ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 260 นำภาพไปซ่อนไว้บนร่างกายของสตรีกลุ่มหนึ่ง!
บทที่ 260 นำภาพไปซ่อนไว้บนร่างกายของสตรีกลุ่มหนึ่ง!
เมื่อจางเชียนได้ยินเช่นนั้น จึงยิ้มหยันออกมา “เด็กคนนั้นช่างราคาถูกเสียจริง!”
“วางใจเถิด เขาไม่ถูกเช่นนั้นหรอก!” ตู๋ซานชิงแสยะยิ้ม และเมื่อองค์ชายเจ็ดมอบคำสั่งจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงเดินออกมาและมองไปยังคนทั้งสอง ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ “เสร็จแล้ว”
จางเชียนเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยกย่อง “องค์ชายเจ็ดช่างหลักแหลมเสียจริง!”
ตู๋ซานชิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโอ้อวดออกมา “ด้วยความหลักแหลมขององค์ชายเจ็ด ไม่นานก็คงแทนที่องค์รัชทายาทและกลายเป็นจักรพรรดิคนใหม่ได้แน่!”
เมื่อได้ยินถึงองค์รัชทายาท องค์ชายเจ็ดจึงกระแอมออกมาเบา ๆ “อยู่ข้างนอกอย่าได้พูดเหลวไหลเช่นนี้ มิเช่นนั้นหากเสด็จพ่อได้ยินเข้า ท่านอาจจะไม่รู้สึกยินดีนัก!”
ตู๋ซานชิงและจางเชียนต่างก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ แต่องค์ชายเจ็ดกลับกล่าวเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา“รีบเตรียมพร้อมเถิด คืนนี้จะต้องให้เขาได้รู้ถึงความเก่งกาจของข้า!”
ทั้งสองขานรับก่อนจะเดินจากไป
องค์ชายเจ็ดแสยะยิ้มออกมา แล้วจึงกลับไปยังพระราชวัง
ลู่เฉินคิดอยากจะตามไปดูที่พระราชวัง แต่ค่ายกลรอบ ๆ พระราชวังนั้นสามารถขัดขวางการแทรกจิตเข้าไปได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงนำดวงจิตกลับมาและคลี่ยิ้ม “ข้าจะรอดูว่าค่ำคืนนี้ พวกเจ้าจะเล่นสิ่งใดกัน!”
…
องค์ชายเจ็ดมาถึงตำหนักของพระสนมอู่ แต่เมื่อพระสนมอู่เห็นว่าองค์ชายเจ็ดกลับมามือเปล่า จึงมีสีหน้าสงสัย “เป็นเช่นไรบ้าง จัดการเรียบร้อยหรือไม่?”
“เสด็จแม่ ลูกยังจัดการไม่เรียบร้อย”
“ยังไม่เรียบร้อย?” พระสนมอู่รู้สึกไม่ยินดีนัก แต่องค์ชายเจ็ดรีบกล่าวปลอบโยนขึ้นมาทันที “เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป!”
“อย่างไร?!”
องค์ชายเจ็ดจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ “ดังนั้นที่ลูกมานี้ ก็เพื่อต้องการให้เสด็จแม่คิดหาวิธีที่จะทำให้ทหารยามเกราะดำออกไปให้ได้ และทำให้คนพวกนั้นไม่สามารถส่งสัญญาณเรียกพวกเขามาได้”
“นี่เป็นเพียงเรื่องเล็ก คืนนี้ข้าจะจัดการเอง ส่วนคนผู้นี้… เจ้าบอกว่าเขาคือผู้ที่อยู่ในสำนักเก้าสุขสงบงั้นหรือ?”
“ใช่ คือเขาผู้นั้น เป็นเพียงคนผู้หนึ่งที่ใช้พลังค่ายกล ทำให้หลาย ๆ สำนักพ่ายแพ้ไปได้” องค์ชายเจ็ดอธิบาย เมื่อพระสนมอู่ได้ฟัง สายตาจึงเปล่งประกายขึ้นมา “เช่นนั้น เขายิ่งควรถูกสังหารเสีย!”
“เสด็จแม่ ท่านวางใจเถิด คืนนี้ลูกจะต้องจับเขาและนำมามอบให้ท่าน!” องค์ชายเจ็ดเอ่ยสัญญา
พระสนมอู่สบตาองค์ชายเจ็ด แต่ยังมีความรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย “เช่นนั้น คืนนี้ข้าจะส่งเฮยเม่ยไปคอยช่วยเหลือเจ้า หากพวกเจ้าไม่สามารถจัดการได้ ถึงเวลานั้นค่อยให้นางออกมา”
“เช่นนั้นยิ่งดีพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อองค์ชายเจ็ดได้ยินชื่อเฮยเม่ยก็รู้สึกราวกับมีพลังขึ้นมา เมื่อมีนางอยู่ เขาก็รู้สึกว่าจะสามารถจัดการลู่เฉินให้พ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย
“อืม ออกไปก่อนเถิด” เมื่อพระสนมอู่กล่าวจบ องค์ชายเจ็ดจึงเดินออกไป แต่พระสนมอู่กลับเอ่ยบางอย่างขึ้นมาว่า “ออกมา”
ร่างงดงามราวกับสตรีผู้หนึ่งก็พลันปรากฏตัวออกมา
“ตามไป คอยช่วยเหลือเขาอย่างเงียบ ๆ” พระสนมอู่จ้องมองเฮยเม่ย อีกฝ่ายจึงขานรับว่า “เจ้าค่ะ”
เพียงไม่นาน เฮยเม่ยผู้นี้ก็หมุนตัวออกไปและหายไปราวกับภูตผี
พระสนมอู่เอ่ยขึ้นมาด้วยแววตาเย็นชา “ข้าไม่เชื่อว่าจะจัดการเจ้าไม่ได้!”
