ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 262 เร็วเกินต้าน ประตูไร้สิ่งสรรพไร้ผลต่อนาง!
บทที่ 262 เร็วเกินต้าน ประตูไร้สิ่งสรรพไร้ผลต่อนาง!
เฮยเม่ยเพียงยืนอยู่ตรงนั้น สายตาจ้องมองไปยังลู่เฉินและพูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อเจ้ารู้พรสวรรค์ของข้า เช่นนั้นเจ้าจะยอมจำนนเองหรือจะให้ข้าลงมือเล่า!?”
“เจ้ายังไม่ถึงขนาดที่ทำให้ข้าต้องยอมจำนน!” ลู่เฉินไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ทว่ากลับหัวเราะออกมา ส่วนเฮยเม่ยนั้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็พลันมีสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านทั่วร่างกายของนาง จากนั้นทุกคนก็เห็นเม็ดทรายบนพื้นถูกลมพายุม้วนขึ้นมา
องค์ชายเจ็ดที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าหนุ่ม ใครใช้ให้เจ้ายโสนักเล่า!”
จางเชียนพูดอย่างผู้กุมชัยชนะ “เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่รอดแน่!”
ในขณะที่ตู๋ซานชิงเย้ยหยันว่า “เจ้าหนุ่ม สตรีนางนี้ไม่ธรรมดา!”
ลู่เฉินยังคงไม่สนใจ ตอนนี้เองที่จู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ระดับความเร็วนั้นสามารถพูดได้ว่ารวดเร็วอย่างมาก!
ฉากนี้ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกมีความหวังว่าจะจัดการกับลู่เฉินได้เสียที
แต่หลังจาก ‘กำแพงพันชั้น’ ของชายหนุ่มเปิดขึ้น ทุกคนต่างก็ได้เห็นฉากอันน่าเหลือเชื่อ เพราะนั่นคือร่างของเฮยเม่ยที่ปรากฏตัวรอบตัวลู่เฉินอย่างบ้าคลั่ง และทุกครั้งที่นางปรากฏตัวก็จะโจมตีลู่เฉินหนึ่งครั้ง
ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นกำแพงของลู่เฉินก็มักจะได้ยินเสียงที่แตกออกมา ทว่าทุกครั้งที่ไปถึงชั้นที่เก้าสิบ นางก็ไม่สามารถไปต่อได้
ทำให้คนเหล่านั้นตะโกนอย่างดุเดือดว่า “เพิ่มแรงอีกหน่อย!”
องค์ชายเจ็ดเองก็ตะโกนเช่นกัน “กินเม็ดยา!”
คำพูดเหล่านี้ได้เตือนสติเฮยเม่ย ส่วนลู่เฉินก็พลันชะงักไป เพราะเขารู้ว่าหากสตรีนางนี้กลืนยาเพิ่มพลังเข้าไป ‘กำแพงพันชั้น’ ของเขาอาจจะพังลงจริง ๆ
ลู่เฉินจึงวางแผนที่จะเปิด ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ เพื่อดูว่าเขาจะสามารถดูดนางเข้าไปได้หรือไม่
ทันทีที่ ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ ถูกโยนออกไป จู่ ๆ เฮยเม่ยก็หายตัวไปทันที
‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ จึงได้แต่ตั้งอยู่ข้างกายลู่เฉิน แต่ไม่สามารถดูดเฮยเม่ยเข้าไปได้
องค์ชายเจ็ดและคนอื่น ๆ รู้สึกถึงแรงดึงดูดที่กำลังดึงดูดพวกเขา คนเหล่านี้รีบถอยหนีด้วยความตกใจ ทั้งยังไม่กล้าเข้าใกล้ลู่เฉิน ขณะที่ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ พลางยิ้มออกมา “อันใดกัน? ไม่กล้าออกมาหรือ”
องค์ชายเจ็ดไม่คาดคิดว่าลู่เฉินจะมีสมบัติวิญญาณที่น่ากลัวเช่นนี้ จากนั้นเขาก็ก่นด่าสาปแช่งว่า “เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าเฮยเม่ยจะกลัวเจ้าแม้เจ้าจะครอบครองสมบัติวิญญาณ!”
