ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 21 รากวิญญาณสวรรค์ผกผัน
บทที่ 21 รากวิญญาณสวรรค์ผกผัน
ลู่เฉินย่อมอยากให้อีกฝ่ายเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบ ดังนั้นชายหนุ่มจึงฉีกยิ้ม “เข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบเสีย!”
“สำนักเก้าสุขสงบ?” เจี่ยลัวลังเลเล็กน้อย ส่วนลู่เฉินก็มองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ “อันใด? ลำบากใจหรือ?”
“ข้าเคยเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งด้านค่ายกลระดับเก้าแห่งแดนทักษิณา หากข้าเข้าร่วมสำนักเก้าสุขสงบ เกรงว่าจะเกิดข้อครหาขึ้นได้!” เจี่ยลัวกล่าวอย่างเขินอาย
“ข้อครหา?”
“เพราะข้าเคยเป็นศิษย์สำนักค่ายกลสวรรค์ ถ้าข้าเข้าร่วม ก็เท่ากับทรยศต่อสำนัก!” เจี่ยลัวกล่าวอย่างเขินอาย ส่วนลู่เฉินก็ฉีกยิ้มอย่างเข้าใจ “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไม่ฝืนใจเจ้า ทว่าหากอนาคตสำนักเก้าสุขสงบมีปัญหาใด …เจ้าต้องลงมือช่วย!”
”แน่นอน!”
จากนั้นลู่เฉินจึงหันมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกล เช่นนั้นก็น่าจะมีวัตถุดิบสำหรับจัดวางค่ายกลรวบรวมลมปราณใช่หรือไม่”
”ย่อมมี!”
ว่าแล้วเจี่ยลัวก็ควานหาบางอย่างใน ‘ถุงสุญญะญาณ’ รอบกาย ๆ
ถุงสุญญะญาณเป็นถุงมิติเวลาชนิดหนึ่งที่ผู้ฝึกตนสร้างขึ้น หากระดับขั้นการบ่มเพาะของคนผู้นั้นสูงขึ้นเท่าใด พื้นที่ภายในถุงสุญญะญาณก็กว้างและใหญ่ขึ้นเท่านั้น
…ถุงสุญญะญาณของเจี่ยลัวนั้นไม่เล็กเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทุกใบก็มีพื้นที่ขนาดประมาณห้องหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อเจี่ยลัวให้ลู่เฉินเลือกสิ่งของภายใน ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขาหยิบวัตถุดิบที่ต้องการออกมาเล็กน้อย
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อได้ของครบ ลู่เฉินก็พลันมองหาพื้นที่เปิดโล่ง ก่อนจะเริ่มจัดวางค่ายกลรวบรวมลมปราณอย่างรวดเร็ว
การกระทำนี้ของลู่เฉินทำให้เจี่ยลัวหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน…
เพราะชายหนุ่มวางค่ายกลรวบรวมลมปราณได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม*[1]!
“นี่…” เจี่ยลัวเผยความประหลาดใจออกมา ในขณะที่ทางฝั่งของลู่เฉิน เมื่อเขาวางค่ายกลเสร็จ ชายหนุ่มก็พลันนั่งขัดสมาธิลง ณ กลางค่ายกล “ฝากเฝ้าระวังให้ข้าที”
“เอ๊ะ ด… ดะ… ได้!” เจี่ยลัวพยักหน้ารัวราวไก่จิก
ลู่เฉินหลับตาลง
ค่ายกลรวบรวมลมปราณนี้คือค่ายกลขั้นวิญญาณระดับเก้าดาว ผลลัพธ์ของมันจะทำให้ความเข้มข้นของปราณจากฟ้าดินในบริเวณนั้นเพิ่มขึ้นถึงเก้าเท่า!
โดยทั่วไปมีแค่สำนักใหญ่ ๆ หรือบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ครอบครองค่ายกลชนิดนี้
ทว่าลู่เฉินกลับสามารถจัดวางมันได้อย่างง่ายดาย!
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เจี่ยลัวไม่เข้าใจ “หรือเขาจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับศักดิ์สิทธิ์?”