…
ลู่เฉินที่อยู่ภายในจวนของหนานลัวไม่รู้ว่าคนพวกนี้กำลังคิดทำสิ่งใด แต่ตนกลับยังพินิจพิเคราะห์แผนที่นั้นอยู่ “แผนที่ลับแดนทักษิณา… มีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ?”
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็พบว่า นอกจากบนภาพนี้จะมีพลังปราณที่หนาแน่นแล้ว กลับไม่พบสิ่งอื่นอยู่เลย
ในขณะนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวแปลก ๆ จากยันต์หุ่นเชิดของหลัวซา
ลู่เฉินนั่งลงและหลับตาลงทันที ท่ามกลางความมืดที่อยู่ตรงหน้านั้น เมื่อเชื่อมต่อตนเองผ่านยันต์หุ่นเชิดแล้วจึงได้เห็นเงาจำนวนหนึ่ง และเงาเหล่านั้นก็คือหลัวซา
หลัวซากล่าวทักทายขึ้นมาว่า “นายท่าน”
“ว่ามาเถิด เกิดเรื่องใดขึ้น?”
หลัวซารายงานว่า “คนของข้าที่อยู่ในแดนทักษิณาพบร่องรอยของคนจากวังเหมันต์สงัด และดูเหมือนกับว่าคนพวกนั้นกำลังสืบหาร่องรอยของท่าน”
“โอ้? วังเหมันต์สงัดกำลังตามหาข้างั้นหรือ?”
“ใช่ อีกทั้งพวกเขายังมีการติดต่อกับบรรดาขุนนาง” หลัวซาอธิบาย และเมื่อลู่เฉินได้ฟังเช่นนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมา “ตรวจสอบให้ข้าที พวกเขามีการร่วมมือกับขุนนางกี่คน”
“ขอรับ” หลัวซาขานรับคำ จากนั้นเงานั้นก็หายไป ทว่าลู่เฉินไม่ได้รีบลืมตา ทว่ากลับสื่อสารไปยังเชียนหลิงและเกาจี้
“ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ที่ใดกัน?” ลู่เฉินเอ่ยถามคนทั้งสอง และทั้งสองต่างก็แสดงให้เห็นถึงการถูกลงทัณฑ์
“ถูกลงทัณฑ์?” ลู่เฉินแปลกใจ เชียนหลิงจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านนักบุญหญิงคิดว่าพวกเราทรยศวังเหมันต์สงัด ดังนั้นจึงลงทัณฑ์พวกข้าอยู่ภายในสำนัก”
คำตอบของเกาจี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ลู่เฉินจึงทำได้เพียงให้พวกเขาอยู่ที่นั่นต่อไป จากนั้นตนก็กลับสู่ร่างเดิมและเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “นักบุญหญิงผู้นี้นับว่ามีความรอบคอบยิ่งนัก”
ทว่ายังโชคดีที่ลู่เฉินสามารถปราบคนจากสำนักไสยมนต์ดำได้ และคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการสอดแนม ดังนั้นเขาจึงรอคอยอยู่ที่นั่นอย่างใจเย็น
จนกระทั่งพลบค่ำ ชายหนุ่มก็ได้ออกจากจวนของหนานลัวและตรงไปยังหอดอกแก้ว
ภายในหอดอกแก้วเต็มไปด้วยความครึกครื้น ที่นี่คือสถานที่อันดับหนึ่งแห่งแดนทักษิณา ดังนั้นทุก ๆ วันจึงมีชายหนุ่มมากมายที่เบื่อหน่ายมาหาความสนุกในที่แห่งนี้ และการบริการภายในนี้ก็นับว่าดียิ่ง ทำให้คนจำนวนมากยอมที่จะจ่ายเงินให้กับที่แห่งนี้
สำหรับผู้ที่เคยมาเป็นครั้งแรกอย่างลู่เฉินนั้น เขากลับไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่แต่อย่างใด เพียงเดินเข้าไปภายในหอนางโลมด้วยความมั่นใจ และที่นั่นก็มีจางเชียนและตู๋ซานชิงรออยู่ก่อนแล้ว
ดังนั้นเมื่อทั้งสองเห็นลู่เฉินก้าวผ่านประตูเข้ามา จางเชียนจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “นั่น! เขามาจริง ๆ ด้วย”
ตู๋ซานชิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้านำทางเขาไปยังห้องส่วนตัว ข้าจะไปรายงานเสียหน่อย”
“ได้” จากนั้นจางเชียนก็เดินเข้าไปหาลู่เฉิน ส่วนตู๋ซานชิงเดินตรงไปยังระเบียง
เมื่อจางเชียนเดินมาอยู่ต่อหน้าลู่เฉิน เขาก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมาทันที “พ่อหนุ่ม เจ้าช่างมีความกล้านักที่คิดจะมาที่นี่”
“มีสิ่งดี ๆ เหตุใดข้าจึงจะไม่มา?” ลู่เฉินยิ้มตอบ เมื่อจางเชียนเห็นรอยยิ้มของลู่เฉิน เขาก็นึกดูแคลนอีกฝ่ายในใจ “อีกไม่นาน เจ้าจะต้องทุกข์ทรมานเป็นแน่!”
