ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 28 หากปรารถนาขั้นสร้างรากฐาน ก็จำต้องหลอมชาติที่เก้าก่อน!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 28 หากปรารถนาขั้นสร้างรากฐาน ก็จำต้องหลอมชาติที่เก้าก่อน!
บทที่ 28 หากปรารถนาขั้นสร้างรากฐาน ก็จำต้องหลอมชาติที่เก้าก่อน!
หลังจากที่ลู่เฉินดูซับพลังปราณเข้มข้นสูงโดยรอบ มันก็ได้เข้าไปโคจรอยู่ภายในร่างกายของชายหนุ่ม
จากนั้นลู่เฉินจึงใช้ออกด้วย ‘เคล็ดควบกลั่นลมปราณ’
หลังจากผ่านไปประมาณสองถึงสามชั่วยาม ลู่เฉินก็เข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานระดับเจ็ด ระดับแปด และเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแต่อย่างใด!
ไม่เพียงเท่านั้น รากวิญญาณสวรรค์ผกผันในร่างของชายหนุ่มก็เติบโตมากขึ้นเช่นกัน
….
วันรุ่งขึ้นปิงหลิวหลีพลันตื่นขึ้นมาท่ามกลางม่านหมอก
“ข้าอยู่ที่ไหน?” หลังจากที่นางพบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้น จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าอาการเหน็บชาจากการกดทับแขนขวาในตอนนอนก็ทำให้หญิงสาวต้องชะงักไปชั่วครู่
สิ่งนี้ทำให้ปิงหลิวหลีอยากจะบ่นลู่เฉินว่าในเมื่อรักษาเสร็จแล้วก็ควรปลุกนางสิ! มาปล่อยให้สตรีนอนพื้นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่ในยามนั้นเอง ปิงหลิวหลีพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณจำนวนมากในร่าง ยิ่งไปกว่านั้น พลังที่ว่ายังเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม นางจึงรีบสำรวจในกายอย่างรวดเร็ว
นางเห็นเพียงอัคคีเพลิงรอบ ๆ วิญญาณก่อกำเนิดลดลง ส่วนอักขระยันต์เยียวยาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
ไม่เพียงเท่านั้น อักขระยันต์เยียวยายังมีลำแสงสีทองสว่างวาบ ซึ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้อัคคีเพลิงรอบ ๆ วิญญาณก่อกำเนิดค่อย ๆ อ่อนลงทีละน้อย
“คราวนี้อักขระยันต์เยียวยาไม่เหมือนเดิมแล้ว!” ปิงหลิวหลีที่ประหลาดใจทดลองโคจรพลังในร่างทันที ก่อนพบว่าขณะนี้ตนเองอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ระดับปลายแล้ว!
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ปิงหลิวหลีพอใจมาก นางจึงอยากจะขอบคุณลู่เฉิน แต่กลับพบว่าร่างของชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนักได้เกิดเรื่องพิลึกขึ้น!
“นี่มันอันใดกัน?” ปิงหลิวหลีเดินเข้าไปใกล้ด้วยความประหลาดใจ ก่อนพบว่าเสื้อผ้าของลู่เฉินมีแต่ต้นหญ้า และยิ่งไปกว่านั้นยังมีพลังปราณที่แข็งแกร่งกะพริบวาบอยู่บนร่างกาย
“อย่าไปรบกวนเขา” หมาป่ายมโลกเก้าหางกลัวว่าปิงหลิวหลีจะไปรบกวนการฝึกฝนของลู่เฉิน มันจึงรีบร้องเรียก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปิงหลิวหลีจึงเดินไปหาหมาป่ายมโลกเก้าหางแทน “สิ่งนี้… มันคือการฝึกงั้นหรือ?”
