉินก็ไม่รอช้า เขาเรียกใช้พลังจากจุดชีวิตทันที โดยดึงเอาพลังปีศาจจากสมัยชาติภพที่เป็น ‘จักรพรรดิปีศาจ’ ออกมา!”
อึดใจถัดมา ปราณและจิตวิญญาณของลู่เฉินก็พลันเปลี่ยนไป มันกลายเป็นพลังปีศาจสีม่วงเข้ม แต่มีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่สัมผัสได้ ขณะที่ผู้ฝึกตนซึ่งมีขั้นพลังอ่อนแออย่างเถียนเฟิงไม่อาจสัมผัสได้
จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างของลู่เฉินก็ปรากฏแสงสีม่วงจาง ๆ
‘เคล็ดวิชานัยน์ตาปีศาจ’ นี้ สามารถมองเห็นร่องรอยที่ปีศาจหลงเหลือไว้ได้ ลู่เฉินจึงใช้วิชานี้มองสำรวจผู้คนตรงหน้า ก่อนจะพบว่าบนร่างของพวกเขา… มีแสงสีม่วงเข้มปกคลุมอยู่!
และนี่ก็คือพลังที่พวกปีศาจทิ้งร่องรอยไว้ในร่างกายของคนพวกนี้ ซึ่งชายหนุ่มก็คาดว่าปีศาจตนนี้น่าจะอยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับสูง หรือไม่ก็ขั้นหลอมแก่นแท้ระดับต้นเป็นอย่างน้อย!
“ดูเหมือนว่าจะมีปีศาจจริง ๆ!” ลู่เฉินเลิกใช้ ‘เคล็ดวิชานัยน์ตาปีศาจ’ ก่อนจะหันไปกล่าวกับคนข้าง ๆ
เมื่อเถียนเฟิงเห็นว่าลู่เฉินยอมรับก็รีบเสริมต่อทันที “เห็นไหมเล่า ว่าข้าไม่ได้กล่าวร้ายตระกูลลู่ของเจ้า แต่ว่าตระกูลลู่ของเจ้ามีปีศาจจริง ๆ และตามข้อห้ามของราชวงศ์เราแล้ว หากพบปีศาจเมื่อใดก็ย่อมสามารถจับผู้คนมาตรวจสอบแล้วจัดการได้ทันที ก่อนจะนำเรื่องไปทูลรายงาน!”
“เรื่องปีศาจข้าจะตรวจสอบให้ชัดเจน แต่ว่าหลังจากนี้เจ้าต้องช่วยข้าจัดการเรื่องหนึ่ง!”
“ช่วย ข้าช่วยแน่นอน!” เถียนเฟิงรู้ว่าชีวิตของตนอยู่ในกำมือของลู่เฉิน ฉะนั้นจึงไม่คิดต่อต้านใด ๆ ซึ่งหลังจากชายหนุ่มสั่งการแล้ว เขาก็ออกจากจวนเจ้าเมืองไปทันที
เมื่อเถียนเฟิงเห็นลู่เฉินเดินจากไป เขาก็รู้สึกกลัวจนกระสับกระส่ายไปหมด
ทว่าเมื่อคิดถึงบางสิ่งแปลก ๆ ที่เข้าสู่หัวของตนเองเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็รีบสั่งการให้ยกเลิกหมายจับของตระกูลลู่ทั้งหมดทันที และหลังจากที่เถียนเฟิงคิดไตร่ตรองอยู่สักครู่หนึ่ง เจ้าตัวจึงเริ่มลงมือเขียนจดหมายบางอย่าง
…
ด้านนอกเมือง ท่านปู่ตระกูลลู่เห็นว่าลู่เฉินยังไม่ออกมาก็รู้สึกร้อนใจ “นี่… นี่มันนานเท่าไหร่แล้ว”
“ท่านปู่ลู่ วางใจเถอะ เขาต้องออกมาแน่นอน” ปิงหลิวหลีอดไม่ได้ที่จะปลอบใจอีกฝ่าย
ทว่าท่านปู่ตระกูลลู่ยังคงไม่สบายใจ “เขาไม่มีรากวิญญาณ ระดับขั้นก็อ่อนแอ ถ้าหากว่าท่านเจ้าเมืองลงมือขึ้นมา เขาต้องแย่แน่ ๆ!”
เมื่อปิงหลิวหลีได้ฟัง นางพลันฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เขาไม่พลิกจวนเจ้าเมืองก็ดีเพียงใดแล้ว”
“เขา… จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” ท่านปู่ตระกูลลู่ย่อมรู้ดีว่าความสามารถของลู่เฉินมีมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อปิงหลิวหลีได้ฟัง นางจึงเอ่ยถามความสงสัยที่กักเก็บไว้มานาน “หลานชายของท่านผู้นี้ ตอนที่กำเนิดออกมามีเหตุการณ์ประหลาดใดเกิดขึ้นหรือไม่?”
“เหตุการณ์ประหลาด?” ท่านปู่ตระกูลลู่เข้าใจดีว่าปิงหลิวหลีหมายถึงสิ่งใด ทว่าเขายังไม่ทันตอบสิ่งใด เจ้าสำนักสาวก็อธิบายต่อ “อย่างเช่นมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ พวกนิมิตอะไรบนท้องฟ้าอะไรเช่นนั้น?”
“เรื่องนี้ คล้ายว่าจะมีอยู่เหมือนกัน” ท่านปู่ตระกูลลู่กล่าวพลางพยักหน้า
“นิมิตอันใด?”
“ในจวนตระกูลลู่มีต้นไม้อยู่มากมาย ตอนที่เขากำเนิดออกมาต้นไม้พวกนั้นก็เกิดเหี่ยวเฉา แต่ไม่นานก็กลับมาฟื้นมีชีวิตดังเดิม” ชายชราอธิบาย
“แล้วยังมีเรื่องใดอีก?”
