ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 258 ถูกเปิดเผยตัวตน ถูกพูดถึง!
บทที่ 258 ถูกเปิดเผยตัวตน ถูกพูดถึง!
ลอยออกไป?
ทุกคนต่างสับสน ในขณะที่องค์ชายเจ็ดกล่าวขึ้นมาด้วยความโมโห “สมบัติวิญญาณนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าขัดเกลาหล่อหลอมมา เหตุใดจึงลอยออกไปได้?”
ทั้งสองต่างก็ไม่เข้าใจ หนานเหยาจึงหัวเราะขึ้นมา “เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์ข้า ไม่ว่าสมบัติวิญญาณใดก็เสียหายได้!”
ทุกคนต่างคิดว่าสิ่งที่หนานเหยาพูดออกมานั้นเป็นการโอ้อวด ส่วนองค์ชายเจ็ดนั้นได้หันไปถ่ายทอดคำสั่งแก่คนทั้งสอง “ใช้เคล็ดวิชา!”
ทั้งสองจึงทำได้เพียงปล่อยดาบและกระบี่ออกไป ก่อนจะหันไปใช้ปราณกระบี่และปราณดาบที่มีทั้งหมดแทน แต่เมื่อใช้การโจมตีเช่นนี้จะทำให้พลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเงาดาบและเงากระบี่แต่ละสายที่พุ่งออกไปตรงหน้าลู่เฉินนั้นจึงถูก ‘กำแพง’ ของลู่เฉินสกัดกั้นไว้
ผู้คนรอบ ๆ ต่างตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น มีบางคนตะโกนขึ้นมาว่า “การป้องกันแข็งแกร่งมาก!”
แต่เพียงไม่นานก็ราวกับมีคนรู้ถึงตัวตนของลู่เฉินขึ้นมา “เขา… คือผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานของสำนักเก้าสุขสงบใช่หรือไม่!?”
“อะไรนะ!? เช่นนั้นชายผู้นี้คือผู้ที่ถูกหลาย ๆ สำนักปิดล้อมไว้ แต่ยังสามารถเอาชนะได้งั้นหรือ!?”
“ใช่! เขาที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานผู้นี้ คือผู้ที่มีการป้องกันเป็นกำแพงหลายชั้น!”
…
เพียงไม่นาน ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างพากันตกใจขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าองค์ชายเจ็ดก็พอจะได้ยินเรื่องของสำนักเก้าสุขสงบมาบ้าง แต่ในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจนัก ทว่าหลังจากได้เห็นกับตาตัวเอง มันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จึงหันไปสั่งการกับทั้งสอง “เพิ่มพลังให้มากกว่านี้!”
ทั้งสองไม่มีสมบัติวิญญาณ จึงไม่สามารถสำแดงพลังออกมาได้มาก ดังนั้นไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันของลู่เฉินได้
จนกระทั่งลู่เฉินเอ่ยออกมา “ถึงคราวของข้าแล้ว?”
ทั้งสองยังไม่ทันได้ตอบโต้ใด ๆ ชายหนุ่มก็นำกระบี่สยบเก้าทิศออกมา จากนั้นทุกคนจึงได้เห็นฉากอันน่าหวาดกลัว นั่นก็คือพลังปราณรอบกายลู่เฉินหนาแน่นขึ้น และปราณกระบี่นับพันก็ถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน
จากนั้นปราณกระบี่ทั้งหมดนี้พลันโจมตีไปยังร่างหนึ่ง แต่เพราะก่อนหน้านี้คนผู้นั้นได้เปิดม่านป้องกันไฟเพลิงออกมา จึงทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่เพราะการโจมตีที่ทรงพลังจึงทำให้เขากระเด็นออกไปตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
แววตาขององค์ชายเจ็ดเผยความเย็นเยียบ จากนั้นเขาก็รีบถอยออกไปยังถนนใหญ่และตะโกนขึ้นมาทันที “เข้ามา! ที่นี่มีคนสร้างความวุ่นวาย!”
กลุ่มทหารรักษาการณ์ที่เฝ้ารออยู่รอบ ๆ นั้น เมื่อเห็นองค์ชายเจ็ดตะโกนขึ้นมา พวกเขาก็ปรี่เข้ามาทันที กลุ่มทหารรักษาการณ์ที่คอยลาดตระเวรอยู่นั้นต่างก็เป็นคนขององค์ชายเจ็ด ดังนั้นเมื่อคนเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ได้ขอให้ทุกคนออกไป
จากนั้นชายที่สวมเสื้อเกราะสีเงินก็ก้าวออกมาข้างหน้า พร้อมกล่าวด้วยความเคารพต่อองค์ชายเจ็ด “องค์ชายเจ็ดต้องการรับสั่งสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“คนพวกนี้มาก่อความวุ่นวายที่นี่ และยังทำให้คนของข้าบาดเจ็บ!” องค์ชายเจ็ดผู้ชั่วร้ายเอ่ยถึงสถานการณ์ออกมาก่อน ส่วนจางเชียนและตู๋ซานชิงสบตากัน คิดยิ้มหยันภายในใจ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยกลับมายืนเคียงข้างองค์ชายเจ็ดอย่างเงียบ ๆ
ชายผู้สวมเสื้อเกราะสีเงินตะโกนขึ้นมาทันที “ล้อมพวกเขาไว้!”