“ใช่ เขากำลังอยู่ในสภาวะ ‘รู้แจ้ง’ และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งรอบข้าง เปลี่ยนให้ร่างกายตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของชีพจรวิญญาณ และเมื่อเมล็ดพืชเหล่านั้นลอยมาอยู่บนตัวเขา พวกมันก็พลอยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ปิงหลิวหลีถอนหายใจหลังจากได้ยินเช่นนั้น “ข้าเคยได้ยินเรื่องสภาวะ ‘รู้แจ้ง’ จากเพียงในคัมภีร์เก่า ๆ เท่านั้น ไม่เคยพบเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน”
ไม่เพียงแต่ปิงหลิวหลีเท่านั้น เพราะโจวอวี๋เองก็เดินเข้ามา แล้วอุทานว่า “ตัวประหลาดเฒ่าคนนี้ไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว!”
และแม้ว่าเจี่ยลัวที่อยู่ด้านข้างจะไม่สามารถพูดได้ แต่เขาก็เฝ้าดูด้วยความสงสัยเช่นกัน
เมื่อเห็นทั้งสามคนที่กำลังมุ่งความสนใจไปที่ลู่เฉิน หมาป่ายมโลกเก้าหางจึงเตือนทั้งสามว่า “พวกเจ้าทั้งสามไปฝึกฝนให้ดี อย่ารบกวนเขาก็พอ!”
หลังได้ยินเช่นนั้น โจวอวี๋ก็ทำได้เพียงตั้งใจฝึกฝน ‘เคล็ดรากวิญญาณคู่’ ต่ออย่างไม่มีทางเลือก และเจี่ยลัวก็กลับไปล้างพิษ ส่วนปิงหลิวหลี… เมื่อนางเห็นว่าระดับขั้นการบ่มเพาะฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว เจ้าสำนักสาวจึงหาสถานที่ฝึกฝนต่อทันที
…ขณะเดียวกัน ลู่เฉินที่อยู่ตรงนั้นยังคงฝึกฝนต่อไป
…
สิบวันต่อมา ลู่เฉินพลันลืมตาขึ้นเล็กน้อย ร่างกายเขาสั่นสะท้าน ดอกไม้และต้นหญ้ารอบ ๆ ร่วงหล่น จากนั้นเขาก็สำรวจภายในร่างกายตนเองในทันที
“ ‘เคล็ดควบกลั่นลมปราณ’ ทำให้ข้ามาถึงขั้นกลั่นลมปราณระดับสิบแล้ว! แต่เหตุใดจึงไม่สามารถทะลวงไปยังขั้นสร้างรากฐานได้กัน? ” ลู่เฉินงงงวย
ว่าแล้วลู่เฉินก็ลุกขึ้นและโคจรเคลื่อนลมปราณไปทั่วร่าง พร้อมกับสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน ก่อนจะพบเข้ากับจุดผิดที่ปกติ!
เขาพลันพบว่าจากบรรดาจุดชีวิตทั้งเก้า สิ่งที่ผิดปกติคือจุดชีวิตที่เก้า ซึ่งมันกำลังกะพริบแสงอยู่ในขณะนี้!
”นี่มันเกิดอันใดขึ้น?”
ลู่เฉินทำได้เพียงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบ ก่อนที่ข้อมูลบางอย่างจะหลั่งไหลเข้ามาในหัว
“การหลอมรวมชาติทั้งเก้า?”
ที่แท้ก่อนขั้นสร้างรากฐานก็จำต้องหลอมรวมจุดชีวิตทั้งเก้าเข้าด้วยกันก่อน! ทว่ากระบวนการหลอมรวมนี้.. มันต้องใช้พลังภายนอกที่แตกต่างกันเก้าชนิดทีเดียว!
ปีศาจ มาร ภูต วิญญาณ แมลง อสูร ซากศพ ศาสตราวุธ และมนุษย์…
พลังทั้งเก้าชนิดนี้สอดคล้องกับสถานที่ทั้งเก้าชาติภพที่ลู่เฉินเคยไป และปีศาจนั้นย่อมเป็นตัวแทนของพลังของปีศาจ
มาร พลังของมาร และภูต พลังของภูต….
