ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 33 ราชันย์กระบี่ร้อยคม ซือตู๋เทียน
บทที่ 33 ราชันย์กระบี่ร้อยคม ซือตู๋เทียน
เถียนเฟิงหวาดกลัวยิ่งนัก ถึงขนาดที่ว่าทำได้เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างฉงน “จ… จะ… โจมตี?”
“มัวยืนบื้ออันใด! ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว!!” สือเซียวซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับกลางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความน่าสะพรึงของปราณกระบี่พวกนี้ เขาจึงร้องสั่งเพราะคิดอยากจัดการลู่เฉินให้เร็วที่สุด!
เมื่อเถียนเฟิงเข้าใจคำสั่งดังกล่าวแล้ว เขาจึงรีบถ่ายทอดคำสั่งแก่พลธนูในบริเวณนั้นทันที “ยิง ยิงมัน!”
พลธนูต่างก็ดึงรั้นคันศรพลางโคจรลมปราณเข้าใส่ และพร้อมแล้ว… ที่จะเหนี่ยวนำลูกธนูปราณให้พุ่งตรงสู่เป้าหมายได้ทุกเมื่อ!
คันธนูเหล่านี้ไม่ใช่คันธนูธรรมดาทั่วไป แต่เป็นศาสตราวุธระดับต่ำ
เมื่อรวบรวมพลังเข้าด้วยกัน มันก็จะเปลี่ยนรูปกลายเป็นปราณธนูที่ทรงพลัง!
ฉับพลันนั้นเอง ปราณธนูก็ได้พุ่งออกไปหาลู่เฉินผู้เป็นเป้าหมาย
แม้จะเห็นดังนั้น ทว่าลู่เฉินก็ยังปล่อยปราณกระบี่นับสิบออกโจมตี!
ว่าแล้วปราณกระบี่เหล่านั้นก็พุ่งทะยานตัดสุญญะ มันทำลายม่านปราณของผู้นำตระกูลหลิว และส่งอีกสามเล่มที่เหลือพุ่งเสือกแทงร่างของเป้าหมาย ทำให้อีกฝ่ายถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนล้มลงกับพื้น
เมื่อลู่เฉินปล่อยปราณกระบี่ออกไปหมดสิ้น เขาพลันหันไปบอกเจี่ยลัวว่า “เจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี!”
เจี่ยลัวเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยถามใด ๆ เขาใช้พลังขั้นสร้างรากฐานปลดปล่อยพลังปราณสร้างม่าน และเมื่อมีม่านปราณเหล่านี้แล้ว ปราณธนูพวกนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ทว่าเจี่ยลัวกลับเป็นห่วงลู่เฉินมากว่า
อีกด้าน ณ จุดเดิม ปิงหลิวหลียังคงเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมด และนางรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก “นี่มันบ้าไปแล้ว จะไม่หนีงั้นหรือ?”
แต่ใครจะรู้ว่ารอบกายลู่เฉินจะปรากฏกำแพงโปร่งแสงสีน้ำตาลขึ้นรอบด้าน! ซึ่งกำแพงนี้ก็หนาถึงสองชั้นเลยทีเดียว!
ผู้คนต่างสงสัยว่านี่คือเคล็ดวิชาแบบใดกัน ?
จนกระทั่งปราณธนูเหล่านั้นพุ่งกระทบกับ ‘กำแพง’ ธนูเหล่านั้นก็พลันกระจายหายไปทีละดอก ส่วนลู่เฉินน่ะหรือ? ตัวเขาไม่แม้แต่จะถูกสะกิดปลายรูขุมขน!
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร?” บรรดาทหารยามต่างก็หวาดกลัวกันขึ้นมาบ้างแล้ว
ส่วนเถียนเฟิงเองก็รู้สึกจุกแน่นที่ลำคอขึ้นมา “น… นะ… นี่!”
สือเซียวที่เห็นภาพตรงหน้าเริ่มนั่งไม่ติด ขณะที่ปิงหลิวหลีกลับเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม “กำแพงพันชั้น?”
‘กำแพงพันชั้น’ คือเคล็ดวิชาในธาตุดิน มีพลังป้องกันสูง และถูกจัดเป็นอันดับหนึ่งจากบรรดาเคล็ดซึ่งอยู่ในหมวดของธาตุดิน
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันยังเป็นหนึ่งในวิชาธาตุดินซึ่งฝึกยากที่สุดวิชาหนึ่งอีกด้วย!!