แม้ว่าจางเชียนจะไม่ได้พูด แต่สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายและโกรธายิ่งนัก ส่วนตู๋ซานชิงนั้นเอ่ยขู่ลู่เฉินว่า “เจ้าหนุ่ม รอก่อนเถอะ! นางจะปรากฏตัวข้างเจ้าเหมือนเงาตามตัว แล้วบดขยี้ร่างกายของเจ้าเสีย!”
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ แต่ในตอนนี้เอง ใบมีดลมอันทรงพลังก็ตกลงมาจากยอดศีรษะของเขาในความมืด เป็นจังหวะเดียวกับที่ลู่เฉินเก็บ ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ ออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงคราวที่เฮยเม่ยปรากฏตัว ชายหนุ่มก็หายตัวไปแล้ว นางจึงได้แต่จ้องมองไปรอบ ๆ
องค์ชายเจ็ดถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วตะโกนว่า “เจ้าหนุ่ม แน่จริงก็ออกมาสิ!”
“ข้าก็อยู่นี่ไงเล่า” จู่ ๆ ลู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังองค์ชายเจ็ดและคนอื่น ๆ จากนั้น ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ ก็ดูดองค์ชายเจ็ดและคนอื่น ๆ เข้าไปทันที!
คนเหล่านี้ต่างพากันเอ่ยสาปแช่ง แต่ความสามารถของพวกเขาไม่สามารถต้านทานแรงดึงดูดของ ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงหายตัวเข้าไปใน ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ ในเวลาไม่นาน
เฮยเม่ยถามขึ้นทันทีว่า “พวกเขาไปไหนแล้ว?”
“กองขยะขวางทางอย่างพวกเขา ข้าก็แค่เก็บออกไป” ลู่เฉินพูดขณะเก็บ ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ เพราะเขารู้ว่า ‘ประตูไร้สิ่งสรรพ’ นี้ไม่มีประโยชน์มากนักสำหรับการปะทะเฮยเม่ยที่รวดเร็วดั่งสายฟ้า
ทางด้านเฮยเม่ย นางรู้ว่าองค์ชายเจ็ดเป็นลูกรักของพระสนมอู่ หากนางไม่อาจคุ้มครองอีกฝ่ายได้ นางคงจะต้องถูกตำหนิ ดังนั้นจึงพูดด้วยความโกรธเคืองว่า “เจ้าควรปล่อยองค์ชายเจ็ดไป มิฉะนั้น…”
“มิฉะนั้น…?” ลู่เฉินยิ้ม
เฮยเม่ยตอบอย่างเย็นชา “มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมาน!”
“โอ้ เช่นนั้นก็ทำให้ข้าดูหน่อยสิ!”
หลังจากที่เฮยเม่ยตีหน้าเคร่งขรึม สายลมรอบ ๆ ตัวนางก็เริ่มส่งเสียงขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าพายุกำลังใกล้เข้ามา
ลู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา และเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปราบสตรีนางนี้โดยปราศจากความช่วยเหลือ ดังนั้นลู่เฉินจึงใช้ออกด้วยเคล็ด ‘วิชาหมื่นวิญญาณ’ เพื่อดูดซับพลังของค่ายกลโดยรอบ
ด้วยเหตุนี้ ‘กำแพงพันชั้น’ ของชายหนุ่มจึงแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่อาจรู้ได้ และคิดว่าลู่เฉินกำลังสู้สุดกำลัง จึงเอ่ยเย้ยหยันว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าจะต้านทานการโจมตีของข้าได้หรือ?”
“แน่นอน!” ลู่เฉินยิ้มอย่างมั่นใจ
ทว่าเฮยเม่ยไม่เชื่อ “ลมสังหารของข้าสามารถบดขยี้ผู้ฝึกขั้นก่อกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย!”
“โอ้? จริงหรือ?” ลู่เฉินยิ้ม แต่เฮยเม่ยกลับเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ใช่เพราะพระสนมอู่สั่งให้ไว้ชีวิตเจ้า ข้าคงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว!”
“เช่นนั้น เจ้ากำลังอ่อนข้อให้ข้าอยู่หรือ?” ชายหนุ่มมองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอน!”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรปลดปล่อยความแข็งแกร่งทั้งหมดของเจ้า มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเสียใจในภายหลัง!” ลู่เฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย ส่วนเฮยเม่ยรู้สึกว่าลู่เฉินบ้าไปแล้ว นางจึงตะคอกเสียงดัง “ดูเหมือนว่าจะเจรจากับเจ้าไม่ได้แล้ว!”
