ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 31 ไม่ยอมรับการกระทำเช่นนี้ย่อมได้! เช่นนั้นข้าจะแก้ได้ด้วยหมัดเดียว!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 31 ไม่ยอมรับการกระทำเช่นนี้ย่อมได้! เช่นนั้นข้าจะแก้ได้ด้วยหมัดเดียว!
บทที่ 31 ไม่ยอมรับการกระทำเช่นนี้ย่อมได้! เช่นนั้นข้าจะแก้ได้ด้วยหมัดเดียว!
ตระกูลลู่ในความทรงจำของลู่เฉินคือตระกูลผู้เสียสละ พวกเขาส่งนักรบผู้กล้าให้แก่ราชวงศ์ไปยังชายแดนมากมายมาเนิ่นนาน และยังทำผลงานไว้ไม่น้อย
และราชวงศ์ที่ว่านี้ก็คือราชวงศ์หนานโยวของแดนทักษิณาในปัจจุบัน
หากให้กล่าวแล้ว ตั้งแต่เมืองใหญ่ชั้นหนึ่งมาจนถึงเมืองเล็กชั้นห้า เมืองเหล่านี้ล้วนถูกควบคุมโดยราชวงศ์ แม้แต่เจ้าเมืองและทหารยามก็ยังเป็นคนของราชสำนัก
เหตุผลที่ตระกูลลู่สามารถตั้งรกรากในเมืองเฟิงเฉิงได้ย่อมเป็นเพราะครั้งหนึ่งเคยได้รับแผ่นป้ายทองคำจากราชวงศ์หนานโยว
แผ่นป้ายทองคำนี้นับเป็นเครื่องรางคุ้มครองของตระกูลลู่ ทำให้แม้ว่าตระกูลลู่จะโรยราไป แต่เจ้าเมืองและทหารยามของแต่ละเมืองเห็นมันก็ต้องสุภาพต่อตระกูลลู่ มิฉะนั้นหากฝ่าฝืนคำสั่งพวกเขาก็จะถูกราชสำนักลงโทษ
แต่ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าจวนเจ้าเมืองจะใส่ร้ายตระกูลลู่และจับคนตระกูลลู่ไป ซึ่งทำให้ลู่เฉินงงงวยจริง ๆ
ดังนั้นลู่เฉินจึงอยากรีบกลับไปดู และถือโอกาสดูว่าตระกูลลู่เป็นอย่างไรบ้าง
ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อมาถึงประตูเมืองก็ถูกทหารยามมาขวางเอาไว้ ส่วนหลิวหยุนซานรวมทั้งสมาชิกของตระกูลหลิวก็ปะปนกันอยู่ในฝูงชน
โดยเฉพาะหลิวหยุนซาน เมื่อเห็นลู่เฉินก็ร้องตะโกนอย่างดีใจว่า “มาแล้ว เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นกลับมาแล้ว!”
ผู้คนในเมืองต่างร้อนใจ ทยอยกันขอให้ลู่เฉินหนีไปโดยเร็ว แต่ทหารยามเหล่านี้กลับมาล้อมลู่เฉินเอาไว้ และหัวหน้าของพวกเขาก็เป็นชายแปลกหน้า
ชายผู้นั้นดูเย้ายวนนัก เพราะเขาเขียนคิ้ว และยิ่งไปกว่านั้นริมฝีปากก็แดงระเรื่อ ราวกับทาชาดสีแดงอย่างไรอย่างนั้น
และที่สำคัญที่สุดคือน้ำเสียงที่เหมือนสตรี
รู้สึกเหมือนดั่งนักแสดงในหอโคมเขียวอย่างไรอย่างนั้น
“เขาคือรุ่นสุดท้ายของตระกูลลู่?” ชายคนนั้นยิ้มอย่างมีเสน่ห์
ก่อนจะเป็นหลิวหยุนซานที่พูดอย่างตื่นเต้น “ใช่ เขาเอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ยิ้มให้ลู่เฉิน “เจ้าจะมอบตัวหรือจะให้พวกเราลงมือ?”