แต่ลู่เฉินกลับร่ายเพียงครั้งเดียวก็สามารถเรียกออกมาได้ถึงสองชั้น!
แม้ชายหนุ่มจะตกเป็นเป้าของศัตรูโดยรอบ ทว่าลู่เฉินกลับดูเคร่งขรึมและสงบมาก เมื่อสร้างกำแพงดินขึ้นมาแล้ว เขาก็พลันกวาดสายตามองผู้คนที่ล้อมรอบแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไสหัวไป เช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน!”
อึดใจถัดมา ภาพที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว!
ลู่เฉินเริ่มร่ายเคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบ ก่อนจะส่งปราณกระบี่นับพันออกโจมตีไปทั่วทิศ และแน่นอนว่า… ผู้ฝึกตนที่มีขั้นพลังต่ำต้อยอย่างกลั่นลมปราณก็ไม่อาจต้านทานได้เลย พวกเขาบาดเจ็บก่อนจะล้มตายลงทีละคน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เถียนเฟิงหวาดกลัว เขาร้องสั่งให้ผู้ฝึกตนที่หลงเหลืออยู่มาโอบล้อมตนเองและสือเซียว
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกลับเดินเข้าไปหาอวิ๋นซานที่บาดเจ็บสาหัส
ว่าแล้วลู่เฉินก็รีบตัดเชือกที่มัดอวิ๋นซานออก จากนั้นจึงมอบนางให้เจี่ยลัวช่วยดูแล แต่เมื่อพบว่าบาดแผลบนร่างของอวิ๋นซานนั้นค่อนข้างสาหัส ดวงตาของลู่เฉินก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมา จากนั้นจึงหันมองไปยังกลุ่มคนที่ยังหลงเหลืออยู่พวกนั้น!
เมื่อเห็นสายตาเช่นนี้ เถียนเฟิงพลันเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกะ “ลู่… คุณชายลู่ ท่านอย่าวู่วามไป”
“วู่วาม?”
“ท่าน ท่านพึ่งทำร้ายผู้ตรวจการไป แล้วตอนนี้ท่านก็ทำร้ายคนในจวนเจ้าเมืองไปมากมาย ถ้าหากท่านยังทำผิดต่อไป ท่าน… ท่านอาจจะกลายเป็นนักโทษที่ราชสำนักต้องการตัวก็เป็นได้” เถียนเฟิงกล่าวขู่ลู่เฉิน
ไม่เพียงแค่เถียนเฟิงเท่านั้น เพราะแม้แต่หลู่หยวนที่ถูกเจี่ยลัวจับอยู่ยังพูดละล่ำละลักออกมา “ข้าเห็นด้วย ท่าน ถ้าท่านปล่อยข้าไป ท่านจะยังมีโอกาสพ้นผิดได้”
“โอกาสพ้นผิด?” ลู่เฉินยิ้มอย่างเย็นชา
เมื่อหลู่หยวนเห็นรอยยิ้มดังกล่าว เขาก็ไม่กล้าที่จะคาดเดาต่อไป ทว่าในจังหวะนั้นเอง จู่ ๆ ลู่เฉินก็พลันปล่อยหมัดออกมา และแรงกระแทกของมันนั้นก็มากพอที่จะทำให้หลู่หยวนสิ้นชีวิตลงในพริบตา!
การกระทำเช่นนี้ทำให้เจี่ยลัวรู้สึกตกใจยิ่งนัก!
“เท่านี้ปัญหาก็หายไปแล้ว” สิ้นประโยคสุดท้ายของลู่เฉิน ผู้คนโดยรอบต่างก็หวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะพวกเขาไม่มีใครคาดคิดว่าลู่เฉินจะกล้าลงมือปลิดชีวิตผู้ตรวจการได้!
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้านี้ทำให้เถียนเฟิงบ้าคลั่งในทันที ส่วนสือเซียวเองก็หวาดกลัวจนเหงื่อตก เขาเอาแต่พึมพำกับตัวเองว่า “เขาไม่มีรากวิญญาณ แต่เหตุใดกลับกลายเป็นน่ากลัวเช่นนี้?!”
