ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 3 ถูกเย้ยหยันที่สำนักเก้าสุขสงบ
บทที่ 3 ถูกเย้ยหยันที่สำนักเก้าสุขสงบ
หลังจากที่เถียนซินเมิ่งกล่าวเช่นนั้นออกมาแล้ว นางก็หันหลังและจากไปทันที
ประมุขลู่ที่เห็นดังนั้นจึงขอให้อวิ๋นซานส่งนางกลับ ก่อนจะหันมามองลู่เฉินคล้ายต้องการจะกล่าวบางอย่าง
แต่ลู่เฉินกลับเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ข้ากำลังจะไปสำนักเก้าสุขสงบ”
“สำนักเก้าสุขสงบ?” ประมุขลู่ตะลึงงัน ไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังคิดทำอันใด
ลู่เฉินรู้ว่าหากตนไม่บอกเหตุผลออกไป อีกฝ่ายย่อมรู้สึกไม่สบายใจ เขาจึงชี้ไปที่ฉินหลิน แล้วกล่าววาจา “เขาต้องการพาข้าไปที่สำนักเก้าสุขสงบ เพื่อหาทางให้ข้าฟื้นฟูรากวิญญาณ”
เมื่อประมุขลู่ได้ยินเช่นนี้ก็พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “หมอฉินหลิน มันเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”
“ใช่” ฉินหลินตอบพลางแสดงสีหน้ากระดากอายเล็กน้อย
ประมุขลู่ได้ยินดังนั้นก็คว้าจับมือของฉินหลินไว้แน่น “พ่อของเขามีเพื่อนเช่นเจ้า ก็นับว่าลูกของข้าได้ตายตาหลับแล้ว!”
ฉินหลินรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ ทว่าเขาก็ยังคงเออออตามคำพูดเหล่านั้น
ทันใดนั้นก็คล้ายกับว่านึกบางอย่างขึ้นมาได้ ฉินหลินพลันหันสบตากับประมุขลู่ แล้วกล่าวว่า “ถ้าท่านต้องการอะไร ก็ให้ใครสักคนไปที่สำนักเก้าสุขสงบแล้วเรียกหาข้า!”
“ตกลง!” ประมุขลู่พยักหน้าพลางก้าวไปหาลู่เฉิน ก่อนจะสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยมืออันมีรอยย่น “เจ้าต้องฟังหมอฉิน อย่าใช้อารมณ์ รู้หรือไม่?”
อย่าใช้อารมณ์? นี่ข้าขี้โมโหขนาดนั้นเชียวหรือ?
ลู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลังจากนั้น ประมุขลู่ก็จัดแจงเก็บของให้ลู่เฉินด้วยตัวเองก่อนจะเดินมาส่งคนทั้งคู่ออกจากจวน
หากชายชราไม่แก่เกินไป คาดว่าคงเดินมาส่งพวกเขาทั้งคู่ถึงหน้าเมืองเลยทีเดียว
ทว่าด้วยความชราภาพ ประมุขลู่จึงได้แต่มองตามแผ่นหลังของพวกเขาที่กำลังเดินจากไป ก่อนที่จู่ ๆ ดวงตาของเขาจะกลายเป็นสีแดงและคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
ฉินหลินมองดูลู่เฉินซึ่งมีท่าทีคล้ายกับไม่แยแส จึงถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าไม่คิดกล่าวคำอันใดกับปู่ของเจ้าบ้างเล่า?”
“ท่านก็เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนเช่นไร หากข้าทำเช่นนั้น มีหวังเขาคงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ และอาจร่ำไห้กลางที่สาธารณะด้วยซ้ำไป!” ลู่เฉินตอบอย่างจนใจ
ฉินหลินไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่าจะเป็นเช่นนั้น จึงได้แต่ยักไหล่เล็กน้อย “นับว่าเจ้ายังรู้จักปู่ของตัวเองดี!”
ลู่เฉินไม่ได้ตอบกลับ และยังคงเดินทางต่อไป
….