“มี! ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่กลับเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงถามถึงเรื่องราวเหล่านี้
ส่วนปิงหลิวหลีเมื่อได้ฟังคำตอบ นางก็พึมพำเสียงเบากับตัวเอง “มิน่าเล่า เขาถึงได้ประหลาดนัก…”
ในขณะเดียวกัน ลู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้น
ทันทีที่ชายชราเห็นลู่เฉิน เขาก็รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ “ยังโชคดี…”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของท่านปู่ ลู่เฉินจึงยิ้มออกมา “ข้าปลอดภัยแล้ว”
ส่วนปิงหลิวหลีถามขึ้นมาอย่างสงสัย “แล้วเจ้าเมืองเล่า?”
“จัดการแล้ว”
“จัดการ? เจ้าคงไม่ได้ฆ่าเขาใช่หรือไม่?” นางถามอย่างตื่นตระหนก ลู่เฉินจึงส่ายหน้า “เปล่า!”
แม้จะได้รับคำตอบกลับมา ทว่าสายตาของนางก็ยังดูเหมือนจะไม่เชื่อคำของลู่เฉิน แต่ชายหนุ่มไม่คิดสนใจ ทำเพียงมองไปยังบนรถม้าที่ขณะนั้นมีอวิ๋นซานนอนพักผ่อนอยู่ รวมถึงคนอื่น ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บก็นอนพักกันอยู่ริมทาง
ว่าแล้วลู่เฉินก็ใช้ ‘เคล็ดวิชานัยน์ตาปีศาจ’ ออกมาอีกครั้ง แล้วกวาดสายตามองโดยรอบ
เมื่อมองไปยังบ่าวไพร่ก็ไม่พบพลังปีศาจใด ๆ หรือแม้กระทั่งบนตัวท่านปู่ก็ยังไม่มี
กระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่อวิ๋นซานซึ่งนอนบาดเจ็บหมดสติอยู่ และพบว่าบนร่างของอวิ๋นซานมีกลิ่นอายปีศาจจิ้งจอกแฝงอยู่!
ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ซ่อนตัวอยู่ไม่แม้แต่จะขยับกาย ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นก็พลันเผยยิ้มเย็นชาออกมา “ช่างบังอาจนัก กล้ามาทำให้คนตระกูลลู่เดือดร้อนไปด้วย!”
แต่เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ชายหนุ่มจึงมองไปยังผู้คนที่อยู่รอบ ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าจะเข้าไปดูบาดแผลของอวิ๋นซานสักนิด พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน”
พูดจบลู่เฉินก็ขึ้นไปบนรถม้าและปิดหน้าต่างลง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ท่านปู่ตระกูลลู่ก็ร้อนใจขึ้นมา “หรือว่าเราควรไปที่ภูเขาเก้าสุขสงบ ให้หมอฉินตรวจดูสักนิดจะดีกว่าหรือไม่?!”
“ไม่จำเป็น ข้าทำได้” ลู่เฉินกล่าวอย่างยิ้ม ๆ แต่ท่านปู่ตระกูลลู่เหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง
แต่ปิงหลิวหลีกลับมองท่านปู่ตระกูลลู่ด้วยรอยยิ้ม และกล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน “วางใจเถอะ วิชาการแพทย์ของเขาเก่งกาจกว่าหมอฉินเสียอีก!”
“จริงหรือ?” ชายชราดูเหมือนจะไม่เชื่อ ลู่เฉินเป็นหลานชายของตน เขาทำอะไรได้บ้างมีหรือที่ตนจะไม่รู้
เจ้าสำนักสาวคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นจังหวะดีที่จะมีโอกาสได้รู้จักตัวตนของลู่เฉินมากขึ้น จึงลองถามด้วยความสงสัย “ท่านไม่รู้หรือว่าเขามีความรู้ด้านการแพทย์?”
“ตั้งแต่เล็กจนโตข้าเลี้ยงดูเขามาตลอด เขาทำอะไรได้บ้าง เรียนอะไรมาบ้าง ข้าต้องรู้แน่นอน” ชายชราตอบอย่างมั่นใจ
ปิงหลิวหลีได้ยินแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา และถามไปว่าลู่เฉินเคยไปที่ใดบ้าง หรือมีอาจารย์ท่านใดสอนสิ่งใดให้บ้าง
ท่านปู่ตระกูลลู่จึงค่อย ๆ เล่าเรื่องลู่เฉินตั้งแต่เล็กจนโตว่าเคยไปที่ใดมาบ้าง เคยเผชิญเรื่องราวใดมาบ้าง
ขณะเดียวกันภายในรถม้า ลู่เฉินหยิบศิลาวิญญาณออกมาจัดวางรอบ ๆ ก่อนจะเริ่มกระตุ้นมันให้สร้างม่านโปร่งแสงปกคลุมรอบพื้นที่นี้ไว้ ทำให้เสียงที่เกิดขึ้นภายในไม่อาจเล็ดรอดออกไปด้านนอกได้
และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ปีศาจจิ้งจอกหนีไปได้ ลู่เฉินยังใช้ศิลาวิญญาณที่ถูกสลักอักขระยันต์มาวางไว้ภายในเสื้อคลุมของอวิ๋นซานอีกด้วย
เดิมทีปีศาจจิ้งจอกไม่รู้ว่าลู่เฉินคิดทำสิ่งใด แต่เมื่ออักขระยันต์ถูกวางไว้ภายในเสื้อคลุม มันก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ไม่นานนัก มันก็เผยร่างจริงออกมา!