เพียงพริบตาเดียว ลู่เฉินและหนานเหยาก็ถูกล้อมไว้
“ถ้าหากพวกเจ้าคิดขัดขืน พวกเจ้าจะได้รับโทษอย่างหนัก!” ชายผู้นี้ตะโกนขึ้นมา หนานเหยาจึงคิดหยั่งเชิงอีกฝ่าย “เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?”
ชายผู้นั้นไม่คิดว่าหนานเหยาจะกล้าหาญเช่นนี้ จึงเอ่ยออกมาว่า “แม่นางน้อย รู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
“ข้าไม่ใช่ภรรยาของเจ้า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคือใคร!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็พลันหัวเราะขึ้นมา ขณะเดียวกันชายผู้นั้นก็รู้สึกโมโหยิ่ง “ข้าคือหัวหน้าทหารหน่วยลาดตระเวน สวี่ต้าจ้วง!”
ครั้นเอ่ยจบ ชายผู้นี้ก็เอามือตบหน้าอก แสดงให้เห็นถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
ไม่เพียงเท่านั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครายังสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
แต่หนานเหยากลับคลี่ยิ้ม “ก่อนหน้าไม่กี่วันนี้ก็มีหัวหน้าหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่งที่หยิ่งผยองเช่นนี้ ผลที่ตามมาคือตายตกเช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้!”
เนื่องจากแดนทักษิณานั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ ทำให้มีทหารยามหรือทหารรักษาการณ์ที่คอยรับผิดชอบแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นสวี่ต้าจ้วงผู้นี้จึงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น เขายังคงพูดติดตลกออกมา “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเจ้าพูดถึงเรื่องใดกัน!”
และตอนนั้นเอง หนานเหยาเพียงยิ้มพลางกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “เจ้ารอก่อนเถิด”
ทุกคนเห็นหนานเหยาเดินออกไปจากที่ตรงนั้น ก่อนจะนำสิ่งของชิ้นหนึ่งที่ดูเหมือนกระบอกไม้ไผ่ออกมา ต่อมาก็มีลูกบอลแสงสีดำลูกหนึ่งลอยขึ้นไปบนฟ้า
ทุกคนต่างแปลกใจว่านางกำลังทำสิ่งใดกัน
สวี่ต้าจ้วงตะโกนออกมาด้วยความขบขัน “อะไรกัน? ขอกำลังเสริมงั้นหรือ?”
“อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้!” หนานเหยายิ้มเย็นชา
ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจในสิ่งที่นางทำ ฉับพลันนั้นก็มีคนคนหนึ่งทะยานขึ้นมาบนเวหา
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นทหารยามเกราะดำหมายเลข 36
เมื่อเห็นหมายเลข 36 นี้ ความหยิ่งยโสของสวี่ต้าจ้วงก็พลันหายไป พร้อมกล่าวด้วยความเคารพออกมาว่า “นายท่านหมายเลข 36”
“เกิดเรื่องใดขึ้น?” หมายเลข 36 เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจทันที สวี่ต้าจ้วงจึงรีบมองไปยังองค์ชายเจ็ด แต่องค์ชายเจ็ดกลับเดินนำคนอื่น ๆ ฝ่าฝูงชนออกไปเสียแล้ว
สวี่ต้าจ้วงจึงรู้สึกงุนงง “องค์ชายเจ็ด”
องค์ชายเจ็ดยังคงเพิกเฉยไม่สนใจ เพราะเขารู้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับทหารยามเกราะดำ ไม่ว่าตนจะอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงคิดหลบออกมาเสียก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า
เขาทิ้งสวี่ต้าจ้วงที่มีสีหน้าลำบากใจไว้ เมื่อหนานเหยาเห็นองค์ชายเจ็ดเดินออกไปไกลจึงตะโกนขึ้นมา “องค์ชายเจ็ด อย่าคิดหนีสิเพคะ”
เมื่อหมายเลข 36 มองไปรอบ ๆ แล้วจึงหันไปถามหนานเหยา “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือขอรับ?”
หนานเหยาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ชายหมายเลข 36 จึงหันไปจ้องมองสวี่ต้าจ้วงแล้วกล่าวว่า “รบกวนท่านไปเดินเล่นกับข้าสักรอบ”
สวี่ต้าจ้วงตื่นตระหนก “ข้า ข้าก็ถูกคนเรียกมาเช่นกัน!”