ครั้นถึงยามค่ำ ลู่เฉินก็ได้เดินทางมาถึงสถานที่ที่คุ้นเคยอย่าง ‘ภูเขาเก้าสุขสงบ”
ทว่าภูเขาเก้าสุขสงบที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้… แตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง! ถึงขนาดที่ว่ามีร่องรอยของการแตกหักพังทลาย อีกทั้งยังมีช่องโหว่ตามแนวป้องกันอยู่เต็มไปหมด
“นี่มันช่าง…” เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ ลู่เฉินก็ได้แต่ถอนหายใจ
ฉินหลินรู้ว่าลู่เฉินเคยเป็นถึงอัจฉริยะผู้หนึ่ง และเคยไปที่สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงพูดอย่างกระดากอายว่า “สำนักเก้าสุขสงบของเรา แม้ว่าจะอ่อนแอกว่าสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก แต่มันก็มีประวัติอันยาวนาน”
…และนั่นคือทั้งหมดที่หมอฉินผู้นี้สามารถอวดอ้างได้
อย่างไรก็ตาม ลู่เฉินไม่สนใจว่ามันจะย่ำแย่เพียงใด เขาเลือกที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ภายในและเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
”เช่นนั้นก็เชิญ”
ฉินหลินพาลู่เฉินไปยังห้องโถงของสำนักบนภูเขาเก้าสุขสงบ
เมื่อทุกคนได้ยินว่าฉินหลินคิดจะให้ลู่เฉินเข้ารับการทดสอบเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันที่ห้องโถงเพื่อจับจ้องมองดูด้วยความสนใจ
ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังพากันจับกลุ่มนินทา
“นี่คือโจรที่ขโมยคัมภีร์จากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินมาว่าคู่หมั้นของเขาหนีไปกับชายอื่น!”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเขาไม่มีรากวิญญาณ!”
“ไม่มีรากวิญญาณ เช่นนั้นเขาจะมาทำที่นี่ทำไมกัน?”
“เขาคงคิดว่าเพราะเราตกต่ำ จึงคิดจะทำให้เรายอมลดมาตรฐานในการรับศิษย์งั้นหรือ?”
“นั่นสิ เขาคิดอันใดในหัวกันแน่?”
เห็นได้ชัดว่าหลายคนรังเกียจลู่เฉิน ผนวกกับความไม่ชอบใจสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เป็นทุนเดิม อีกทั้งลู่เฉินยังเคยเป็นศิษย์จากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์มาก่อน!!
“เหตุใดพวกเจ้าจึงมายืนออกันที่นี่มากมายนัก ว่างมากนักหรือ?” ทันทีที่ฉินหลินกล่าวคำออกมา คนเหล่านี้ก็พากันสงบปากลงทันที เห็นได้ชัดว่าฉินหลินมีตำแหน่งที่สูงไม่น้อย
ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาที่เงียบลง ฉินหลินก็หันไปเตือนลู่เฉินว่า “เจ้าต้องเตรียมใจให้ดี!”
ขณะนั้นภายในห้องโถงได้มีผู้อาวุโสสามคนเดินเข้ามา คนหนึ่งเป็นชายรูปร่างสูงแต่งกายด้วยชุดขาว ผิวพรรณขาว แม้กระทั่งขนคิ้วก็ยังเป็นสีขาว เขาคือผู้อาวุโสใหญ่ของที่นี่… นามว่า ไป๋อู่จิน
ส่วนคนที่สอง คนผู้นี้รูปร่างผอมแห้ง ผิวกายดำคล้ำ แม้กระทั่งใบหน้าก็ยังเป็นสีเดียวกับผิวกาย เขาก็คือผู้อาวุโสรองของที่นี่ นามว่า เฮยเหย้า
ผู้อาวุโสทั้งสองคนนั่งอยู่ที่นั่น คนหนึ่งขาว คนหนึ่งดำ ดูแล้วช่างกลมกลืนแต่ก็ขัดตาพิกลนัก
ในขณะที่คนที่สามนั้นค่อนข้างอ้วนไปหน่อย และปากก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ราวกับว่าเขาเพิ่งกินหมูสามชั้นมาอย่างไรอย่างนั้น
ชายชราร่างอ้วนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสคนที่สาม เขามีพุงขนาดใหญ่ที่สั่นไหวไปมาขณะเคลื่อนกายเข้าหาฉินหลิน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มกระซิบถ้อยคำบางอย่างกับฉินหลิน “ข้าขอบอกเจ้าก่อนเลยว่าพี่รองเฮยนั้นโมโหมาก!”
“ข้ารู้” ฉินหลินเองก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว
เมื่อเห็นว่าฉินหลินเข้าใจแล้ว ผู้เฒ่าอ้วนจึงกวาดสายตามองขึ้นลงเพื่อสำรวจลู่เฉิน ก่อนจะกล่าวด้วยความเสียดายว่า “ถ้ารากวิญญาณยังอยู่ เจ้าย่อมสามารถทดสอบได้ แต่เมื่อไม่มีรากวิญญาณแล้ว หากคิดจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์… เห็นทีตัวเจ้าคงลำบากกว่าเดิมไม่น้อย!”