แต่จางเชียนกลับไม่กล้าแสดงอาการใด ๆ ออกมามากนัก เพราะกลัวว่าลู่เฉินจะหวาดกลัวจนหนีไปเสียก่อน ดังนั้นจึงพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “ตามข้ามา!”
เมื่อเห็นจางเชียนเดินนำทาง
ลู่เฉินก็เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งไปถึงห้องส่วนตัวแห่งหนึ่ง
ภายในห้องนี้มีเพียงโต๊ะกลมตัวใหญ่ บนโต๊ะถูกจัดวางด้วยสุราอาหาร ขณะเดียวกัน องค์ชายเจ็ดก็นั่งอยู่ที่นั่นเช่นกัน อีกทั้งด้านข้างยังมีกลุ่มสตรีที่นั่งบรรเลงกู่ฉินอยู่อย่างสนุกสนาน และฝาแฝดคู่นั้น รวมถึงตู๋ซานชิงก็ยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายเจ็ดไม่ไกลนัก
เมื่อองค์ชายเจ็ดเห็นลู่เฉิน เขาก็แสร้งฉีกยิ้มขึ้นมาทันที “นั่งเถิด!”
ยามกลางวันยังคิดเอาชีวิต แต่ตอนนี้กลับมีแต่รอยยิ้ม หากลู่เฉินไม่ใช่คนโง่ก็สามารถดูออกได้โดยง่ายว่าอีกฝ่ายนั้นเตรียมตัวมาแล้ว แต่เขาไม่ใส่ใจเรื่องนั้น เพียงเดินเข้าไปพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายเจ็ด นี่คือเตรียมการต้อนรับข้าหรือ?”
“ข้าอยากจะทำสิ่งนี้เพื่อแทนคำขอโทษสำหรับเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน”
“ขอโทษ?” ลู่เฉินยิ้มด้วยความประหลาดใจ ขณะที่องค์ชายเจ็ดพูดต่อไปว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นผู้มากความสามารถ ฉะนั้นหากเจ้ายินยอม เจ้าสามารถติดตามข้า เช่นนี้แล้ว ข้ารับประกันได้ว่าเจ้าจะสามารถโดดเด่นได้ในราชวงศ์หนานโยวนี้”
“ข้อตกลงเล่า?” ลู่เฉินเอ่ยเข้าประเด็นพลางยิ้มน้อย ๆ องค์ชายเจ็ดเองก็ยิ้มรับราวกับเตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้วเอ่ยว่า “ภาพนั้น อยู่บนร่างของสตรีผู้หนึ่ง ดังนั้นอีกสักประเดี๋ยว หากเจ้าสามารถหาสตรีผู้นั้นพบได้โดยเร็ว ภาพนั้นจะตกเป็นของเจ้า”
“สตรี?” ลู่เฉินแสร้งตกตะลึง
องค์ชายเจ็ดปรบมือ จากนั้นประตูด้านข้างก็ค่อย ๆ เปิดออก ก่อนจะมีสตรีสิบกว่านางเดินเข้ามา
สตรีเหล่านี้ แต่ละคนนับเป็นผู้ล้ำค่าของหอดอกแก้ว พวกนางแต่งตัวงดงาม ท่วงท่าการเดินแสดงให้เห็นถึงรูปร่างอันอรชร
“ภาพนั้นอยู่บนเรือนร่างของพวกนาง หากภายในระยะเวลาหนึ่งถ้วยชา เจ้าสามารถหาพบโดยไม่ใช้เคล็ดวิชาใด ๆ มันจะตกเป็นของเจ้าทันที” องค์ชายเจ็ดแสยะยิ้ม ขณะที่ลู่เฉินแสร้งเผยท่าทีโง่งมออกมา “ไม่ใช้เคล็ดวิชา?”
“ใช่ ตามหาโดยไม่ใช้เคล็ดวิชา! ใช้เพียงสองมือหาเท่านั้น!” องค์ชายเจ็ดกล่าวย้ำ