หลังจากพูดจบ ลมในความมืดก็พัดไปรอบตัวลู่เฉิน
เสียงแตกของ ‘กำแพงพันชั้น’ ดังออกมารัวเร็ว แต่คราวนี้นางโจมตีได้แค่เจ็ดสิบชั้นเท่านั้น จึงเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก “เหตุใดข้าถึงอ่อนแอลง?!”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอ่อนแอลง แต่เป็นเพราะข้าแข็งแกร่งขึ้น!” ลู่เฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย
เฮยเม่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้ากินเม็ดยาหรือ”
“ข้าน่ะนะ? ข้าต้องกินด้วยหรือ?” ลู่เฉินกล่าวติดตลก แต่เฮยเม่ยไม่สามารถทนได้อีกต่อไป คันธนูสีดำปรากฏขึ้นในมือของนางอย่างรวดเร็ว
จากนั้นศรลมก็ก่อตัวขึ้นบนคันธนู
เมื่อเห็นสิ่งนี้เขาเพียงยิ้มออกมา “ข้าขอเตือนให้เจ้าเอาธนูนี้ออกไป มิฉะนั้นเจ้าอาจจะบาดเจ็บเอาได้!”
“ธนูของข้า มันจะทำร้ายข้าได้อย่างไร?” เฮยเม่ยรู้สึกว่าลู่เฉินคงล้อเล่น แต่ลู่เฉินเพียงมองที่เฮยเม่ยด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายเจ็ดไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าลูกน้องของเขายังควบคุมศาสตราวุธวิญญาณของตัวเองไม่ได้เลย”
เฮยเม่ยไม่รู้มาก่อน เพียงรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกให้นางกลัวเท่านั้น “ข้าแตกต่างจากพวกเขา!”
“โอ้ เช่นนั้นเจ้าคิดว่าตัวเองอยู่อันดับใดในจวนตะวันคล้อยเล่า?”
“ผู้ฝึกขั้นก่อกำเนิด ธาตุลมอันดับที่เก้า!”
ลู่เฉินพยักหน้า “ไม่เลว!”
เมื่อเห็นว่าเขายังมีอารมณ์ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนาง เฮยเม่ยจึงตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “ตายซะ!” จากนั้นศรลมก็พุ่งออกไป
แต่ทันใดนั้นศรลมกลับเบี่ยงไปจากทิศทางเดิม และพุ่งเฉียดผ่านลู่เฉินไป มันทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
เฮยเม่ยคิดว่านางควบคุมมันได้ไม่ดี นางจึงโจมตีอีกครั้ง ทว่าผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม ส่วนลู่เฉินนั้นยิ้มกว้างให้นาง “เจ้าควบคุมธนูนั้นไม่ได้”
“เป็นไปไม่ได้!” เฮยเม่ยรีบตรวจสอบคันธนู แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ขณะที่ลู่เฉินเพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ระวัง!”
เพียงชั่วอึดใจ ธนูก็ลอยออกมาจากมือของเฮยเม่ยและตกลงไปที่ฝ่ามือของลู่เฉิน
สตรีตรงหน้าเบิกตากว้าง “เป็นไปได้อย่างไร!?”
“เอาอีกหรือไม่?” ลู่เฉินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่เฮยเม่ยเริ่มตื่นตระหนก ขณะมองลู่เฉินด้วยสายตาแปลกใจไปชั่วขณะ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
“ศาสตราวุธวิญญาณของเจ้าไม่ฟังคำสั่งของเจ้าอีกต่อไปอย่างไรเล่า!”
เฮยเม่ยยังคงไม่เชื่อ และพยายามเร่งพลังควบคุมให้แข็งแกร่งขึ้น ทว่าทั้งร่างปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น และไม่สามารถเอาธนูกลับมาได้ด้วยซ้ำ
เฮยเม่ยที่กำลังตกใจจ้องมองไปที่ลู่เฉิน “อย่าคิดว่าหากเจ้าควบคุมศาสตราวุธวิญญาณของข้าแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้!”
“โอ้ เช่นนั้นยังมีอีกหรือ?” ลู่เฉินเอ่ยถามพลางยิ้มยียวน