ส่วนอสูร เซียน มนุษย์ ศพ และวิญญาณ ทั้งห้าชนิดนี้ลู่เฉินหาได้ทันที ทว่าปีศาจ มาร ภูต และแมลง ทั้งสี่ชนิดนั้นค่อนข้างหายาก
ทว่าลู่เฉินก็ต้องจัดการกับปัญหานี้ให้ได้!
ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินจึงเดินไปหาหมาป่ายมโลกเก้าหาง และเมื่อทุกคนเห็นว่าชายหนุ่มตื่นแล้ว พวเขาก็ทยอยกันเดินมา จากนั้นก็เป็นปิงหลิวหลีที่พบบางสิ่งที่น่าตกใจเข้า นางจึงเอ่ยว่า “ขั้นกลั่นลมปราณระดับสิบ?”
โจวอวี๋เองก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งเช่นกัน “เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น เพียงพริบตา… เจ้าก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว?”
ลู่เฉินพลันฉีกยิ้ม “แล้วพวกเจ้าล่ะ? คงไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกกระมัง?”
โจวอวี๋เป็นคนรักหน้าตาตนเองไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยปากพูดทันทีว่า “เรื่องนั้น ให้เวลาข้าหนึ่งปี ข้าจะต้องอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ได้แน่!”
ส่วนปิงหลิวหลีเอ่ยอย่างลังเล “ข้าบาดเจ็บ ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก!”
อีกด้าน เจี่ยลัวล้างพิษไปไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงอืออาด้วยความตื่นเต้น
ลู่เฉินมองไปทางหมาป่ายมโลกเก้าหางและเอ่ยสั่งว่า “เจ้า… มาโจมตีข้า!”
“อันใดนะ?” หมาป่ายมโลกเก้าหางตกตะลึง ทว่าลู่เฉินกลับส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่าย “วางใจ ข้าเพียงอยากทดสอบพลังของข้าดู!!”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา พากันสงสัยว่าลู่เฉินคิดจะทำอะไรกันแน่ ทว่าลู่เฉินก็ได้เอ่ยเร่งอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม “มาเลย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เบื้องหน้าหมาป่ายมโลกเก้าหางพลันปรากฏใบมีดวายุเปล่งแสงวาบวับ และเป้าหมายของมันก็คือลู่เฉิน!
ทว่าเพื่อไม่ให้ลู่เฉินได้รับบาดเจ็บ หมาป่ายมโลกเก้าหางจึงจงใจควบคุมพลังเพื่อให้ใบมีดวายุอยู่แค่ขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าหรือหกเท่านั้น
แต่เมื่อใบมีดวายุปะทะร่างของลู่เฉิน รอบตัวชายหนุ่มกลับมีม่านโปร่งใสปรากฏขึ้น และดูดซับใบมีดวายุเข้าไป!
ในเวลาเดียวกัน ลู่เฉินก็พบว่าจุดชีวิตหนึ่งในเก้าเริ่มเกิดปฏิกิริยา ทว่าก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าจะไม่พอ!” หลังจากที่เอ่ยจบ ลู่เฉินก็มองไปทางหมาป่ายมโลกเก้าหางอีกครั้ง “แรงกว่านี้อีก!”
“เท่าใด?” หมาป่ายมโลกเก้าหางเป็นกังวลว่าจะพลาดจึงถามอย่างลังเล ทว่าชายหนุ่มกลับบอกให้อีกฝ่ายใช้พลังที่เทียบเท่ากับขั้นสร้างรากฐานซะอย่างนั้น!
หมาป่ายมโลกเก้าหางพลันตกใจจนสะดุ้งโหยง “นี่… มันไม่ดีกระมัง!”