ขณะนั้นผู้อาวุโสเฮยก็เปล่งเสียงอันเข้มงวดขึ้นมา “พวกเราสำนักเก้าสุขสงบ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ดังเช่นแต่ก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครหน้าไหนก็จะสามารถเข้าร่วมสำนักและกลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้!”
ผู้อาวุโสไป๋ไม่ได้กล่าวสิ่งใด และยังคงนั่งสงบนิ่ง
ฉินหลินรีบเอ่ยปากเพื่อเกลี้ยกล่อม “ผู้อาวุโสเฮย ไหนว่าพวกเราสำนักเก้าสุขสงบไม่เคยสนใจที่มาที่ไปในอดีตเก่าก่อนไม่ใช่หรือ?”
“เราไม่สนใจที่มาที่ไปก็จริง ทว่าตำแหน่งของบุตรศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างออกไป มันต้องไม่ใช่แค่ใครก็ได้!” ผู้อาวุโสเฮยตอบอย่างขุ่นเคือง
ในขณะที่ผู้เฒ่าอ้วนกระซิบกับฉินหลินอีกรอบ “ฉินหลิน เจ้ารีบพาเขาออกไปเถิด ไม่เช่นนั้นเมื่อผู้อาวุโสรองบันดาลโทสะขึ้นมา เห็นทีคงยากแล้วที่เขาจะได้กลับไป!”
ฉินหลินมีท่าทีไม่เต็มใจนักเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
ทว่า…
ลู่เฉินกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าอยากรู้ว่าข้ามีความสามารถเพียงใด พวกท่านก็ลองให้ข้าเข้าทดสอบการเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ เพียงเท่านี้พวกท่านก็จะได้รับรู้แล้วไม่ใช่หรือ?!”
เมื่อทุกคนในที่นี้ได้ยินว่าลู่เฉินต้องการเข้าทดสอบ ผู้คนทั้งสำนักก็พากันโวยวายขึ้นมาทันที
“เด็กคนนี้บ้าหรือเปล่า อยากจะลองทดสอบอย่างนั้นหรือ?”
“เขาไม่รู้หรือว่าการทดสอบนี้ยากแค่ไหน?”
“ถ้าเขาไม่ระวัง อาจถูกกระบี่ทำร้ายถึงตายได้เลยนะ!”
กระบี่งั้นหรือ? จะใช่กระบี่สยบเก้าทิศหรือไม่? หรืออาจเป็นกระบี่ที่จำลองมาจากกระบี่สยบเก้าทิศของจริงก็ได้
ในอดีต จิ่วโหยวเคยใช้กระบี่จำลองเล่มนี้เพื่อคัดเลือกบุตรศักดิ์สิทธิ์ ทว่าชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังแม้แต่น้อยว่าจนกระทั่งตอนนี้… กระบี่ที่ว่าก็ยังคงถูกใช้งานอยู่!
สิ่งนี้ทำให้ลู่เฉินแอบหัวเราะในใจ ‘จิ่วโหยวผู้นี้นี่ …ช่างขี้เกียจเสียจริง!’
ทุกคนไม่รู้ว่าลู่เฉินคิดอะไรอยู่ แต่ในจังหวะนั้น… ผู้อาวุโสเฮยพลันลุกขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าอยากตายมากนัก …เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนาเอง!”
พูดจบก็มองไปที่ผู้อาวุโสไป๋ หากแต่ผู้อาวุโสไป๋ก็ยังคงไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงแค่ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องโถง
ผู้เฒ่าอ้วนหันไปมองลู่เฉินและฉินหลิน แล้วเอ่ยว่า “ข้าขอบอกก่อนเลยนะ ฉินหลิน… เจ้ากำลังจะฆ่าเขาทางอ้อม!”
ครั้นฉินหลินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จึงหันไปถามลู่เฉินเพื่อยืนยันอีกครั้ง “เจ้า… เจ้ายังต้องการที่จะทดสอบหรือไม่?”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามนั้นตามตรง แต่เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ!” ก่อนจะเดินออกจากห้องโถง มุ่งตรงเข้าไปภายในสำนักเก้าสุขสงบ
ไม่นานนัก ทุกคนในสำนักที่ติดตามมา รวมทั้งลู่เฉินเองก็ได้มาถึงจัตุรัสแห่งหนึ่ง ก่อนจะพบว่ามีกระบี่สีดำลอยอยู่!
