ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 30 ข่าวร้ายของตระกูลลู่
บทที่ 30 ข่าวร้ายของตระกูลลู่
ผู้อาวุโสเฮยย่อมคิด แต่กลับแสดงออกแค่การแค่นหึแล้วเอ่ยว่า “อันใด? ใครใส่ร้ายเจ้า? เรื่องนี้เป็นความจริง!”
“ดูแล้ว คงไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว!” ลู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่ผู้อาวุโสเฮยหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าสังหารคนไปมาก ยังคิดกล้าดีอีกหรือ?”
ยามนั้นเอง ปิงหลิวหลีพลันถอดหน้ากากออก
เมื่อทุกคนเห็นปิงหลิวหลี บทสนทนาก็หยุดลง บางคนถึงขนาดตกใจจนพูดตะกุกตะกัก “ท่าน… ท่านเจ้าสำนัก!”
ผู้เฒ่าอ้วนกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านเจ้าสำนัก!”
ตอนนั้นเอง เจี่ยลัวถึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือเจ้าสำนักเก้าสุขสงบ แต่เขาแค่ไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าเหตุใดเจ้าสำนักอย่างปิงหลิวหลีถึงได้เกรงอกเกรงใจลู่เฉินนัก!
เจี่ยลัวอยากรู้เรื่องนี้ยิ่งนัก ในขณะที่สีหน้าของผู้อาวุโสเฮยก็เปลี่ยนไปหลายครั้ง หลังใช้เวลาครู่หนึ่งเขาก็จัดการความคิดตนเองได้ แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดถึงมาอยู่กับเขาได้!”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสเฮยเท่านั้น คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์จำนวนไม่น้อยก็ตกใจจนขวัญกระเจิงเช่นกัน ราวกับว่าทำสิ่งไม่ดีมาอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าไปฝึกที่หุบเขาอสูรเมฆากับบุตรศักดิ์สิทธิ์ มีปัญหาอันใดหรือ?” ปิงหลิวหลีกล่าวอย่างเย็นชา
ผู้อาวุโสเฮยสะดุ้ง แต่ตอนนั้นก็ไม่มีทางให้ถอยแล้วจึงรีบพูดว่า “นั่น”
“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าได้รับจดหมายจากหยานเยว่หรือ?” ปิงหลิวหลีเอ่ยถามอย่างเย็นชา ในขณะที่ผู้ผู้อาวุโสเฮยตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ใช่”
“แสดงให้ข้าเห็น!” ปิงหลิวหลีจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสเฮย ส่วนผู้อาวุโสเฮยก็พูดไปเรื่อย แค่เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าสำนักอยู่ข้างกายลู่เฉิน
ดังนั้นหน้าผากของผู้อาวุโสเฮยจึงเริ่มมีเหงื่อผุดออกมา
แต่ยามนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางให้หนีแล้ว ดังนั้นผู้อาวุโสเฮยจึงจงใจหยิบจดหมายและเดินไปทางปิงหลิวหลี แต่เมื่อเขาอยู่ห่างจากปิงหลิวหลีแค่สามก้าว เข็มบินก็พุ่งออกมาจากจดหมาย!
เข็มบินนั้นรวดเร็วมาก
ทว่าปิงหลิวหลีได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่อาจระเบิดพลังของวิญญาณก่อกำเนิดได้ ส่วนผู้อาวุโสเฮยนั้นเห็นได้ชัดว่าอยู่ในขั้นหล่อมแก่นแท้นระดับสมบูรณ์พร้อมแล้ว เขาจึงโจมตีในระยะใกล้เช่นนี้
ปิงหลิวหลีเบิกตากว้างขึ้นเพราะไม่รู้ว่าจะต้านทานอย่างไร
ผู้เฒ่าอ้วนเองก็ถึงกับเบิกตากว้าง “ไอ้สารเลว!”
และในยามนั้นเอง! กระบี่สยบเก้าทิศของลู่เฉินก็บินออกมา ก่อนจะส่งปราณกระบี่ขัดขวางเข็มบินนั้น และส่งแรงผลักกระแทกออกชนจนผู้อาวุโสเฮยกระเด็นลอยไปไกล
ฝูงชนพลันหวาดกลัว
ปิงหลิวหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดอย่างโกรธจัดว่า “เจ้ากล้าลอบสังหารข้าหรือ?”