ลู่เฉินไม่สนใจสิ่งรอบตัว เขาเพ่งสมาธิ และเริ่ม ‘เพาะปลูก’ รากวิญญาณ
รากวิญญาณนั้นสามารถแบ่งได้หลายชนิด ตั้งแต่รากวิญญาณ รากวิญญาณสวรรค์ รากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และรากวิญญาณเซียน โดยไล่ระดับจากธรรมดามาถึงดี ดีมาก และดียิ่ง รวมทั้งมีการแบ่งระดับตั้งแต่หนึ่งถึงเก้าดาว
นอกจากนี้ เนื่องจากยังมีการแบ่งของพลังธาตุ อันได้แก่ธาตุทั้งห้าอย่าง ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน และแม้แต่ธาตุอื่น ๆ อย่างมืด แสง ลม หรือสายฟ้า!
สี่ประเภทหลังค่อนข้างหายากและพบเห็นได้น้อย
และรากวิญญาณที่ลู่เฉินต้องการจะ ‘เพาะปลูก’ ในครั้งนี้นั้น เหนือกว่ารากวิญญาณธรรมดาทั่วไป หรือก็คือมันไม่ถูกจัดอยู่ในลำดับรากวิญญาณเหล่านี้ แต่เป็นรากวิญญาณสวรรค์ผกผัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดรากวิญญาณอันทรงพลัง!
เป็นรากวิญญาณที่ลึกลับที่สุด!
แม้จะเกิดมาหลายชาติภพ ทว่าลู่เฉินก็ไม่เคยเห็นรากวิญญาณชนิดนี้ เขาเพียงแค่เคยได้ยินมาจากคัมภีร์โบราณเท่านั้น
ยามนี้เมื่อจำเป็นต้อง ‘เพาะปลูก’ รากวิญญาณของตนเองขึ้นใหม่ ชายหนุ่มย่อมต้องอยากจะลองดูเป็นธรรมดา!
เมื่อคิดได้เสร็จสรรพ ลู่เฉินก็เริ่มมองหาตำแหน่งที่เหมาะสมในร่างกาย
เพราะเมื่อเพาะปลูกรากวิญญาณในส่วนที่แตกต่างกัน มันก็จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่นบนแขน ก็จะทำให้กำลังแขนหรือเคล็ดวิชาที่ใช้ผ่านแขนนั้นทรงพลังเพิ่มขึ้นได้
หรือหากอยู่บนขา พลานุภาพของขาก็จะแข็งแกร่งกว่าผู้ที่ไม่มีรากวิญญาณบริเวณขา
ทว่ารากวิญญาณสวรรค์ผกผันของลู่เฉินนั้นต้องการจุดที่มีพลังปราณเต็มเปี่ยม ดังนั้นลู่เฉินจึงเลือกได้เพียงจุดตันเถียนเท่านั้น!
แต่การ ‘เพาะปลูก’ รากวิญญาณในตันเถียนนั้นอันตรายยิ่ง เพราะหาก ‘เพาะปลูก’ ผิดพลาด รากวิญญาณจะทำให้พลังปราณปั่นป่วน!
ทว่าในฐานะชาติที่เก้าของลู่เฉิน ชายหนุ่มย่อมมีประสบการณ์มากมาย ประกอบกับมีเจตจำนงอันแข็งแกร่ง เขาจึงหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง แล้วเริ่มโคจร ‘เคล็ดรากผกผัน’
ในยามนั้น จุดตันเถียนพลันมีเงาลวงตาสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ!
และเงาลวงตานี้ก็ได้ห่อหุ้ม ‘จุดแสง’ ทั้งเก้าจุดเอาไว้ข้างในพอดี
“นี่คือตัวรากอ่อน…”
การปลูกรากวิญญาณนั้นมีขั้นตอนมากมาย ขั้นแรกคือเพาะรากอ่อน ขั้นสองคือแตกหน่อรากวิญญาณ และขั้นตอนที่สามคือรากวิญญาณสัมบูรณ์
กระบวนการสร้างรากวิญญาณสวรรค์ผกผันนั้นต้องการพลังปราณจำนวนมาก และต้องมีปณิธานที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินจึงกัดฟันดูดซับปราณฟ้าดินในค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง
รากอ่อนปรากฏขึ้นทีละนิด
สุดท้ายมันก็กลายเป็น ‘เปลือกไข่’ โปร่งแสง ที่สามารถมองทะลุเห็นจุดแสงทั้งเก้าได้อย่างง่ายดาย
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ….
เพราะทันทีที่ ‘เปลือกไข่’ อยู่ตัว มันก็เริ่มสั่นสะเทือน ก่อนที่บริเวณด้านบนของไข่จะปริแตก และปรากฏหน่ออ่อนที่โปร่งใสขึ้น ซึ่งกระบวนการนี้… สร้างความเจ็บปวดยิ่ง!!