“ข้าบอกให้เจ้าโจมตี เจ้าก็โจมตี!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หมาป่ายมโลกเก้าหางก็ทำได้เพียงต้องปฏิบัติตาม ส่วนโจวอวี๋และพวกต่างพากันคิดว่าชายหนุ่มบ้าไปแล้ว ทว่าฉากที่เกิดขึ้นต่อมากลับทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง!
พวกเขาเห็นเพียงหลังจากที่หมาป่ายมโลกเก้าหางปล่อยใบมีดวายุที่ทรงพลังกว่าเดิม มันก็พลันถูกม่านกั้นดูดเข้าไปอยู่ดี
ลู่เฉินมองสำรวจร่างกายของตนเองอีกครั้ง เขาพบว่าจุดแสงจุดนั้นหดเล็กลงจากขนาดเท่ากำปั้น… เหลือเพียงขนาดเท่าถั่วลิสงแล้ว!
“แรงกว่านี้อีก!”
“มากกว่านี้?” หมาป่ายมโลกเก้าหางตกใจจนเสียงหลง
“ใช่!”
หมาป่ายมโลกเก้าหางจึงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก จนจุดแสงขนาดถั่วลิสงหดตัวลงทีละนิด ๆ ก่อนสุดท้ายจะกลายเป็นกระแสน้ำวนโปร่งแสงลอยอยู่ตรงนั้น และเมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาด้วยความพึงพอใจว่า “เสร็จแล้ว!”
เสร็จแล้ว? ทุกคนอยากรู้ว่าลู่เฉินหมายถึงอะไร
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินกลับมองไปที่ปิงหลิวหลีและโจวอวี๋ พร้อมกับกล่าวสั่ง “เจ้าทั้งสองเองก็ด้วย จงโจมตีข้าด้วยเคล็ดวิชาเข้ามาพร้อมกันเลย!”
“อะไรนะ?” ทั้งสองตาเบิกกว้าง ทว่าลู่เฉินกับฉีกยิ้มกว้างและเอ่ยย้ำ “เร็วเข้า!”
ทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ลงมือ ทว่ากับโจวอวี๋ ดูเหมือนเขานั้นจะอยากฉวยโอกาสนี้คิด ‘สั่งสอน’ บทเรียนดี ๆ ให้กับลู่เฉิน ทว่า…
ยามที่ฝ่ามือของเขากระทบกับลู่เฉิน ม่านโปร่งใสของลู่เฉินก็พลันเข้ามาขวางฝ่ามือของเขาเอาไว้
และไม่เพียงแต่โจวอวี๋เท่านั้น ปิงหลิวลี่ก็ไม่อาจผ่านม่านโปร่งแสงนี้ได้เช่นกัน
และด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ปิงหลิวหลีไม่เข้าใจ “ข้ามีพลังขั้นหลอมแก่นแท้ แต่เหตุใดเจ้า…”
ลู่เฉินรู้ดีว่าพลังของพวกเขาถูกจุดชีวิตดูดกลืนเข้าไป และจุดชีวิตที่ว่าก็คงเป็น ‘มนุษย์’ ซึ่งภายใต้การโจมตีของทั้งสอง จุดแสงนี้มันก็ได้กลายเป็นคลื่นน้ำวนโปร่งแสงภายในเวลาไม่นาน
เมื่อเห็นคลื่นน้ำวนโปร่งใสสองกลุ่ม ลู่เฉินก็มองไปที่เจี่ยลัวต่อ “ถึงตาเจ้าแล้ว!”
เจี่ยลัวนั่นหมายถึงศพ
เมื่อเจี่ยลัวได้ยินว่าลู่เฉินให้ตนเองโจมตี เขาก็เคอะเขินเล็กน้อย แต่สุดท้ายภายใต้การรบเร้าของลู่เฉิน เขาก็สร้างคลื่นน้ำวนโปร่งแสงลูกที่สามสำเร็จ!
เดิมคิดว่ามันจบเพียงเท่านั้น
แต่ต่อมาทุกคนก็ได้เห็นฉากที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเดิม!!