ผู้อาวุโสเฮยไม่พูดจา กลับมองลู่เฉินและตวาดอย่างดุดันว่า “เจ้าหนู ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
หลังจากที่เขาเอ่ยจบ พลังอันน่าสะพรึงในจุดตันเถียนของผู้อาวุโสเฮยก็ระเบิดออก
“เผ่าไหม้แก่นแท้?” ปิงหลิวหลีพลันตกใจ ส่วนผู้เฒ่าอ้วนนั้นตกใจยิ่งกว่า “ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว?”
ลู่เฉินเผยสีหน้าเย็นชา จากนั้นเขาก็เหวี่ยงกระบี่สยบเก้าทิศอีกครั้ง พลังปราณไหลบ่าออกมา จากนั้นปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าโจมตีใส่ร่างของผู้อาวุโสเฮย!
ร่างของผู้อาวุโสเฮยเป็นรูพรุน จากนั้นก็ล้มตึงลงทันที
แต่ลู่เฉินกลับเห็นเงาสีดำวาบผ่านในร่างของอีกฝ่าย จากนั้นมันก็หายตัวไปจากจุดเดิม
ศิษย์ ณ ที่นั่นล้วนไม่รู้และแม้แต่ผู้เฒ่าอ้วนก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ แต่ปิงหลิวหลีกลับรู้สึกแปลกใจ “ดูเหมือนเมื่อครู่จะมีสิ่งแปลกประหลาดออกไปจากร่างของเขา?”
“จิตวิญญาณ” ลู่เฉินตอบ
“ในแก่นแท้มีจิตวิญญาณซ่อนอยู่?” ปิงหลิวหลีตกใจ
ส่วนลู่เฉินก็อธิบายว่า “เขาน่าจะเคยฝึกฝนวิถีภูต ดังนั้นจึงสามารถซ่อนจิตวิญญาณไว้ในแก่นแท้ได้ และแม้ว่ากายเนื้อของเขาจะถูกทำลาย เขาก็สามารถปล่อยให้จิตวิญญาณหนีไปได้อย่างรวดเร็ว!”
ปิงหลิวหลีพลันตกตะลึง “ข้าไม่นึกเลยว่าเขาจะฝึกฝนวิถีภูตด้วย!”
ส่วนศิษย์คนอื่น ๆ ก็หวาดผวา ทยอยกันบอกว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้อง และขอให้เจ้าสำนักปล่อยพวกเขาไป ปิงหลิวหลีจึงออกคำสั่งผู้เฒ่าอ้วนทันที “ผู้อาวุโสผาง ศพเหล่านี้ก็ให้เจ้าเป็นผู้ฝังก็แล้วกัน”
”ขอรับ!” ผู้เฒ่าอ้วนตอบ
“ให้ศิษย์ทั้งหมดกลับไปที่สำนักเก้าสุขสงบ ห้ามลงจากภูเขา!” ปิงหลิวหลีสั่งอีกครั้ง
ผู้เฒ่าอ้วนพลันตกตะลึง “ท่านเจ้าสำนัก นี่มัน”
“ผู้อาวุโสเฮยคนนี้ไม่ธรรมดา!” ปิงหลิวหลีมักรู้สึกเสมอว่าผู้อาวุโสเฮยจะหวนกลับมาอีก ทำให้ผู้เฒ่าอ้วนได้แต่ตอบกลับมาว่า “ขอรับ!”
จากนั้นผู้เฒ่าอ้วนก็ขอให้ศิษย์เหล่านั้นช่วยกำจัดศพทั้งหลาย
ลู่เฉินที่อยู่ด้านข้างพลันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะดูแลสำนักด้วยความประณีตบรรจง!”
“ข้าก็เป็นเช่นนี้มาตลอด!” ปิงหลิวหลีที่ได้รับคำชมรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ส่วนลู่เฉินก็ยิ้มอย่างจนปัญญา “ช่วงนี้เจ้าอยู่ในถ้ำสุขสงบของเจ้าเถิด!”
”เพราะเหตุใด?”
“เจ้าได้รับบาดเจ็บ และผู้อาวุโสเฮยก็อาจเอาความโกรธมาลงที่เจ้า!”