มันคือความเจ็บปวดราวกับว่ากำลังมีบางสิ่งบางอย่างเจาะทะลวงเข้าไปในกายอย่างไรอย่างนั้น
แต่ลู่เฉินไม่กล้าล้มเลิกกลางคัน ทำได้เพียงกัดฟันอดทนไว้ และแม้จะเกือบจะหมดสติอยู่หลายครั้ง แต่ชายหนุ่มก็สามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้อย่างฉิวเฉียด!
ขณะนี้… เจี่ยลัวที่อยู่นอกค่ายกลกำลังตื่นตระหนก
โดยเฉพาะเมื่อเห็นใบหน้าของลู่เฉินที่กลายเป็นสีเขียวอมม่วง เขาก็ถึงกับสั่นเทาขึ้นมา “เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?”
“ไม่เป็นไร!” ลู่เฉินกัดฟันแน่น ปล่อยให้กระบวนการแตกหน่อดำเนินต่อไป
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา ลู่เฉินก็มีเหงื่อท่วมไปทั่วกาย
ทว่าโชคดีที่หน่ออ่อนเชื่อมต่อกับกระดูกภายในร่างแล้ว ความเจ็บปวดจึงบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
“รากวิญญาณสวรรค์ผกผัน!” เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่เฉินพลันรู้สึกประหลาดใจระคนดีใจ
ทันใดนั้น พลังปราณในกายก็เต็มเปี่ยม ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสูงขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้… ลู่เฉินยังพบว่ารากวิญญาณสวรรค์ผกผันที่ปลูกในจุดตันเถียนยังทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั่วกาย หากแต่ผลลัพธ์ของมันในขณะนี้ ยากที่จะสังเกตพบได้โดยง่าย
เพราะลู่เฉินในยามนี้เพิ่ง ‘เพาะปลูก’ รากวิญญาณสวรรค์ผกผันขั้นแรกเท่านั้น และรากวิญญาณสวรรค์ผกผันนั้นก็มีมากถึงสิบขั้นจึงจะสมบูรณ์ ทว่ากระบวนการนี้ต้องใช้เวลานาน ยิ่งไปกว่านั้น… ยังต้องใช้พลังมหาศาล!
ดังนั้นลู่เฉินจึงถือโอกาสนี้ใช้ค่ายกลรวบรวมลมปราณดูดซับพลังปราณจากฟ้าดินโดยรอบเข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง
พลังปราณที่เข้มข้นถึงเก้าเท่านี้ทำให้รากวิญญาณสวรรค์ผกผันของลู่เฉินเปลี่ยนไปทีละนิด เช่นเดียวกับ ‘เคล็ดควบกลั่นลมปราณ’ ที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ขั้นพลังของลู่เฉินก้าวกระโดดจากระดับห้า ไประดับหก กระทั่งไปสู่ระดับเจ็ด ก่อนจะหยุดลง… เนื่องจากความเข้มข้นของปราณฟ้าดินรอบตัวไม่เพียงพอที่จะประคับประคอง ‘เคล็ดควบกลั่นลมปราณ’ รวมทั้งพัฒนารากวิญญาณสวรรค์ผกผันต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินจึงลุกขึ้นและเอ่ยว่า “พอเท่านี้ก่อน”
“เจ้า… ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” เมื่อเห็นว่าลู่เฉินตัวเปียกโชก เจี่ยลัวก็ประหลาดใจ
ลู่เฉินฉีกยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร”
เจี่ยลัวพลันโล่งใจ จากนั้นก็เผยสีหน้ามีความหวังออกมา “เจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่?”
”ได้!”
ลู่เฉินเอ่ยจบก็หยิบเอาวัตถุดิบและเข็มบางอย่างที่ได้มาจากเจี่ยลัวแทงเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย พร้อมกับใช้ผลสมุนไพรที่ป่นละเอียดให้ไหลผ่านรูเข็มเข้าไปยังตันเถียนของเจี่ยลัว
หนึ่งชั่วยามต่อมา เจี่ยลัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ข… ขะ… ข้า นี่มัน!” เจี่ยลัวพลันพบว่าเส้นขนตามร่างกายหายไป เช่นเดียวกับผิวกายที่ฟื้นฟู ทำให้เจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ลู่เฉินฉีกยิ้มพร้อมจ้องมองอีกฝ่าย “ยามนี้ ยกเว้นเสียง ทุกอย่างก็เหมือนคนปกติ ไม่แตกต่างกันมาก!”