“ถ้าหากไม่อยากตาย จงตามมา!” หมายเลข 36 เอ่ยเพียงสั้น ๆ สวี่ต้าจ้วงจึงต้องเดินตามไปอย่างว่าง่าย ขณะที่เดินอยู่นั้น เหล่าทหารคนอื่น ๆ ต่างก็หวาดกลัวจนรีบเดินออกไป ไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่อีก
ผู้คนที่มองดูต่างแปลกใจในตัวตนของหนานเหยา เหตุใดจึงสามารถเรียกทหารยามเกราะดำหมายเลข 36 มาได้
ส่วนหนานเหยานั้นเดินไปพลางถามลู่เฉินไปด้วย “อาจารย์ ข้าเก่งหรือไม่?”
“วิธีการเรียกเช่นนี้ ผู้ใดสอนเจ้ากัน?”
“พี่ชายของข้า เขาบอกว่าหากมีสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายเช่นไรในแดนทักษิณา ก็สามารถเรียกหมายเลข 36 ได้”
“อ้อ” ลู่เฉินขานรับแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงเดินต่อไปยังจวนของหนานลัว ในขณะเดียวกัน องค์ชายเจ็ดที่เดินมาถึงโรงน้ำชาก็ตบโต๊ะด้วยฝ่ามือเดียว โต๊ะตัวนั้นหักลงทันที
ชายฝาแฝดทั้งสองนั้นหวาดกลัวจนตัวสั่น
จางเชียนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก และตู๋ซานชิงที่ถึงแม้จะเป็นอาจารย์ขององค์ชายเจ็ดก็ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาในตอนนี้ จนกระทั่งองค์ชายเจ็ดสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ว่ามา พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับเขามากน้อยเพียงใด?”
จางเชียนและตู๋ซานชิงมองหน้ากัน ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกตนและลู่เฉินออกมา เมื่อองค์ชายเจ็ดได้ฟังจึงขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยถาม “เก่งกาจเพียงนี้เชียวหรือ?”
แม้ทั้งสองจะไม่อยากยอมรับ ทว่าตั้งแต่พวกเขารู้ว่าลู่เฉินสามารถเอาชนะหลาย ๆ สำนักมาได้ อีกทั้งยังจับคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์มาไม่น้อย พวกเขาจึงรู้สึกว่าลู่เฉินนั้นไม่ธรรมดา และเมื่อมาถึงนครทักษิณา พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้มีผู้ใดติดตามมา ดังนั้นจึงคิดที่จะลอง
ทว่าผลลัพธ์ยังคงเป็นเช่นเดิมนั่นคือไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงก้มหน้ารับด้วยความลำบากใจ
องค์ชายเจ็ดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า “วันนี้ข้าต้องการเห็นเขาพ่ายแพ้!”
ตู๋ซานชิงตกตะลึง “เขามีทหารยามเกราะดำ เกรงว่า…”
“คืนนี้ ข้าจะคิดหาวิธีหลอกล่อให้ทหารยามเกราะดำออกไป” องค์ชายเจ็ดครุ่นคิดขึ้นมา ตู๋ซานชิงจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “หากสามารถทำเช่นนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ พวกเราก็ยังสามารถลองได้อีกครั้ง!”
จางเชียนกลับรู้สึกกังวลใจ “พลังของเขาแข็งแกร่งปานนั้น ข้าเกรงว่าไม่ว่าจะลองอีกสักกี่ครั้ง ก็ไม่สามรถทำอะไรได้”
องค์ชายเจ็ดลูบปลายคางเบา ๆ พลางเอ่ยถาม “ชายผู้นี้ชอบเรื่องหญิงสาวหรือไม่?”
“หญิงสาว?” จางเชียนและตู๋ซานชิงต่างมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองยังไม่เข้าใจ แต่องค์ชายเจ็ดดูเหมือนกำลังคิดเรื่องชั่วร้ายบางอย่าง “ดูท่าว่าคืนนี้อาจต้องจัดงานเลี้ยงฉลองรอเขาเสียแล้ว!”
“เราจะเชิญเขาออกมาอย่างไร?” จางเชียนอดถามขึ้นมาไม่ได้ ตู๋ซานชิงเองก็อยากรู้เช่นกัน ถึงแม้ลู่เฉินจะไม่ใช่พระอิฐพระปูนเช่นนั้น แต่คิดจะหลอกล่อเขาไปที่ไหนก็ใช่ว่าเขาจะไปที่นั่นได้ง่าย ๆ
“ข้ามีวิธี!” แววตาขององค์ชายเจ็ดวาววับขึ้นมา