“มาก็มา ข้ากลัวเขาหรือ?” ปิงหลิวหลีพูดอย่างมีน้ำโห ส่วนลู่เฉินก็ฉีกยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”
“จะไปไหนหรือ?” ปิงหลิวหลีได้ยินว่าลู่เฉินกำลังจะจากไปก็ร้อนใจทันที
ลู่เฉินต้องเติมเต็มจุดชีวิตที่เหลืออยู่ เขาจึงเอ่ยว่า “ข้าจะไปฝึกฝน”
“แต่หากไปคนเดียวมันอันตรายยิ่ง”
“วางใจ ผู้ที่ทำให้ข้าตายได้ยังไม่ปรากฏตัว!” ลู่เฉินยิ้มอย่างมั่นใจ จากนั้นก็พาเจี่ยลัวจากไป
ส่วนปิงหลิวหลี นางก็ได้เอ่ยอย่างสงสัยว่า “แล้วเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“เมื่อใกล้งานประลองสิบสำนัก ข้าจะกลับมา!” หลังจากที่ลู่เฉินกล่าวจบ เขาก็บอกลานาง ปิงหลิวหลีรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย และพึมพำกับตัวเองว่า “เหตุใดข้าถึงอยากไปกับเขาด้วยนะ? ”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ปิงหลิวหลีก็หันกายไปพบผู้อาวุโสไป๋อู่จิน
“อาวุโสไป๋ เจ้ารู้เรื่องผู้อาวุโสเฮยหรือไม่?” ปิงหลิวหลีมองไป๋อู่จิน ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ได้ดูแลให้ดี!”
“เอาล่ะ ข้าไม่ได้จะเอาผิดเจ้า”
“เจ้าสำนัก แล้วจากนี้ท่านจะ…?” ไป๋อู่จินกำลังจะเอ่ยถามจนจบ ปิงหลิวหลีก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ข้าต้องกักตนสักระยะ และในช่วงเวลานี้ สำนักนี้จะมอบให้เจ้าจัดการ หากมีความเปลี่ยนแปลงอันใด อย่าลืมส่งจดหมายให้ข้า!”
ไป๋อู่จินตอบว่า “ขอรับ!”
ครู่ต่อมาปิงหลิวหลีพลันสวมหน้ากากแต่งตัว และหายตัวไปจากบริเวณนั้น
…
หลังจากที่ลู่เฉินและเจี่ยลัวลงจากภูเขาเก้าสุขสงบ ขณะผ่านเมืองเฟิงเฉิง คนตัดฟืนที่อยู่นอกเมืองเห็นลู่เฉินเข้า เจ้าตัวพลันก็รู้สึกประหลาดใจ “เจ้าไม่ใช่นายน้อยของตระกูลลู่หรือ?”
“อืม” ลู่เฉินส่งเสียงตอบรับ
คนตัดไม้วางท่อนไม้ลงแล้วมองไปรอบ ๆ พลางพูดว่า “เจ้ารีบหนีไปเถิด ไปได้ไกลเท่าไหร่ก็เท่านั้น!!”
“หนี?” ลู่เฉินสงสัยว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“ตอนนี้ในเมืองมีประกาศจับเจ้าอยู่ทุกที่!” คนตัดฟืนพูดอย่างร้อนใจ ส่วนลู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “ประกาศจับข้า?”
“เจ้าเมืองบอกว่าร้านค้าตระกูลลู่ของเจ้าขายสินค้าปลอม ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าตรวจสอบ และยังบอกว่าตระกูลลู่ของเจ้าเลี้ยงปีศาจ จึงยึดทุกอย่างของตระกูลเจ้าไป!” คนตัดฟืนเอ่ยมาถึงยามนี้ก็ถอนหายใจ ราวกับว่ากำลังเสียดายแทนตระกูลลู่อย่างไรอย่างนั้น
ลู่เฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม “คนของตระกูลลู่ล่ะ?”
“ตระกูลลู่? แน่นอนว่าพวกเขาถูกขังอยู่ในจวนเจ้าเมืองแล้ว” คนตัดฟืนถอนหายใจ ขณะที่ลู่เฉินมองไปที่เจี่ยลัว “ไปกันเถอะ!”
เมื่อคนตัดฟืนเห็นพวกลู่เฉินวิ่งเข้าไปในเมืองก็พูดอย่างกังวลว่า “นายน้อยลู่ อย่า อย่ากลับไปนะ! ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นจะจับเจ้า!”
แต่ไม่ว่าคนตัดฟืนจะตะโกนอย่างไร ลู่เฉินก็ยังวิ่งไปทางเมืองเฟิงเฉิง ในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยว่า “ผู้ใดเป็นคนสั่งท่านเจ้าเมือง เหตุใดเขาจึงได้กล้าทำเช่นนั้นกับตระกูลลู่?”