“ขอบใจเจ้า ขอบใจเจ้ามาก!” เจี่ยลัวตื้นตัน ส่วนลู่เฉินก็เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ออกไปด้านนอกกัน!”
”อืม!” เจี่ยลัวรีบตอบรับ
ทว่าหลังจากลู่เฉินก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าอย่าบอกใครว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่!”
เจี่ยลัวเอ่ยอย่างเขินอาย “ถึงข้าจะอยากบอก พวกเขาก็ฟังไม่ออกอยู่ดี!”
ลู่เฉินพลันหัวเราะ “นั่นสินะ เช่นนั้นเราไปกันเถอะ!”
…
ผู้ที่อยู่ใกล้โลงศพแสดงท่าทีตื่นตัวตลอดเวลา กล้ามเนื้อแข็งเกร็งพร้อมลงมือทุกขณะ
บางคนถึงกับถอนหายใจ “เราจะรอดออกไปได้หรือไม่?”
“สองชั่วยามแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีใครหาพวกเราเจอหรือไม่!” ใครบางคนกล่าวด้วยเสียงหดหู่
ส่วนโจวอวี๋พลันมีสีหน้าย่ำแย่ ในใจก็กังวลว่าลู่เฉินจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าจู่ ๆ จะมีกลุ่มคนบุกเข้ามาจากด้านนอกค่ายกล
คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นสร้างรากฐาน
หัวโจกที่นำคนกลุ่มนี้มาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเมฆาอสูรนั่นเอง!
“เถ้าแก่อู๋ เหตุใดถึงเป็นเจ้า!” มีหลายคนตกใจ ซึ่งคนที่ถูกเรียกว่า ‘เถ้าแก่อู๋’ ก็ฉีกยิ้มอย่างประหลาด แล้วกล่าวว่า “ทุกท่านช่วยให้ข้าหาที่แห่งนี้พบ นับว่าต้องขอบคุณมากจริง ๆ!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ จึงตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกเถ้าแก่อู๋หลอกลวงเสียแล้ว!
พวกเขาจึงด่ากราด “เถ้าแก่อู๋ ไอ้สารเลว!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” มีคนถึงกับพุ่งเข้าไป พยายามจะฆ่าเถ้าแก่อู๋ ทว่าผู้ที่อยู่ข้างกายเถ้าแก่อู๋กลับจับโยนคนผู้นั้นทิ้งไปอย่างง่ายดาย
เถ้าแก่อู๋ยิ้มอย่างชั่วร้าย “ถ้าเจ้าไม่อยากตาย เช่นนั้นก็จงตอบคำถามข้าแต่โดยดี!”
ทว่าโจวอวี๋มีหรือจะยินยอมอย่างเชื่องเชื่อ เขาโต้ตอบกลับไปว่า “ผู้ใดจะอยากตอบคำถามของเจ้ากัน?”
“คุณชายโจว ข้ารู้ว่าเจ้ามีฝีมือ แต่หากอยากออกไป พวกเจ้าก็ต้องพึ่งข้า!” เถ้าแก่อู๋พูดอย่างมั่นใจ และเมื่อทุกคนได้ยินว่ามีทางออกไป พวกเขาก็พากันหันไปหาเถ้าแก่อู๋
เถ้าแก่อู๋ชำเลืองมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม “บอกข้าที พวกเจ้าพบใครที่นี่หรือไม่?”
”ไม่มีผู้ใด ทว่าดูเหมือนจะพบซากศพร่างหนึ่ง!”
“ซากศพ?” เถ้าแก่อู๋เผยสีหน้างุนงง ขณะที่มีคนชี้ไปยังโลงศพ “อยู่ที่นั่น!”
เถ้าแก่อู๋เห็นดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังเขาเดินเข้าไป
ทว่าในยามนั้น ฝาโลงศพพลันขยับ เถ้าแก่อู๋จึงร้องสั่งให้คนผู้นั้นขยับตัวถอยหนี ก่อนจะพบว่าภายในโลงนั้นคือลู่เฉินกับเจี่ยลัวที่ปรากฏตัวขึ้น!
เมื่อทุกคนเห็นว่าไม่มีซากศพ แต่กลับเห็นคนเพิ่มขึ้นมา พวกเขาก็สบตากัน
”เกิดอะไรขึ้น?”
[1] ชั่วยาม คือหน่วยนับเวลาของจีน หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ดังนั้นครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับหนึ่งชั่วโมง