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงคิดจับคนตระกูลลู่?” ลู่เฉินเดาว่าการจับกุมตระกูลลู่นั้นเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นหัวหน้าผู้นี้ ซึ่งก็เป็นดั่งคาด คนที่เป็นผู้นำพลันฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย “ข้า… คือผู้ตรวจการหนึ่งดาวแห่งสำนักตรวจการ หลู่หยวน”
“สำนักตรวจการ? เป็นผู้รับผิดชอบดูแลตรวจสอบเจ้าหน้าที่ราชสำนักไม่ใช่หรือ? และตระกูลลู่ของข้าก็ไม่ได้รับราชการอีกต่อไปแล้ว และยังมาที่เมืองห่างไกลชั้นห้านี่อีก” ลู่เฉินถามอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ข้าคือผู้ดูแลตรวจสอบขุนนางของราชสำนัก และบรรพบุรุษของเจ้าล้วนเป็นขุนนาง ดังนั้นหากบรรพบุรุษของเจ้าทำอะไรไม่ดี ก็ทำได้แค่มาจับกุมชนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าก่อน แล้วค่อยกลับไปไต่สวน” หลู่หยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตระกูลลู่มีป้ายทองคำ เจ้าทำเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้ราชสำนักและไม่เป็นผลดีต่อเจ้าหรือ?” ลู่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา
หลู่หยวนยิ้มอย่างชั่วร้าย “เรื่องนี้ข้าจะจัดการที่จวนเจ้าเมืองในเมืองเฟิงเฉิง หากพบว่าตระกูลลู่ทำอะไรที่เป็นการกบฏต่อราชวงศ์ ข้าก็ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง!”
ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง?
เมื่อลู่เฉินได้ยินก็รู้ว่ามีคนคิดจะใช้ฐานะพิเศษของสำนักตรวจการจัดการกับตระกูลลู่
แต่ในตระกูลลู่นั้นนอกจากท่านปู่แล้วก็เหลือเพียงเขาเท่านั้น
ทว่าท่านปู่ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นมาเนิ่นนานแล้ว และความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือเขา โดยเฉพาะหลิวหยุนซานที่พูดอย่างหยิ่งยโสว่า “เจ้าล่วงเกินผู้อื่น เจ้าจบเห่แล้ว!”
“เอ๋? ล่วงเกินผู้อื่น?” ลู่เฉินจงใจล่อให้อีกฝ่ายบอกสถานการณ์ออกมา
และก็เป็นไปดังคาด หลิวหยุนซานหลุดปากออกมาอย่างตื่นเต้น “ใช่ เจ้าล่วงเกินศิษย์พี่สือ และตระกูลสือของเขาก็มีอยู่หลายคนที่ทำงานให้ราชสำนัก ดังนั้นหากพวกเขาคิดอยากจัดการเจ้า ย่อมทำได้ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินจึงเอ่ยกลับไปว่า “ข้าไม่ชอบสร้างปัญหา แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่องข้า เช่นนั้นข้าก็คงต้องทำตัวหยาบคายแล้ว!”
ทันทีที่เอ่ยจบ หลิวหยุนซานก็ก้าวถอยหลังทันทีและพูดกับหลู่หยวนอย่างร้อนใจว่า “ใต้เท้าหลู่ ท่าน ท่านดูนี่สิ เจ้าคนผู้นี้ช่างหยิ่งผยองนัก!
หลู่หยวนหยิบแผ่นป้ายที่มีดาวสลักอยู่ดวงหนึ่งออกมา ซึ่งนอกจากรูปดาวแล้ว มันก็ยังมีตัวอักษรคำว่า ‘ผู้ตรวจการ’ อยู่ด้วย ก่อนที่เจ้าตัวจะตะโกนบอกกับทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ว่า “ทุกคนฟังคำสั่ง!”
เหล่าทหารยามพากันรับคำทันที “ฟังคำสั่ง!”
“ชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ให้ความร่วมมือในการสืบสวน จับเขาไว้ ถ้าเขาต่อต้านก็ฆ่าได้ทันที!” คำสั่งของหลู่หยวนเป็นดั่งผ้ายันต์สำหรับทหารยาม ทำให้พวกเขา… กล้าที่จะลงมือ!!
ทันใดนั้นเหล่าทหารยามและคนตระกูลหลิวที่ปะปนอยู่ในกลุ่มทหารยามก็ลงมืออย่างฮึกเหิมในพลัน!!!
ฝูงชนที่มุงอยู่ต่างก็ทอดถอนใจ
“เฮ้ หากคุณชายตระกูลลู่ไม่กลับมา มันก็จบแล้วมิใช่หรือ?”
“ใช่ เพิ่งกลับมาแท้ ๆ แต่กลับรีบหาเรื่องใส่ตัวเสียเหลือเกิน”
หลิวหยุนซานที่อยู่ตรงนั้นตื่นเต้นยิ่ง และยังหัวเราะเยาะลู่เฉิน “ลองดูสิ ข้ามั่นใจว่าเจ้ามีความผิดฐานขัดขืนแน่!”
ลู่เฉินพลันกำมือขวาแน่นแล้วชกออกไปในทันใด!
หมัดนี้ตามมาด้วยแสงสีทองเป็นสาย
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
ภายในหมัดเดียวมีเงาหมัดถึงสิบเงากระทบร่างหลิวหยุนซานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลิวหยุนซานกระเด็นออกไปมากกว่าสิบก้าว และแม้แต่คนตระกูลหลิวที่อยู่ข้างหลังก็ยังถูกซัดกระเด็นไป
ฝูงชนพลันตกตะลึง
ทหารยามบางคนพูดตะกุกตะกักว่า “เขา เขาไม่ได้อยู่ขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าหรอกหรือ?”