ลู่เฉินยกกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง สือเซียวที่เห็นเช่นนั้นก็ลนลานหยิบบางสิ่งออกมา มันดูคล้ายกับนกกระดาษ และเมื่อบีบให้แตกออก ประกายสีเขียวบางอย่างก็ได้เกิดขึ้นก่อนจะจางหายไป
จากนั้นสือเซียวก็กล่าวออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ข้าจะบอกอะไรแก่เจ้า ข้าได้ส่งสารแก่ท่านอาจารย์ในสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้น… ทางที่ดีคือเจ้าควรรีบหนีไปซะ มิฉะนั้นเจ้าอาจจะต้องจบชีวิตลงแน่!”
“วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครมาก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น!” ลู่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา
ไม่มีใครคาดคิดว่าลู่เฉินจะบ้าได้ถึงเพียงนี้ และเมื่อได้ยินเช่นนี้สือเซียวเองก็ร้อนใจขึ้นมา “เจ้า… เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
“เจ้าทำร้ายข้าย่อมได้ แต่เจ้ากลับหันไปทำร้ายคนในตระกูลลู่แทน เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ?” สิ้นเสียงลู่เฉิน ปราณกระบี่มากมายก็ถูกปล่อยออกมา ก่อนเงากระบี่นับพันจะถูกบีบอัดจนเหลือเพียงสิบอีกครา!
บรรดาทหารยามที่อยู่ด้านหน้าเถียนเฟิง เมื่อหมดสิ้นแล้วซึ่งความกล้า พวกเขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป ต่างก็พากันรีบหนีออกไปด้วยความหวาดกลัวในทันที!
“กลับมา พวกเจ้ากลับมาหาข้าก่อน!” เถียนเฟิงเบิกตากว้างพลางตะโกนร้องเรียกเสียงดัง
ส่วนสือเซียวก็หวาดกลัวจนหน้าซีดเผือด
เมื่อเห็นลู่เฉินควบคุมปราณกระบี่นับสิบไปทางเถียนเฟิง อีกฝ่ายก็หวาดกลัวเสียจนล้มลุกคลุกคลาน ไม่กล้าแม้แต่จะคิดรับมือ ทำให้ปราณกระบี่ที่ถูกปล่อยออกมาพุ่งไปยังเสาหินต้นหนึ่งแทน!
ซึ่งความรุนแรงของปราณกระบี่ก็มากพอที่จะทำให้เสาหินหักพังและแตกกระจายออก!
สือเซียวที่อยู่ด้านข้างเสาหินนั้นถูกแรงกระแทกจากเศษหินเข้าเต็ม ๆ ทำให้เจ้าตัวต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
…ขณะที่ลู่เฉินกำลังจะลงมืออีกครั้ง จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น “หยุดมือ!”
ท่ามกลางสถานการณ์ในตอนนี้ ร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้น! เขาคนนี้มีใบหน้าที่เย็นชาและกำลังยืนเหยียบอยู่บนกระบี่บิน!
หลังจากผู้คนเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาก็พลันรู้สึกตกตะลึงงัน “ราชันย์กระบี่ร้อยคมแห่งสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์”
“อะไร? เขาคือราชันย์กระบี่ร้อยคม ซือตู๋เทียน?”
“ใช่ คือเขา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์”
ราวกับสือเซียวมองเห็นแสงแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง จึงรีบพาร่างที่อาบไปด้วยเลือดไปหาซือตู๋เทียนทันที “ท่านอาจารย์ ช่วย… ช่วยข้าด้วย!”
ซือตู๋เทียนวางสองมือไพล่หลัง และกล่าวกับลู่เฉินด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้ามีรากวิญญาณแล้ว?”
ทว่าลู่เฉินตอบกลับอย่างไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย “จะมีหรือไม่มีแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ทว่าซือตู๋เทียนคล้ายไม่สนใจฟัง เขากวาดสายตามองผู้คนรอบ ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่หลู่หยวนผู้สิ้นชีพ “เจ้าปลิดชีวิตผู้ตรวจการไปแล้ว ถ้าหากไม่อยากกลายเป็นนักโทษทางการก็จงติดตามข้ากลับไปสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นถึงจะรักษาชีวิตของเจ้าไว้ได้!”
“กลับสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์? เจ้าคิดว่าเป็นไปได้งั้นหรือ?” ลู่เฉินตอบกลับ
ซือตู๋เทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ด้วยวิชาความสามารถของเจ้า เพียงแค่กลับไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์และไปคุกเข่าสำนึกผิดกับเหล่าผู้อาวุโส เจ้าก็ย่อมสามารถกลับไปเป็นศิษย์สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิมได้ ถึงครานั้น พวกเราสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็จะส่งคนไปรายงานราชสำนักเพื่อช่วยแก้ต่างให้เจ้าเอง!”
เมื่อผู้คนได้ฟังคำของซือตู๋เทียน ก็พลันรู้ว่าอีกฝ่ายมาเพื่อพาตัวลู่เฉินกลับไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
แต่สือเซียวกลับไม่ยินดีด้วยสักนิด “ท่านอาจารย์ เหตุใจจึงต้องพาเขากลับไป?”
“ไอ้คนอัปยศ!” ซือตู๋เทียนตวาดขึ้น ทำให้สือเซียวหยุดคำพูดลงทันที จากนั้นซือตู๋เทียนก็หันไปกล่าวกับลู่เฉินต่อ “เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ลู่เฉินคลี่ยิ้มออกมา “อยากให้ข้ากลับไปสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์?”
“ใช่” ซือตู๋เทียนตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
“ได้ เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่อันใด?” ซือตู๋เทียนถามอย่างสงสัย
หากพิจารณาความสามารถของลู่เฉินก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียวหากสามารถพาอีกฝ่ายกลับไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะขอเพียงได้ฝึกฝนอีกหน่อย ชายหนุ่มผู้นี้ก็มีหวังมากทีเดียวที่จะได้เข้าร่วมกับแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามในอนาคต!
“ให้ผู้อาวุโสพวกนั้นมาคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าข้า แล้วก็ฆ่าคนที่ทำร้ายข้าทิ้งซะ” ลู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ทราบทันทีว่าลู่เฉินไม่ได้สนใจที่จะกลับไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย!
ขณะที่ทางด้านของซือตู๋เทียน เมื่อได้ฟังคำเช่นนั้นก็พลันขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าคิดหรือว่าเมื่อเข้าร่วมกับสำนักเก้าสุขสงบแล้ว พวกเขาจะออกมาปกป้องเจ้า?”
“ทำไมเล่า คิดไม่ได้หรือ?” ลู่เฉินถามกลับ
“ข้าจะบอกเจ้าให้ สำนักเก้าสุขสงบใกล้จะล่มสลายลงเต็มทีแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันจะถูกสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทำลายจนไม่เหลือร่องรอยใด ๆ!” ซือตู๋เทียนกล่าวอย่างมั่นใจ
ลู่เฉินพลันเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาอีกครั้ง “สิ่งที่จะหายไปจากประวัติศาสตร์ก็คือสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า!”
ซือตู๋เทียนไม่คิดว่าลู่เฉินจะไร้สติจนไม่ฟังคำใด ๆ ได้ขนาดนี้ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไร้สติจนไม่ฟังคำอะไรแล้ว!”
“เจ้าคิดจะทำอะไรข้า?” ลู่เฉินถาม ในขณะที่ซือตู๋เทียนตอบกลับอย่างเย็นชา “เห็นทีข้าคงต้องลงมือ… บังคับเจ้าให้กลับไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ให้ได้!”
พูดจบ ร่างของซือตู๋เทียนก็แผ่พลังปราณออกมา ภายในชั่วพริบตากระบี่นับร้อยก็พุ่งทะยาน ทว่ากระบี่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกระบี่จริง ๆ หาใช่ปราณกระบี่ไม่!!
ผู้คนต่างก็ตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้านี้ “ดูสิ เพียงชั่วครู่เขาก็สามารถควบคุมกระบี่นับร้อยได้แล้ว”
“ไม่แปลกที่เขาจะถูกเรียกขานว่าราชันย์กระบี่ร้อยคม!”
สือเซียวอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนต้องหันไปหัวเราะใส่ลู่เฉิน “เมื่อเจอกับอาจารย์ของข้า ชีวิตของเจ้าก็ถือว่าจบสิ้นแล้วล่ะ!”