กระบี่สีดำเล่มนี้สูงจากพื้นราวสามฉื่อ*[1] มันนิ่งไม่ไหวติง ราวกับถูกตรึงไว้ที่นั่น
ผู้อาวุโสเฮยชี้ไปยังกระบี่สยบเก้าทิศ และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “วางมือของเจ้าบนกระบี่ ถ้าเจ้าสามารถเรียกกระบี่ปราณออกมาได้ห้าเล่ม เจ้าก็จะได้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเรา!”
กระบี่ปราณห้าเล่ม!
สำหรับผู้คนในสำนักแห่งนี้ กระบี่ปราณดังกล่าวก็เป็นดั่งภาพในฝันที่พวกเขาถวิลหา ทว่ายากนักที่จะจับต้อง
เพียงแค่กระบี่ปราณสามเล่มก็หนักหนาแล้ว และเพียงแค่กระบี่ปราณเท่านั้นก็มากพอแล้วที่จะทำร้ายผู้เข้ารับการทดสอบ… หากคนผู้นั้นไม่ระวังให้ดีก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับไปได้!!
ในสายตาของทุกคน ความน่าจะเป็นที่ลู่เฉินจะเรียกกระบี่ปราณได้ถึงห้าเล่ม และรอดพ้นจากแรงสะท้อนกลับของกระบี่ปราณนั้น… แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!
ฉินหลินคิดว่าลู่เฉินไม่ทราบกฎเกณฑ์ของสำนัก เขาจึงแนะนำอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้ชายหนุ่มทราบรายละเอียดของมัน
หากเรียกกระบี่ปราณได้หนึ่งเล่ม สามารถเป็นศิษย์สายนอกของสำนักเก้าสุขสงบ
หากเรียกกระบี่ปราณได้สองเล่ม สามารถเป็นศิษย์สายในของสำนักเก้าสุขสงบ
หากเรียกกระบี่ปราณได้สามเล่ม สามารถเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสในสำนัก
หากเรียกกระบี่ปราณได้สี่เล่ม สามารถเข้าพบเจ้าสำนักได้
หากเรียกกระบี่ปราณได้ห้าเล่ม คนผู้นั้นก็จะสามารถขึ้นเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้!
หากเรียกกระบี่ปราณได้หกเล่ม คนผู้นั้นก็จะได้เป็นผู้อาวุโสในทันที!
และหากเรียกกระบี่ปราณได้มากถึงเจ็ดเล่ม นั่นก็หมายถึงการเข้าแทนที่เจ้าสำนัก และกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของสำนักเก้าสุขสงบ!
ครั้นฉินหลินแนะนำเสร็จสิ้น ทุกคนในสำนักก็ล้วนคิดตรงกันว่าลู่เฉินคงจะหวาดกลัว และอาจเลือกที่จะถอยกลับ ทว่าลู่เฉินกลับถามออกมาว่า “แล้วหากเรียกได้มากกว่าเจ็ดเล่า?”
ก่อนที่ฉินหลินจะทันได้อธิบาย ผู้อาวุโสเฮยก็ถามแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าคิดว่าตนเองจะสามารถเรียกกระบี่ปราณได้มากกว่าเจ็ดเล่ม?”
“ช่างกล้าคิดนัก!”
ฝูงชนที่มารอเฝ้าชมเรื่องสนุกต่างพากันหัวเราะเย้ยหยันออกมาไม่หยุด
”คนที่ไม่มีแม้แต่รากวิญญาณ แต่กลับกล้าพูดว่าสามารถเรียกกระบี่ปราณได้มากกว่าเจ็ดเล่ม? เฮอะ!”
“เขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะในรอบพันปีหรืออย่างไร?!”
“น่าขำนัก!”
ฉินหลินที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกอับอายไม่น้อย
ทางด้านผู้อาวุโสไป๋ เขาเงยหน้ามองฟ้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “สายมากแล้ว รีบหน่อย!”
ผู้อาวุโสเฮยก้าวออกไปด้านหน้า เขาจ้องมองลู่เฉินและถามออกมา “เจ้าเคยเข้าร่วมสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์มาก่อนแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องเรียกกระบี่ปราณออกมาอย่างน้อยสามเล่ม จึงจะสามารถเข้าเป็นศิษย์ของสำนักเก้าสุขสงบได้!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่า ผู้อาวุโสเฮยไม่ต้องการให้โอกาสลู่เฉินได้อยู่ในสำนักเก้าสุขสงบ!!
[1] ฉื่อ คือหน่วยวัดของจีน หนึ่งฉื่อมีความยาวเท่ากับสิบนิ้ว