“นี่… นี่มันระดับสิบแล้ว!”
”หรือว่าเขามีรากวิญญาณแล้ว?”
”ต้อง… ต้องใช่แน่ ๆ!”
เดิมทีทุกคนคิดว่าลู่เฉินไม่มีรากวิญญาณ ไม่อาจทะลวงขั้นพลังได้ และพลังก็มีแต่จะลดลง ทว่าจากที่ได้เห็นหมัดประหลาดเมื่อครู่ ทุกคนจึงเข้าใจว่าลู่เฉินมีรากวิญญาณแล้ว!
ส่วนหลิวหยุนซานที่คิดจะลุกขึ้น ทว่าเนื่องจากกระดูกทั่วร่างหัก สุดท้ายเขาจึงได้แต่พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “ช่วย… ช่วยข้าด้วย!”
แต่ไม่ว่าหลิวหยุนซานจะตะโกนออกมาอย่างไร สุดท้ายเขาก็ล้มลงอย่างทนความเจ็บปวดไม่ไหว ก่อนจะสิ้นลมไปทั้งแบบนั้น….
ตระกูลหลิวพลันตกใจจนแตกฮือ
ใบหน้าของหลู่หยวนดูไม่ได้เป็นอย่างมาก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าขัดขืนคำสั่ง?”
“หากไม่อยากตายก็อย่าไปยุ่งกับตระกูลลู่เลยดีกว่า มิฉะนั้น ข้าจะให้ท่านลอง ‘หมัดเสี้ยวทอง’ นี่!”
‘หมัดเสี้ยวทอง’ คือเคล็ดวิชาธาตุทองขั้นจิตวิญญาณ มันนับได้ว่าติดอยู่ในสามอันดับแรก และจัดอยู่ในเคล็ดวิชาหมัดระดับสุดยอด ซึ่งมันก็เป็นเช่นนี้มาหลายร้อยหลายพันปีจนถึงทุกวันนี้!
ทว่าตั้งแต่สมัยโบราณนั้น มีคนเรียนรู้เคล็ดวิชานี้ได้ไม่ถึงห้าคนเท่านั้น
ผู้ใดจะรู้ว่าที่ลู่เฉินลงมือเมื่อครู่… จะใช้สิ่งนี้! ประกอบกับที่ลู่เฉินเอ่ยชื่อหมัดนี้ หลู่หยวนพลันมีสีหน้าดูไม่ได้ “หมัดเสี้ยวทอง?”
ไม่เพียงแต่หลู่หยวนเท่านั้น แม้แต่ทหารยามที่อยู่ด้วยต่างก็หวาดกลัวและทยอยกันถอยหนี
เพราะระยะการโจมตีของ ‘หมัดเสี้ยวทอง” ไกลถึงสิบก้าว และเงาหมัดยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
ราวกับว่าลู่เฉินสามารถส่งออกกำปั้นสิบครั้งในคราวเดียว และเงาเหล่านี้ทับซ้อนกัน ก่อนตกลงมาบนร่างพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับต้น ทุกคนต้องมีอันกระดูกในร่างกายแตกเป็นแน่แท้!
ลู่เฉินไม่สนใจท่าทีตกใจของพวกเขา แต่มองไปที่หลู่หยวนและเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “คนตระกูลลู่ อยู่ที่ไหน!”
“ข้าเป็นผู้ตรวจการ และข้าสั่งให้เจ้ามอบตัวโดยเร็ว!” หลู่หยวนหยิบแผ่นป้ายออกมาขู่ลู่เฉินอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”
“เจ้าจะสู้กับสำนักตรวจการและราชสำนักหรือ?” ลู่หยวนขู่ลู่เฉิน
ทุกคนคิดว่าลู่เฉินจะไม่กล้ากำเริบ ถึงอย่างไรเสียอีกฝ่ายที่พูดเช่นนี้ก็เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก หากลู่เฉินทำอะไรกับเขาจริง ๆ ถึงยามนั้นลู่เฉินจะต้องพลอยมีโทษไปด้วยแน่!
ทว่าใครจะรู้ว่าลู่เฉินกลับชกออกไป
หลู่หยวนที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานระดับกลางรีบแผ่พลังปราณสีน้ำตาลเข้าปกคลุมกายอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
เดิมทีคิดว่าตนอยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับกลางจะสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าความเข้มข้นของพลังปราณในร่างกายของลู่เฉินที่ควบคู่ไปกับรากวิญญาณพิเศษ รวมทั้งเคล็ดวิชาหมัดที่แข็งแกร่ง จะทำให้หมัดที่ปล่อยออกไป… น่าสะพรึงยิ่ง!!
และในชั่วพริบตา ทุกคนพลันได้เห็นฉากสยองขวัญ!